1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. Technical SEO คืออะไร? กับ 8 เทคนิคการปรับปรุงฉบับพื้นฐาน
Technical SEO คืออะไร?
เผยแพร่เมื่อ: เมษายน 1, 2024

Technical SEO คืออะไร? กับ 8 เทคนิคการปรับปรุงฉบับพื้นฐาน

Table Of Contents

Search Engine Optimization (SEO) เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ได้อย่างยั่งยืนและนำมาซึ่งผลลัพธ์ด้านการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งการทำ SEO จะประกอบไปด้วยฝั่งของ On-Page SEO, Off-Page SEO และ Technical SEO หากพลาดการปรับแต่งส่วนไหนไป ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่คุณคาดหวังไว้ก็เป็นได้

สำหรับบริษัทไหนที่ไม่ได้มีทีม SEO ครบทุกตำแหน่ง หรือมีเพียง SEO Content Writer เพียงคนเดียว อาจจะทำให้คุณพลาดสิ่งสำคัญอย่างการปรับแต่งเว็บไซต์เชิงเทคนิค หรือ Technical SEO ไปก็เป็นไป ถึงแม้เว็บไซต์ของคุณจะมีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพมากมาย แต่การมีคอนเทนต์ที่ดีอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอต่อการติดอันดับ SEO อย่างแน่นอน เพราะการติดอันดับบน Google จะต้องอาศัยเว็บไซต์ที่ดีและเอื้ออำนวยต่อการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายด้วย

ดังนั้น คุณจะต้องมาทำความเข้าใจว่า Technical SEO คืออะไร, Technical SEO มีอะไรบ้าง, Technical SEO มีความสำคัญแค่ไหน และเรียนรู้การ Optimize เว็บไซต์เชิงเทคนิคฉบับเบื้องต้นในบทความนี้เลย ANGA  รวบรวมข้อมูลไว้ให้คุณแล้ว!

Technical SEO คืออะไร

Technical SEO คือ การปรับปรุงโครงสร้างต่าง ๆ บนเว็บไซต์ และทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ Googlebot สามารถเข้ามาตรวจสอบ เก็บรวบรวมข้อมูล และนำไปจัดอันดับบน Search Engine ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เพราะการทำ Technical SEO จะช่วยให้โครงสร้างเว็บไซต์เป็นระเบียบ เว็บไซต์โหลดเร็ว สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล มีความปลอดภัยสูง และทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่กลับไป ซึ่งหลาย ๆ อย่างที่ได้กล่าวไปนี้ เป็นสิ่งที่ Search Engine อย่าง Google ใช้ในการพิจารณาและจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) นั่นเอง

Technical SEO สำคัญแค่ไหน ทำไมถึงต้องทำ

เว็บไซต์ของคุณเปรียบเสมือนหน้าร้านที่อยู่บนโลกออนไลน์ ถ้าอยากได้ยอดขาย ร้านของคุณก็จะต้องพร้อมเปิดรับลูกค้าที่เข้ามาบนเว็บไซต์ตลอดเวลา คงจะไม่เป็นผลดีแน่ ๆ ถ้าลูกค้าเข้ามาแล้วเจอกับหน้าเปล่า ๆ หน้าเสีย (404 Not Found) หรือหน้าเว็บที่แสดงผลได้ช้ามาก ๆ 

เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกค้าอยากกดปิดเว็บไซต์ออกไปจากร้านของคุณทันที และเดินไปหาร้านคู่แข่งหรือเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ติดอันดับใกล้เคียงแทน เห็นได้ชัดว่าผลเสียของการไม่ทำ Technical SEO คือการเสียโอกาสทางการขาย เสียโอกาสในการเพิ่มยอดขาย และเสียโอกาสในการสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ ดังนั้น นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมการทำ Technical SEO ถึงสำคัญ

8 เทคนิคการปรับปรุง Technical SEO ฉบับพื้นฐาน

8 เทคนิคการปรับปรุง Technical SEO ฉบับพื้นฐาน

การปรับปรุง Technical SEO บนเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด เป็นการร่วมมือกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และนักพัฒนาเว็บไซต์ (Web Developer) เพราะรายละเอียดของการปรับปรุงจะมีทั้งในส่วนของตัวเว็บไซต์และเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย และนี่ก็เป็น 8 เทคนิคการปรับปรุง Technical SEO ฉบับพื้นฐานของปี 2024 ที่เราเอามาฝากกัน มาเรียนรู้และลงมือ Optimize เว็บไซต์ให้มีคุณภาพและพร้อมสำหรับการติดอันดับดี ๆ บน Google ได้เลย!

1. Page Speed

เทคนิคแรกของการทำ Technical SEO คือการปรับปรุง Page Speed (ความเร็วในการแสดงผลของหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า) ให้เว็บสามารถโหลดได้เร็วที่สุด เพราะถ้าเว็บของคุณโหลดช้า อาจจะทำให้ Bounce Rate (อัตราการตีกลับ) สูงขึ้น และส่งผลเสียต่ออันดับของ SEO ได้ เช่น การปรับขนาดของรูปภาพและวิดีโอที่ใช้, การแปลงไฟล์รูปภาพให้เป็น WebP, การใช้ Cache, การเอา JavaScript ที่ไม่จำเป็นออกไป หรือการบีบอัดไฟล์ต่าง ๆ ให้มีขนาดเล็กลง เป็นต้น

2. Website Structure

Website Structure หรือโครงสร้างเว็บไซต์เป็นเหมือนกับแผนผังที่แสดงว่าหน้าแต่ละหน้าอยู่ตรงส่วนไหนของเว็บไซต์ และแต่ละหน้ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ถ้าโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณถูกวางอย่างเป็นระเบียบ มีการวางระบบนำทางที่ชัดเจน จะช่วยให้ผู้ใช้งานใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น และยังเป็นผลดีตอนที่ Googlebot เข้ามาสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลไปทำดัชนีและจัดอันดับด้วย

3. XML Sitemap

XML Sitemap (แผนผังเว็บไซต์) เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามไปในการปรับปรุง Technical SEO เพราะ XML Sitemap จะเป็นไฟล์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ไว้ทั้งหมด เพื่อให้ Search Engine นำข้อมูลไปจัดทำดัชนีได้เร็วขึ้น ซึ่งคุณจะต้องสร้าง XML Sitemap ก่อน จากนั้นก็ส่งไปให้ Search Engine ตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Search Console

4. Robots.txt

Robots.txt เป็นไฟล์ที่ใช้ในการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลบนเว็บไซต์จาก Googlebot เพื่อป้องกันไม่ให้ Googlebot เข้าถึงหน้าเว็บที่เราไม่ต้องการ เช่น หน้า Dashboard, หน้าที่ยังปรับปรุงไม่เสร็จ, หน้าที่มีข้อมูลส่วนตัว หรือหน้าเว็บที่มีปัญหาเรื่องคอนเทนต์ซ้ำแต่ยังไม่ได้แก้ไข เป็นต้น

5. Mobile-Friendly

Google จะให้คะแนนพิเศษกับเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์มือถือมากกว่าอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างคอมพิวเตอร์ เพราะคนส่วนใหญ่ที่ใช้งาน Google มักจะค้นหาสิ่งต่าง ๆ และเข้าไปยังเว็บไซต์ผ่านมือถือนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ คุณจะต้องปรับปรุงเว็บไซต์ให้สามารถแสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile-Friendly) ด้วย หรือจะใช้ Responsive Design เข้ามาช่วยก็ได้เช่นกัน

6. SSL Connection 

SSL Connection เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่จำเป็นต้องมีทุกเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ ช่วยให้ผู้ใช้งานไว้วางใจว่าจะไม่ถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวอย่างแน่นอน และป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ถูกโจมตีได้อีกด้วย วิธีสังเกตว่าเว็บไซต์ที่คุณใช้งานอยู่ปลอดภัยหรือไม่ ให้ดูจาก URL ของเว็บไซต์ว่าเป็น HTTPS (มี S ) หรือไม่

7. URL Structure

URL Structure (โครงสร้างของ URL) จะต้องถูกปรับปรุงให้ง่ายต่อการใช้งานของผู้ใช้งานและ Search Engine ด้วย นั่นก็คือการออกแบบให้อ่านง่าย อ่านแล้วรู้ว่าหน้านั้น ๆ มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดย URL จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ Protocal (https://), Domain Name (anga.co.th) และ Path (ชื่อ URL ที่คุณจะต้องกำหนดลงไป) แนะนำให้กำหนด URL ให้สั้นที่สุด มีคีย์เวิร์ดประกอบ สื่อความหมายได้ และถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะดีต่อการนำไปใช้งานมากขึ้นด้วย

8. Schema Markup

การติดตั้ง Schema Markup (โค้ด) จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ SEO ในรูปแบบที่โดดเด่นกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ อีกด้วย ซึ่ง Schema Markup ก็มีให้เลือกหลากหลายประเภท เช่น Article, Person, How To, Review, Product, Event, Organization, Video ฯลฯ แนะนำให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของเว็บไซต์และประเภทของเนื้อหาจะเป็นการดีที่สุด

บทสรุปเรื่อง Technical SEO

Technical SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพมากที่สุด เพื่อให้เว็บไซต์สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ด้วยการติดอันดับบน Google ในตำแหน่งที่ดีที่สุด หากคุณเป็นมือใหม่ในด้านนี้ แนะนำให้คุณทำเช็กลิสต์และปรับปรุง Technical SEO ตามเทคนิคต่าง ๆ ที่เราได้แนะนำไปในบทความนี้ก่อนได้เลย เพราะเทคนิคเหล่านี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่คุณควรลงมือทำก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมให้เว็บไซต์นั่นเอง

ก่อนจะจากกันไปขอแนะนำเครื่องมือที่ใช้ในการทำ Technical SEO สักนิด เพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้คุณเห็นภาพมากขึ้น นั่นก็คือเครื่องมือ Google Search Console (วิเคราะห์และตรวจสอบปัญหาของเว็บไซต์), PageSpeed Insights (วิเคราะห์และแนะนำแนวทางในการปรับปรุง PageSpeed) รวมถึง SEMrush Ahrefs และ Screaming Frog ที่สามารถวิเคราะห์ปัญหาและช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ในเชิงลึกได้อีกด้วยANGA (แองก้า) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO บริการรับทำ SEO ครบวงจร พร้อมบริการตรวจสอบคุณภาพเว็บไซต์และรับทำ SEO Technical Audit เพื่อสร้างการเติบโตแก่ให้เว็บไซต์และธุรกิจของคุณในระยะยาว

บทความที่เกี่ยวข้อง

HubSpot คืออะไร? ช่วยดูแลธุรกิจ ครบจบในตัวเดียวจริงไหม?

สำหรับการทำธุรกิจในยุคนี้ ทีมที่องค์กรขาดไปไม่ได้เลยคือทีมการตลาดและทีมขาย ทั้งสองทีมนี้ต้องทำงานร่วมกัน ในการดึงลูกค้าเข้ามาและปิดการขาย แต่ด้วยความที่ต่างทีมต่างมีลำดับขั้นตอนและรายละเอียดของเนื้องา
47

Google Analytics 4 คืออะไร ต่างจากเวอร์ชันเก่าอย่างไร

Google Analytics (GA) เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมาก สำหรับนักการตลาดและแบรนด์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพราะ GA จะช่วยให้คุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้งานบนเว็บไซต์มากขึ้น และทำให้คุณได้ข้อมูล
31

ส่อง 10 เทรนด์ TikTok 2024 จับกระแส ปั้นช่องให้ปังก่อนใคร

อย่างที่เรารู้กันว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (Social Media) ที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ในจำนวนมหาศาล จนเกิดเป็นกระแสไวรัลได้ง่าย เพียงแค่คุณทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ TikTok วันนี้ หรือในแต่ละช่วงเวลา
23
th