
Google Keyword Planner คืออะไร วิธีสมัคร วิธีใช้งานฟรี 2025
การทำการตลาดผ่าน Search Engine (SEM : Search Engine Marketing) เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและสามารถสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจได้อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO ในการเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์แบบ Organic หรือจะเป็นการทำ Google Ads อันเป็นการยิงโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่ายก็ตาม ทั้งสองสิ่งนี้อาจไม่สำเร็จได้หากคุณเลือกใช้งานคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ไม่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้การทำ Keyword Research ก่อนลงมือทำ SEM ในส่วนอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอย่างแรก และในวันนี้ ANGA จะมาแนะนำให้คุณรู้จักกับเครื่องมือค้นหาและวางแผนการใช้คีย์เวิร์ดที่ชื่อว่า “Google Keyword Planner” ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีจาก Google นั่นเอง นอกจาก Planner Google จะช่วยให้คุณได้พบคีย์เวิร์ดที่ใช่แล้ว ยังช่วยให้คุณได้ค้นพบไอเดียในการทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ อีกด้วย หากพร้อมแล้วเราไปดูกันได้เลยว่า Google Keyword Planner คืออะไร? มีประโยชน์มากแค่ไหน? พร้อมวิธีการสมัครและวิธีการใช้งานแบบครบจบในบทความเดียว (อัปเดตเนื้อหาใหม่ล่าสุด 2025)

Google Keyword Planner คืออะไร
Google Keyword Planner คือเครื่องมือวางแผนการใช้งานคีย์เวิร์ด ซึ่งเราสามารถทำ Keyword Research เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจ กลุ่มเป้าหมาย และจุดประสงค์มาทำการตลาดให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้ โดยที่คุณสามารถเข้าไปใช้งาน Google Keyword Planner ฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงแค่สมัครบัญชี Google Ads เพื่อลงชื่อเข้าใช้งานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีการทำโฆษณาจริง หรือผูกบัตรเครดิตใด ๆ เลย คุณสามารถนำคีย์เวิร์ดที่ได้จาก Google Keyword Planner ไปวางแผนการยิงโฆษณา Google Ads เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างแม่นำ รวมไปถึงการนำไปวางแผนการทำ SEO หรือเขียนบทความ SEO เพื่อดันอันดับเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนหน้าแรก Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Google Keyword Planner สำคัญอย่างไร
Google Keyword Planner คือเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง มันไม่ได้แสดงแค่เพียงว่ามีการค้นหาคีย์เวิร์ดกี่ครั้ง (Search Volume) แต่ยังช่วยวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของตลาดด้วย ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้อ่านและวางแผนงบประมาณโฆษณาได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าเดิม
วิธีสมัคร Google Keyword Planner
1. ให้คุณเข้าไปที่ https://ads.google.com และกด “ลงชื่อเข้าใช้” บริเวณมุมขวาบน

2. กดไปที่ “NEW GOOGLE ADS ACCOUNT” เพื่อสร้างบัญชี Google Ads

3. คลิกที่ “Create your first campaign” และเลือก “Create an account without a campaign” เพื่อกรอกข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ แต่ไม่ต้องผูกบัตรเครดิตเพื่อสร้างแคมเปญใด ๆ

4. ตั้งค่าข้อมูลตามภาพ จากนั้นให้กด “Submit”

5. ทุกอย่างพร้อมให้คุณเริ่มใช้งาน Google Keyword Planner แล้ว

สอนวิธีใช้ Google Keyword Planner
เมื่อคุณสมัครบัญชี Google Ads เรียบร้อยแล้ว คุณจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ของ Google ได้ ซึ่งรวมถึง Keyword Planner ด้วยเช่นกัน สำหรับ Planner Google นั้น จะแบ่งฟีเจอร์ให้ใช้งาน 2 แบบด้วยกัน คือ Discover new keywords และ Get search volume and forecasts ตามภาพประกอบด้านล่างนี้ ซึ่งวิธีใช้ Google Keyword Planner นั้นก็ไม่ยากอย่างที่คิด เดี๋ยวเราจะมาสอนวิธีใช้งานแบบเข้าใจได้ง่าย ๆ ดูแล้วทำตามได้เลยกัน!

วิธีใช้ Discover new keywords
Discover new keywords คือฟีเจอร์ที่จะช่วยให้คุณค้นพบคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ ที่คนกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่มีความสนใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการของธุรกิจคุณได้ วิธีใช้งานฟีเจอร์ Discover new keywords คือให้คุณเข้าไปที่ Discover new keywords จะพบกล่องข้อความดังภาพข้างต้น (ช่องข้างบน) จากนั้นให้ใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ จำนวนสูงสุด 10 คีย์เวิร์ด หรือใส่ลิงก์เว็บไซต์ที่คุณต้องการดูคีย์เวิร์ด และกด “Get Results” เพื่อแสดงผลลัพธ์


ตัวอย่างภาพ
ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดที่คุณได้ทำการค้นหาและคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (Keyword Ideas) ซึ่งจะประกอบไปด้วยข้อมูลดังต่อไปนี้
- Avg. monthly searches : ปริมาณการค้นหาคีย์เวิร์ดโดยเฉลี่ยต่อเดือน
- Three month change : แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงภายในช่วง 3 เดือน
- YoY change : การเปรียบเทียบปริมาณการค้นหาแบบรายเดือน ของเดือนล่าสุดเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา
- Competition : ระดับการแข่งขันของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ สูง กลาง และต่ำ
- Ad impression share : โอกาสที่โฆษณาของเราจะถูกแสดงผล หรืออัตราส่วนในการแสดงโฆษณาของคุณกับคู่แข่ง
- Top of Page Bid (Low Range) : ราคาประมูล (Bid) เฉลี่ยที่ต่ำที่สุด ของอันดับบน ๆ ของหน้าการค้นหา
- Top of Page Bid (High Range) : ราคาประมูล (Bid) เฉลี่ยที่สูงที่สุด ของอันดับท้าย ๆ ของหน้าการค้นหา

วิธีใช้ Get search volume and forecasts
เมื่อคุณได้คีย์เวิร์ดจาก Discover new keywords มาแล้วต้องการทำโฆษณา Google Ads ให้เข้ามาที่ฟีเจอร์ Get search volume and forecasts กันต่อเลย ซึ่งฟีเจอร์นี้จะเป็นการเช็ก Search Volume ของคีย์เวิร์ดแต่ละคำ และช่วยให้คุณคาดเดาประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาของคุณได้ล่วงหน้า เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าคีย์เวิร์ดคำไหนควรนำไปทำโฆษณา

เเมื่อคุณใส่คีย์เวิร์ดเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกที่ “Get started” ได้เลย จากนั้น Google Keyword Planner ก็จะแสดงค่าต่าง ๆ ออกมาให้คุณพิจารณาและประเมินงบประมาณในการยิงโฆษณา โดยประกอบไปด้วยค่าต่าง ๆ ดังนี้
- Clicks : จำนวนคลิกทั้งหมดที่มีคนกดโฆษณา
- Impressions : จำนวนครั้งที่มีการแสดงผลของโฆษณา
- Cost : ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการโฆษณา
- CTR (Click Through Rate) : อัตราการคลิกต่อการแสดงผลของโฆษณา
- Avg. CPC (Average Cost Per Click) : ราคาเฉลี่ยของการคลิกโฆษณา 1 ครั้ง

และหลังจากที่คุณประเมินคีย์เวิร์ดและงบประมาณเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเริ่มแคมเปญโฆษณาได้เลย โดยกดไปที่ปุ่ม “Create campaign” ด้านขวามือดังภาพข้างต้น
แจก 3 เทคนิควิธีใช้ Google Keyword Planner
เพื่อให้ Google Keyword Planner มีประโยชน์กับธุรกิจของคุณมากที่สุด เราขอแนะนำเทคนิควิธีใช้ Google Keyword Planner ที่เราทำแล้วได้ผลจริงมาฝากกัน
1. ใช้หาไอเดียใหม่ ๆ พร้อมเจาะคีย์เวิร์ดของคู่แข่ง
เทคนิคแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือการใช้ Google Keyword Planner ค้นหาไอเดียใหม่ ๆ เพื่อนำมาทำคอนเทนต์ลงบนช่องทางต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปเขียนคำโฆษณา (Ad Copy), เขียน Caption ประกอบ Organic Post, เอาไปใช้ทำ Inforgraphic, นำไปตั้งชื่อวิดีโอ และที่เหมาะสมที่สุดคือการนำไปทำบทความ SEO
วิธีใช้ Google Keyword Planner ค้นหาไอเดีย
เข้าไปที่ Discover New Keywords > พิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงไป > กด Get Result > จากนั้น Google Keyword Planner จะแสดงไอเดียคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องให้ หรือถ้าคุณอยากรู้ว่าคู่แข่งของคุณใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้าง คุณก็สามารถกรอกคีย์เวิร์ด พร้อมระบุเว็บไซต์คู่แข่งลงไปในช่อง “Enter a site to filter unrelated keywords” ได้เลย
2. ค้นหาคีย์เวิร์ดที่แม่นยำยิ่งขึ้น
การทำ Keyword Research ด้วยคีย์เวิร์ดคำกว้าง ๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจง (Generic Keyword) คุณอาจจะได้ไอเดียใหม่ ๆ ในการทำคอนเทนต์ก็จริง แต่อาจจะไม่ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากนัก ลองใช้คีย์เวิร์ดที่ยาวขึ้น (Long-Tail Keyword) หรือพวกประโยคคำถามอย่าง “ทำ SEO ที่ไหนดี”, “บริษัทรับทำ SEO ในไทย 2025 ” หรือ “วิธีการทำ On-page SEO อย่างละเอียด” ดู และคุณจะพบว่ามันสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างแท้จริง และพร้อมที่จะจ่ายเงินให้แก่คุณมากขึ้นกว่าคีย์เวิร์ดสั้น ๆ
บทความแนะนำ : Keyword คืออะไร? มีกี่ประเภท?
3. เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่การทำ Local SEO
อย่างที่เราเห็นว่า Search Volume ของคีย์เวิร์ดแต่ละคำที่ปรากฏขึ้นใน Google Keyword Planner ที่เราใช้กันนั้นเป็น “ปริมาณโดยรวมของทั่วประเทศไทย” ไม่ใช่ “ปริมาณที่มีการค้นหาจริงในแต่ละพื้นที่” ดังนั้น เพื่อให้คุณได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ที่คุณต้องการได้อย่างแม่นยำ และวางแผนในการทำการตลาดได้อย่างเหมาะสม คุณควรรู้ว่าคีย์เวิร์ดแต่ละคำ มีปริมาณการค้นหามากน้อยเพียงใดในแต่ละพื้นที่ เพียงแค่คุณกดเปลี่ยน Location จาก Thailand เป็นพื้นที่ที่คุณต้องการเท่านั้นเอง เรียกได้ว่าเทคนิคนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ทำ Local SEO เพื่อสร้างผลลัพธ์ให้แก่ธุรกิจท้องถิ่นอย่างร้านอาหาร คาเฟ่ โรงพยาบาล คลินิกความงาม หรือโรงแรมอย่างมาก

ข้อจำกัดของ Google Keyword Planner
สำหรับบัญชีที่ไม่ได้มีการทำแคมเปญโฆษณา Google Ads ร่วมด้วย หรือบัญชีที่เปิดมาเพื่อทำ Keyword Research ของฝั่ง SEO เท่านั้น (เวอร์ชันฟรี) จะมีข้อจำกัดอยู่ 2 ประการ คือ
- ตัวเลขค่าเฉลี่ยของ Search Volume ที่แสดงจะไม่เฉพาะเจาะจงหรือชัดเจน หรือการแสดงผลเป็นค่าโดยประมาณแทน เช่น 1,000-10,000 เป็นต้น (ถ้ามีการยิงโฆษณาด้วยตัวเลขจะเป็น 590, 880, 1,000 ฯลฯ)
- ไม่สามารถดูกราฟและ Breakdown ข้อมูลได้
บทสรุปเรื่อง Google Keyword Planner
Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การทำงานในส่วนของ SEO และ Google Ads ของคุณง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการทำ Keyword Planner นี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของการทำการตลาดออนไลน์ที่มีความสำคัญไม่แพ้กลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ เลย เพราะถ้าคุณเลือกคีย์เวิร์ดได้ดี นำคีย์เวิร์ดไปทำการตลาดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายก็จะมากขึ้น และแน่นว่าธุรกิจก็จะเติบโตตามไปด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง

Organic Traffic คืออะไร พร้อมวิธีเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์
