
เจาะลึก SEO Audit วิธีตรวจสอบและปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับ
ทุกพื้นที่ย่อมมีการแข่งขันเสมอ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่ตอนนี้มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมาก ๆ ทั้งใน Social Media เองและบน Google ที่เป็นเครื่องมือค้นหาที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ในวันนี้เราจะมาพูดถึงการแข่งขันของธุรกิจบนพื้นที่ทองคำอย่าง Google ที่ทุกเว็บไซต์ต้องงัดกลยุทธ์ SEO เด็ด ๆ มาสู้กัน เพื่อให้ตัวเองครองอันดับ 1 ถึงแม้ว่าคุณจะทำคีย์เวิร์ดให้ติดอันดับ 1 ไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าคีย์เวิร์ดบนเว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับ 1 ทั้งหมด ดังนั้น คุณจะต้องพยายามทำให้คีย์เวิร์ดเหล่านั้นแซงหน้าคู่แข่งและไปอยู่อันดับ 1 แทนให้ได้ นั่นก็คือการทำ SEO Audit หรือ Website Audit นั่นเอง ในฐานะที่ ANGA เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO เราจึงจะพาคุณไปเจาะลึกถึงวิธีการทำ SEO Audit ที่จะช่วยให้คุณทราบว่าสุขภาพเว็บไซต์ของคุณเป็นอย่างไร คุณควรเพิ่มเติมอะไร หรือมีสิ่งไหนที่ขาดไปบ้าง เพื่อให้คุณก้าวไปสู่อันดับต้น ๆ บน Google ได้อย่างยั่งยืน
SEO Audit คืออะไร
SEO Audit คือการตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในทุก ๆ ด้านที่ส่งผลต่อการจัดอันดับบน Search Engine ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเว็บไซต์ คุณภาพเนื้อหา ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ หรือการแสดงผลบนมือถือ เพื่อค้นหาจุดที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาให้เว็บไซต์มีคุณภาพที่ดีมากขึ้นในสายตาของ Google การทำ SEO Audit อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ ทั้งจุดแข็งที่ควรรักษาไว้และจุดอ่อนที่ควรแก้ไข
โดย SEO (Search Engine Optimization) คือกลยุทธ์การตลาดที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณติดอันดับบน Search Engine อย่าง Google เพื่อให้ผู้คนหรือกลุ่มเป้าหมายเจอธุรกิจของเราได้ง่าย แต่การทำ SEO ไม่ใช่แค่การปรับแต่งเว็บไซต์ครั้งเดียวแล้วจบ เพราะอัลกอริทึมของ Google มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราจึงจำเป็นต้องตรวจสอบและพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า SEO Audit และ SEO Website Checker
Website Audit สำคัญอย่างไร
การดูแลเว็บไซต์ก็เหมือนกับการดูแลสุขภาพของเรา ที่ต้องหมั่นตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทุกอย่างทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ SEO Website Audit จึงเปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพประจำปีของเว็บไซต์ ที่จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมและจุดที่ต้องปรับปรุงได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบคุณภาพของแต่ละหน้าเว็บ การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดสำคัญ หรือการประเมินความพร้อมของเว็บไซต์สำหรับแข่งขันกับคู่แข่งก็ตาม การทำ SEO Audit มีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจที่ต้องการรักษาและพัฒนาอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้น เพราะแม้ว่าคุณจะเคยทำ SEO มาอย่างดี แต่ถ้าไม่มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ปล่อยทิ้งร้างไว้ ไม่มีการอัปเดตบทความ SEO หรือเนื้อหาใด ๆ อันดับของเว็บไซต์ก็อาจตกลงได้ด้วยจากหลากหลายสาเหตุ
10 SEO Audit Checklist ช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีกว่าเดิม

จริงอยู่ที่หน้าที่หลัก ๆ ในการตรวจเช็กเว็บไซต์เพื่อทำ SEO Audit จะเป็นหน้าที่ของ SEO Specialist แต่มันก็ไม่ใช่เสมอไป ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจเอง ทีมการตลาด หรือคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ก็สามารถสังเกตและตรวจเช็กเว็บไซต์ เพื่อทำ SEO Audit ได้เช่นเดียวกัน ด้วย 10 SEO Audit Checklist ต่อไปนี้
1. URL
การจัดการ URL ของเว็บไซต์ให้ถูกต้องเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการทำ SEO Audit เพราะ Google สามารถ Index (จัดทำดัชนี) เว็บไซต์ของคุณได้ในหลายเวอร์ชัน ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลสถิติและประสิทธิภาพต่าง ๆ ถูกแยกออกจากกัน โดยปกติแล้ว URL ของเว็บไซต์หนึ่ง ๆ จะมี 4 รูปแบบ คือ
- http://name.com
- https://name.com
- http://www.name.com
- https://www.name.com
สิ่งสำคัญคือคุณต้องเลือก URL หลักเพียงเวอร์ชันเดียว ระหว่าง https://name.com หรือ https://www.name.com (เลือกเวอร์ชันไหนก็ได้ แต่ต้องมีการทำ SSL Certificate ที่เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่เว็บไซต์ด้วย สังเกตได้ว่าจะมี s หลัง http) และทำการ redirect URL รูปแบบอื่น ๆ ทั้งหมดมายัง URL หลักที่เลือกไว้ ซึ่งไม่ว่าผู้ใช้จะพิมพ์ URL ในรูปแบบใด ก็จะถูกนำไปสู่ URL หลักเพียงเวอร์ชันเดียวเสมอ
2. On-Page SEO
On-Page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ถูกใจ Search Engine มากที่สุด และในขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ชมจนสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาได้ บอกเลยว่า On-Page SEO มีความสำคัญมาก ๆ ในการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งในการทำ SEO Audit ที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด โดยจุดที่ต้องปรับปรุงหลัก ๆ คือ
- URL Friendly = URL ต้องสั้น กระชับ และสื่อความหมายได้ชัดเจน
- Meta Title (ชื่อหน้าเว็บ) = มีคีย์เวิร์ดประกอบ สั้น กระชับ และชวนให้คลิก
- Meta Description (คำอธิบายหน้าเว็บ) = คำอธิบายหน้าเว็บที่น่าสนใจ มีคีย์เวิร์ดประกอบ เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้ว่าเนื้อหาในหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
- Content Optimization เป็นการปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพและตอบโจทย์การค้นหาของผู้อ่าน
- Image Optimization เช่น การตั้งชื่อรูปภาพ (Image Title), การเพิ่มคำอธิบายรูปภาพ (Alt Text) และการแปลงไฟล์รูปภาพให้เป็น WebP
- Heading Tags (H1, H2, H3) มีการจัดลำดับ Heading Tags อย่างเหมาะสม และมีการวางคีย์เวิร์ดหลักบน H1 และ H2
- Internal Link คือการใส่ลิงก์เชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง โดยทั้งสองหน้าต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน
3. Quality Content
คุณภาพของเนื้อหาเป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO เพราะไม่เพียงแต่ต้องเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย แต่ยังต้องทำให้ Google มองเห็นคุณค่าของเนื้อหานั้นด้วย การทำ Content Audit จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบและปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Long-tail Keywords ที่จะช่วยให้เนื้อหามีความเฉพาะเจาะจงและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับมากขึ้น การอัปเดตข้อมูลในเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันที่สุด รวมถึงการเขียนเนื้อหาที่ตรงตาม E-E-A-T Factor ด้วย
4. Indexing & Ranking
การตรวจสอบการ Index ของ Google เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO Audit เพราะไม่ว่าคุณจะมีหน้าเว็บมากแค่ไหน แต่ถ้า Google ไม่ได้ Index ไว้ หน้าเหล่านั้นก็จะไม่มีโอกาสปรากฏใน Google และไม่ได้ถูกจัดอันดับใด ๆ (Ranking) เลย วิธีตรวจสอบทำได้ผ่าน Google Search Console หากพบปัญหาการ Index ไม่ครบถ้วน ควรตรวจสอบและแก้ไขในส่วนของ Technical SEO เช่น robots.txt, meta robots, หรือโครงสร้าง URL ที่อาจขัดขวางการ Index ของ Google ได้ สิ่งที่คุณควรพิจารณาคือ
- จำนวนหน้าที่ Google Index ควรใกล้เคียงกับจำนวนหน้าที่มีอยู่จริง (มากกว่า 90%)
- หน้าที่ต้องการให้ติดอันดับต้องเป็นหน้าที่ Google เลือกแสดงในผลการค้นหา
- ตรวจสอบว่าไม่มีหน้าที่ซ้ำซ้อนหรือไม่จำเป็นถูก Index
5. Core Web Vitals
Core Web Vitals เป็นชุดตัวชี้วัดที่ Google ใช้ประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับในหน้าผลการค้นหา การตรวจสอบ Core Web Vitals สามารถทำได้ผ่าน Google Search Console โดยมุ่งเน้นการปรับปรุง URL ส่วนใหญ่ของเว็บไซต์ให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ Google กำหนด
6. Page Speed
Page Speed หรือความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญต่อประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับ SEO เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่จะออกจากเว็บไซต์หากโหลดนานเกิน 3 วินาที การตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์สามารถทำได้ผ่าน PageSpeed Insights โดยควรได้คะแนนอย่างน้อย 60 คะแนนขึ้นไปในโหมดมือถือ
- เลือกใช้ hosting ที่มีประสิทธิภาพสูง
- บีบอัดรูปภาพให้มีขนาดเหมาะสม
- ลดการใช้ Effect ที่ไม่จำเป็น
- ติดตั้ง Plugin เฉพาะที่จำเป็น
- การลบโค้ด CSS และ JavaScript ที่ไม่จำเป็นออกไป
7. Mobile Friendly
Mobile Friendly คือการทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนมือถือไม่ใช่แค่การปรับขนาดให้พอดีกับหน้าจอ แต่ต้องทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้สะดวกมากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือ Google จึงให้ความสำคัญกับการทำ Mobile Friendly เป็นอย่างมาก คุณสามารถตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณเป็น Mobile Friendly หรือไม่ได้ที่ Google’s Mobile-Friendly Testing Tool ซึ่งจะช่วยระบุปัญหาและให้คำแนะนำในการปรับปรุงให้กับคุณ
8. 404 Not Found
404 not found คือหน้าเว็บไซต์ที่มีการแสดงผลผิดพลาด เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อ Googlebot ไม่สามารถเข้าถึงหน้าเว็บที่เคย index ไว้ได้ ซึ่งส่งผลเสียอย่างมากต่ออันดับ SEO โดยเฉพาะหน้าที่เคยติดอันดับต้น ๆ บน Google สาเหตุหลักมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลง URL โดยไม่ได้ทำ 301 redirect หรือการลบหน้าเว็บโดยไม่ตั้งใจ คุณสามารถตรวจสอบหน้า 404 ได้ที่ Google Search Console และควรรีบแก้ไขด้วยการทำ 301 redirect ไปยังหน้าที่ถูกต้องทันทีที่พบปัญหา
9. Broken Links
การมี Broken Links หรือลิงก์ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อได้บนเว็บไซต์ ส่งผลเสียต่อทั้งประสบการณ์ผู้ใช้และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ สาเหตุอาจเกิดจากเว็บไซต์ปลายทางปิดตัวลง เปลี่ยน URL หรือย้ายเนื้อหาไปที่อื่น คุณสามารถตรวจสอบ Broken Links ได้ผ่านเครื่องมือฟรีอย่าง BrokenLinkCheck สามารถแก้ไขได้ดังนี้
- สำหรับ Internal Link = ทำ 301 redirect หรือแก้ไข URL ให้ถูกต้อง
- สำหรับ External Link = หาลิงก์ใหม่ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงมาแทนที่
- สำหรับ Backlink = ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เพื่อขอแก้ไข URL
10. Backlink
Backlink คือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่ชี้มายังเว็บไซต์ของเรา ยิ่งมีมากเท่าไหร่ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือมากเท่านั้น แต่การทำ Backlink ควรเน้นไปที่คุณภาพของเว็บไซต์ต้นทางมากกว่าปริมาณ ซึ่ง Backlink ที่ดีควรมาจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เรา, มีปริมาณ Traffic สูง, มีความน่าเชื่อถือในสายตา Google, มีการใช้ Anchor Text ที่เหมาะสม และกำหนดลิงก์เป็น Dofollow Link
แนะนำเครื่องมือช่วยทำ SEO Audit

เครื่องมือทำ SEO มีเป็นร้อยเครื่องมือ สำหรับเครื่องมือช่วยทำ SEO Audit ที่ครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องใช้ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ ซึ่งเราก็คัดมาให้เป็น 4 เครื่องมือนี้เลย
Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือหลักที่ขาดไม่ได้สำหรับการ Analyse Site Web SEO เพราะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบการ index ของ Google, การติดตามประสิทธิภาพของหน้าเว็บผ่าน Core Web Vitals, การค้นหาหน้า 404 Error Notfound, การวิเคราะห์ปริมาณการค้นหาและคลิก รวมถึงการตรวจสอบ Mobile Usability ทำให้คุณสามารถระบุและแก้ไขปัญหา SEO ได้อย่างตรงจุด
Google Keyword Planner
แม้จะเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาสำหรับการวางแผนโฆษณา Google Ads แต่ Google Keyword Planner ก็มีประโยชน์อย่างมากในการทำ SEO Audit ด้านคอนเทนต์ เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดที่ใช้อยู่ ค้นหาคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และตรวจสอบปริมาณการค้นหาในแต่ละเดือน ทำให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ด้านคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นได้เป็นอย่างดี
Page Speed Insight
Page Speed Insights เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพการโหลดของเว็บไซต์ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ โดยจะให้คะแนนพร้อมคำแนะนำในการปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ เช่น การบีบอัดรูปภาพ การจัดการ cache การลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript ทำให้คุณสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้โหลดเร็วขึ้นและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานได้
Google Analytics
Google Analytics ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ดีขึ้น โดยแสดงข้อมูลสำคัญเช่น จำนวนผู้เข้าชม, เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์, อัตราการตีกลับ, หน้าที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด และเส้นทางการใช้งานของผู้เข้าชม ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณระบุจุดที่ต้องปรับปรุงในด้าน User Experience และเนื้อหา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO โดยรวม
สรุป
SEO Audit ไม่ใช่แค่การตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์เท่านั้น แต่เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกที่จะช่วยให้คุณเห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเว็บไซต์อย่างครบถ้วน ตั้งแต่การจัดการ Technical SEO ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพคอนเทนต์ การทำ Website Audit ตาม 10 SEO Audit Checklist ที่เราแนะนำ พร้อมกับใช้เครื่องมือที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้อย่างตรงจุด ส่งผลให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีและในขณะเดียวกันอันดับเว็บไซต์ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเช่นกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง

30 วิธีทำ SEO WordPress 2025 ที่ถูกต้อง จากประสบการณ์เอเจนซี่
