การทำ SEO เว็บไซต์เป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่ทุกธุรกิจไม่ควรมองข้าม หากต้องการตีตลาดบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกับธุรกิจ SME, E-Commerce หรือธุรกิจ B2B ที่ลูกค้ามองหาความน่าเชื่อถือเป็นหลักด้วยการเสริชหาข้อมูลต่างๆ บน Google เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดเลยสงสัยว่า ถ้าต้องการให้เว็บติดหน้าแรก google ต้องทำอย่างไร? หากต้องการทำ SEO ด้วยตัวเองจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี? เพราะการปรับปรุงเว็บไซต์ให้รองรับ SEO สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย โอกาสทางธุรกิจต่างๆ หรือการเป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น 

ในฐานะที่ ANGA เป็นดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO เราจะมาสอนวิธีทำ SEO ติดหน้าแรก Google อย่างละเอียด พร้อมเช็กทักษะที่ต้องมีหากอยากทำ SEO ได้ด้วยตัวเองในปี 2025 กับ 10 ขั้นตอนที่เข้าใจง่ายแบบ Step by Step อ่านจบแล้วลงมือทำได้ทันที หรือทำงานร่วมกับบริษัทรับทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างเห็นผล

การทำ SEO คืออะไร? พื้นฐานที่มือใหม่ต้องรู้ หากอยากทำ SEO

การทำ SEO (Search Engine Optimization ) คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้รองรับ SEO โดยจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google, Yahoo, Baidu หรือ Bing และทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหา (Search Engine Results Page: SERP) เพื่อจุดประสงค์ทางการตลาด เช่น

  • เพิ่ม Traffic ให้เว็บ: เพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ (Website Traffic) แบบมีคุณภาพ โดยไม่ต้องยิงแอด
  • หาเว็บคุณเจอก่อนคู่แข่ง: ลูกค้ากว่า 93% หาข้อมูลที่ Google การทำเว็บไซต์ติดหน้าแรกเหมือนทำให้ร้านของคุณอยู่ทำเลที่ดีที่สุดบนโลกออนไลน์
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: การทำ SEO ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ในวงกว้าง คนเชื่อผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic) มากกว่าโฆษณา
  • เป็น Top-of-Mind ในสายตาลูกค้า: การทํา SEO ให้ติดหน้าแรก Google ในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณซ้ำๆ ลูกค้าจะจดจำแบรนด์ของคุณได้ และมองว่าคุณคือ "ผู้นำ" หรือ "ผู้เชี่ยวชาญ" ในอุตสาหกรรมด้วย
  • ได้ลูกค้าที่พร้อมซื้อ: การทำเว็บ SEO จะดึงดูดคนที่กำลังค้นหาสิ่งที่คุณมีขายอยู่แล้ว ทำให้ปิดการขายง่ายขึ้น จึงเป็นวิธีเพิ่มยอดขายด้วย SEO
  • คุ้มค่าในระยะยาว: เป็นการลงทุนครั้งเดียวที่สร้างลูกค้าได้ต่อเนื่อง ต่างจากการยิงแอดที่หยุดจ่ายโพสต์ก็หายไปทันที
  • เข้าใจตลาด แซงหน้าคู่แข่ง: ข้อมูลที่ได้จากการทำเว็บ SEO ทำให้รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร เพื่อนำไปปรับกลยุทธ์การตลาดให้นำหน้าคู่แข่งได้เสมอ

ตัวอย่างการทำ SEO ติดหน้าแรก Google ในรูปแบบของ Featured Snippet หรืออันดับ 0

สอนทำ SEO ติด Featured Snippet

ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO เว็บไซต์

Piyawat Supsindumrong | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ความเห็นเกี่ยวกับการทำ SEO ว่า

“ในมุมมองการลงทุนระยะยาว การยิงแอดธุรกิจจะต้องจ่ายเพื่อซื้อทราฟฟิกแบบรายวัน หยุดจ่ายเมื่อไหร่ทราฟฟิกก็หายไปทันที แต่ SEO เป็นการลงทุนสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาครับ เมื่อทำเว็บไซต์ติดหน้าแรกแล้ว จะกลายเป็นเครื่องมือหาลูกค้าให้คุณแบบ Organic ได้ทุกวัน หากธุรกิจของคุณต้องการความได้เปรียบที่ยั่งยืน แนะนำให้ลองทำ SEO ด้วยตัวเอง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากไม่มีเวลาลองผิด ลองถูกเองครับ”

10 วิธีการทำ SEO เว็บไซต์ สอนทำ SEO ติดหน้าแรก อัปเดต 2025

อยากทำ SEO แต่งบประมาณจำกัด หรือกำลังลังเลว่าจะทำ SEO เว็บไซต์ดีไหม ต้องทำ SEO ยังไงให้เห็นผล แองก้าจึงสรุปวิธีทําให้ Google หาเว็บเราเจออย่างละเอียด เหมือนสอนทำ SEO ฟรีแบบตัวต่อตัวเลยครับ บอกเลยว่า อ่านจบสามารถเอาไปต่อยอดทำเว็บไซต์ของตัวเองได้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน

10 วิธีทำ SEO เว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก 2024

1. ระบุเป้าหมายของการทำ SEO เว็บไซต์

เป้าหมาย SEO ไม่ได้มีแค่เรื่องอันดับและ Traffic เท่านั้น แต่สามารถแบ่งเป็นเป้าหมายต่างๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจโดยตรงได้ เช่น

  • เป้าหมายด้านการมองเห็น (Visibility Goals):
    • ทำให้อันดับ (Ranking) ของคีย์เวิร์ดหลัก 10 คำ ติด 1 ใน 10 ภายใน 6 เดือน
    • เพิ่มค่า Impression (จำนวนครั้งที่เว็บแสดงในผลการค้นหา) ขึ้น 200% ใน 1 ปี
  • เป้าหมายด้านทราฟฟิก (Traffic Goals):
    • เพิ่ม Organic Traffic โดยรวมขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
    • เพิ่ม Click-Through Rate (CTR) หรืออัตราการคลิกของหน้าสำคัญให้สูงกว่า 5%
  • เป้าหมายด้านการมีส่วนร่วม (Engagement Goals):
    • ลด Bounce Rate (อัตราการตีกลับ) ของหน้า Landing Page หลักให้ต่ำกว่า 40%
    • เพิ่ม Time on Page (เวลาที่ผู้ใช้อยู่บนหน้าเว็บ) ของบทความสำคัญให้เฉลี่ยเกิน 3 นาที
  • เป้าหมายด้านธุรกิจ (Business & Conversion Goals):
    • เพิ่ม ยอดสั่งซื้อสินค้า (Conversion) ที่มาจาก Organic Search ขึ้น 20% ภายใน 3 เดือน
    • เพิ่ม จำนวนการลงทะเบียนเพื่อขอใบเสนอราคา ผ่านหน้าเว็บไซต์เป็น 50 ครั้งต่อเดือน

การทำ SEO Website มีความยืดหยุ่นสูง คุณสามารถติดตาม วิเคราะห์ และปรับกลยุทธ์ได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อ Google มีการอัปเดตอัลกอริทึมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ให้ตอบโจทย์การใช้งานในแต่ละช่วงเวลามากที่สุด

2. วิเคราะห์และเปรียบเทียบเว็บไซต์กับคู่แข่ง

วิธีวิเคราะห์ SEO เพื่อสู้กับคู่แข่ง คือการหาจุดอ่อน-จุดแข็งให้เจอ หาว่าเขาทำอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ และเรามีจุดไหนที่สามารถทำได้ดีกว่า กลยุทธ์นี้จะช่วยให้เจอช่องทางในการพัฒนากลยุทธ์ SEO ของตัวเองให้ได้เปรียบคู่แข่ง โดยสิ่งที่ต้องนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบคือ

  • ประสบการณ์บนเว็บไซต์ (Website Experience): ความเร็วเว็บ (Page Speed), โครงสร้างเว็บ (Site Structure), การรองรับมือถือ (Mobile-Friendly), โครงสร้างเนื้อหา (Content Structure)

Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX) อย่างมาก หากเว็บคู่แข่งช้าหรือใช้งานบนมือถือยาก นี่คือ จุดอ่อนทางเทคนิคที่คุณสามารถโจมตีได้ การมีเว็บไซต์ที่เร็วกว่าและใช้งานง่ายกว่าเพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณมีอันดับเหนือกว่าได้

  • On-Page SEO (การปรับแต่งภายในเว็บไซต์): คุณภาพเนื้อหา, การตั้งชื่อ URL, Meta Title, Meta Description, การใช้คีย์เวิร์ด, การจัดลำดับ Heading Tag (H1, H2, H3…)

วิเคราะห์ว่าเนื้อหาของคู่แข่งลึกและครอบคลุมกว่าของเราหรือไม่? การที่คุณสร้างเนื้อหาที่ดีกว่า ละเอียดกว่า และมีประโยชน์กว่า คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดในการบอก Google ว่าเว็บไซต์ของคุณสมควรได้รับอันดับที่ดีกว่า

  • กลยุทธ์คีย์เวิร์ด (Keyword Strategy): คู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดคำไหนเป็นหลัก, กำลังเน้นคีย์เวิร์ดประเภทไหน เพราะแต่ละประเภทของ Keyword จะมีจุดประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันไป, และพวกเขามีอันดับที่ดีในคีย์เวิร์ดอะไรบ้างที่เรายังไม่มี

มองหา Keyword Gap หรือคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งหลายรายติดอันดับ แต่เรายังไม่ติด เป็นโอกาสในการสร้างเนื้อหาใหม่ๆ ที่คู่แข่งยังไม่มี

  • Backlink (ลิงก์คุณภาพที่ชี้กลับมายังเว็บไซต์): จำนวน Backlink, คุณภาพของเว็บที่ลิงก์มา, และแหล่งที่มา เช่น เว็บข่าว, บล็อกเกอร์, หรือเว็บบอร์ด

Backlink เหมือนกับเสียงโหวต ที่แสดงความน่าเชื่อถือในสายตา Google การวิเคราะห์ Backlink ของคู่แข่งจะทำให้รู้ว่า ใครในวงการที่ยอมรับพวกเขาบ้าง เพื่อวางแผนไปสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์เหล่านั้นให้เว็บไซต์ของคุณเองด้วย

3. ออกแบบเว็บไซต์ SEO ให้เหมาะกับผู้ใช้งาน

เว็บไซต์ที่ติดหน้าแรก Google มักจะมีการออกแบบเว็บไซต์ SEO เพื่อให้ลูกค้าใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะบนมือถือ หากเว็บโหลดช้า หาสิ่งต่างๆ ยาก หรือดูไม่ดีบนมือถือ ต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหนคนก็จะกดออกทันที เพราะ Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience - UX) โดยหลักการออกแบบเว็บไซต์ที่ส่งผลดีต่อ SEO

  • มีโครงสร้างเว็บไซต์ที่เรียบง่าย: จัดหมวดหมู่เนื้อหาให้ชัดเจน ไม่ซับซ้อน ทำให้ทั้งผู้ใช้และ Google Bot เข้าใจภาพรวมของเว็บไซต์ได้ง่าย
  • เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว: เว็บควรแสดงผลไว ตอบสนองทันที เพราะความเร็วคือปัจจัยสำคัญใน Core Web Vitals ซึ่งเป็นคะแนนที่ Google ใช้วัดคุณภาพเว็บไซต์โดยตรง
  • จัดวางเมนูและปุ่มอย่างเป็นระเบียบ: องค์ประกอบบนเว็บต้องเอื้อให้ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายที่สุดโดยไม่ต้องคลิกเยอะ
  • ออกแบบให้อ่านง่าย: เลือกใช้สีและขนาดตัวอักษรที่อ่านสบายตา เหมาะกับคนทุกวัย เพื่อให้ผู้ใช้อ่านเนื้อหาได้สะดวก
  • แสดงข้อมูลสำคัญให้ชัดเจน: มี FAQ, ข้อมูลการติดต่อ (เบอร์โทร, อีเมล, ที่อยู่) ที่หาเจอได้ง่าย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
  • รองรับทุกอุปกรณ์ (Responsive Design): เว็บไซต์ต้องแสดงผลได้อย่างสมบูรณ์แบบบนทุกขนาดหน้าจอ โดยเฉพาะมือถือ (Mobile-First) ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักที่คนใช้ค้นหาและเป็นเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ

ทำไมการออกแบบเว็บไซต์ (UX/UI) ส่งผลกับการทำ SEO?

Google พัฒนาอัลกอริทึมให้สามารถวัดผล และเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ได้ หากผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้ามาในเว็บของคุณแล้วกดออกทันที Google จะมองว่าเว็บไม่มีคุณภาพ หรือไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวัง และจะลดอันดับเว็บของคุณลงได้ การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีจึงสำคัญเพราะ

  • สร้างสัญญาณบวกให้ Google: เมื่อผู้ใช้เข้าเว็บแล้วอยู่ต่อนาน และใช้งานง่าย Google จะมองว่าเว็บของคุณมีคุณภาพและมอบประสบการณ์ที่ดี ซึ่งส่งผลดีต่อการดันอันดับ SEO เว็บไซต์ด้วย
  • ลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate): การออกแบบที่ดีช่วยรั้งให้คนอยู่บนเว็บนานขึ้น ลดโอกาสที่ผู้ใช้จะกดปิดทันทีเพราะเว็บโหลดช้าหรือใช้งานยาก
  • เพิ่มยอดขาย (Conversion): เว็บที่ออกแบบดีไม่เพียงช่วยเรื่องอันดับ แต่ยังนำทางผู้ใช้ไปสู่การตัดสินใจซื้อหรือติดต่อได้ง่ายขึ้น ทำให้ SEO นำไปสู่ยอดขายได้จริง

4. เพิ่มความปลอดภัยให้เว็บไซต์

ถ้าเว็บไซต์มีระบบรักษาความปลอดภัยจะทำให้เว็บไซต์น่าเชื่อถือ ลดโอกาสเว็บถูกแฮ็ก ป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานก็สบายใจ และมีส่วนในการทําเว็บให้ติดอันดับ Google ได้ด้วย เช่น 

  • การติดตั้ง SSL Certificate (เปลี่ยนเว็บจาก http:// เป็น https://)
  • การติดตั้ง Security Plugin (โดยเฉพาะเว็บ WordPress)
  • การสำรองข้อมูลบนเว็บไซต์เป็นประจำ
  • การอัปเดตซอฟต์แวร์และปลั๊กอินอยู่เสมอ (ไม่ควรใช้ปลั๊กอินเถื่อน เพราะมีช่องโหว่สูง)
  • การใช้รหัสผ่านเข้าหลังบ้านเว็บไซต์ที่คาดเดาได้ยาก
SSL Certificate เว็บไซต์ HTTPS

ทำไม Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเว็บไซต์?

Google ต้องการให้ผู้ใช้งานได้ผลการค้นหาที่มีคุณภาพและปลอดภัยที่สุด หากแนะนำเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย ผู้ใช้งานก็จะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัว Google เอง ดังนั้น Google จึงผลักดันให้ทุกเว็บไซต์ต้องมีความปลอดภัยเป็นมาตรฐาน และเพื่อเหตุผลสำคัญ ดังนี้

  • ปกป้องข้อมูลผู้ใช้: Google ต้องการให้แน่ใจว่า ข้อมูลส่วนตัวที่ผู้ใช้กรอกบนเว็บไซต์ (เช่น รหัสผ่าน, บัตรเครดิต) ถูกเข้ารหัสและปลอดภัยจากการถูกแฮกเกอร์สามารถดักจับ
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บที่ปลอดภัย (HTTPS) ทำให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจ ในขณะที่เว็บที่ไม่ปลอดภัยจะถูกเบราว์เซอร์เตือนว่า "ไม่ปลอดภัย" (Not Secure) ทำให้ผู้ใช้กดออกทันที
  • ป้องกันเว็บอันตราย: เว็บที่ปลอดภัยช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮก เพื่อใช้เป็นฐานกระจายมัลแวร์หรือหลอกขโมยข้อมูล (Phishing)
  • เป็นปัจจัยการจัดอันดับ: Google ใช้ความปลอดภัย (HTTPS) เป็นหนึ่งในคะแนนสำคัญในการดันอันดับ SEO เว็บไซต์ เพื่อผลักดันให้ทุกเว็บไซต์มีมาตรฐานความปลอดภัยที่ดีขึ้น

5. ทำ Keyword Research ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่

การทำ Keyword Research เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำเว็บไซต์ SEO อย่างมาก เพราะคีย์เวิร์ด (Keyword) คือคำที่จะทำให้ธุรกิจของคุณไปปรากฏอยู่ในสายตาของผู้คนมากขึ้น ดังนั้น การทำ Keyword Research ช่วยให้รู้ว่าลูกค้าตัวจริงใช้คำไหนในการค้นหา, พวกเขามีปัญหาอะไร, และกำลังมองหาสินค้าหรือข้อมูลแบบไหนอยู่ ซึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้หาคีย์เวิร์ด เช่น

  • SERanking
  • Ubersuggest
  • Ahrefs
  • SEMrush 
  • KWfinder
  • Google Keyword Planner
  • การค้นหาบนหน้า Google เลย

แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เป็นคำที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง และต้องมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) ที่เหมาะสม ไม่น้อยจนไม่มีคนเห็น และไม่สูงจนแข่งขันไม่ไหว โดยเฉพาะสำหรับเว็บใหม่

ข้อควรระวังในการทำ Keyword Research

ปัจจุบันการแสดงผลของ Google เน้นเนื้อหาที่ตอบโจทย์เจตนาการค้นหา (Search Intent) ของผู้ใช้สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือการทำความเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงค้นหาคำนั้น เช่น หากเสริชว่า “ซื้อประกันรถยนต์” กับคำว่า “เปรียบเทียบประกันรถยนต์” คุณจะได้เห็นการจัดอันดับเว็บไซต์บน SERPs ที่แตกต่างกัน 

หมายความว่า หากไม่รู้จักวิธีการเขียนเนื้อหาเพื่อตอบโจทย์ Search Intent เว็บไซต์และบทความของคุณอาจจะไม่ติดอันดับ หรือสู้เว็บไซต์คู่แข่งไม่ได้ ซึ่งปัจจุบัน Search Intent แบ่งเป็น 5 ประเภทหลักๆ คือ

  • Informational
  • Navigational
  • Commercial
  • Transactional
  • และ Local 

เคล็ดลับ ลองใช้ Keyword คำนั้นค้นหาบน Google ด้วยตัวเอง แล้วดูว่าผลลัพธ์หน้าแรกเป็นเว็บประเภทไหน (บทความ, สินค้า, หรือรีวิว) นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำความเข้าใจ Search Intent ของคีย์เวิร์ดคำนั้นๆ ครับ

6. เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านจริงๆ

ยิ่งเว็บไซต์มีเนื้อหาที่ครบถ้วน ครอบคลุม และลงลึกมากแค่ไหน พวกเขาก็จะใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณกลับไปให้ Google เห็นว่า เว็บนี้มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ส่งผลดีต่อการทำ SEO ติดหน้าแรก การเขียนบทความ SEO ที่มีคุณภาพตามหลักการนี้ เป็นส่วนสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ที่จะช่วยดันอันดับให้เว็บไซต์คุณ

  • ตอบโจทย์การค้นหา (Search Intent): สร้างเนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ค้นหาอยากรู้จริงๆ ไม่ใช่การเขียนอ้อมค้อม วนไปวนมา
  • อ่านง่าย เข้าใจไว: ใช้ภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ จัดย่อหน้าที่ดี มีหัวข้อย่อย และอธิบายคำศัพท์เฉพาะเมื่อจำเป็น เพราะเมื่อเนื้อหาของคุณช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องยากๆ ได้ง่ายขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณ

เคล็ดลับการสร้างเนื้อหาที่ Google แนะนำ

Google ใช้หลักการที่เรียกว่า E-E-A-T เป็นเกณฑ์สำคัญในการวัดว่าเนื้อหาไหนคือคำตอบที่ดีที่สุด

  • Experience & Expertise (ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ): เนื้อหาควรแสดงให้เห็นว่าเขียนโดยผู้ที่รู้ลึกรู้จริง หรือมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นๆ
  • Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือของแบรนด์): แบรนด์หรือผู้เขียนเป็นที่ยอมรับในวงการนั้นๆ หรือไม่? มีเว็บไซต์อื่นพูดถึงหรืออ้างอิงถึงบ้างหรือเปล่า?
  • Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือของข้อมูล): ข้อมูลที่นำเสนอต้องถูกต้อง อัปเดตล่าสุด และโปร่งใส หากมีแหล่งอ้างอิงควรระบุให้ชัดเจน

7. ปรับแต่ง On-Page SEO ให้เข้าใจง่าย

On-Page SEO คือ การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและ Search Engine เข้าใจเนื้อหาในหน้านั้นๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายที่สุด โดยองค์ประกอบสำคัญของ On-Page SEO มีดังนี้

  • Meta Title & Meta Description: เป็นสิ่งแรกที่คนจะเห็นและตัดสินใจว่าจะคลิกเข้ามาอ่านบทความเราหรือไม่ จึงต้องเขียนให้น่าสนใจและมีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ด้วย
  • URL (ชื่อลิงก์): ควรตั้งชื่อให้สั้น กระชับ สื่อความหมาย และมีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ การใช้ URL ที่สะอาดตาช่วยให้ทั้งผู้ใช้และ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้านั้นๆ ได้ทันที
  • Heading Tags (H1, H2, H3): คือ หัวข้อหลักและหัวข้อย่อยภายในบทความ การจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาด้วย Tag เหล่านี้ (H1 มีได้อันเดียวสำหรับหัวข้อที่สำคัญที่สุด) ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างและใจความสำคัญของเนื้อหาได้ดีขึ้น
  • Internal & External Links
    • Internal Link คือ การลิงก์ไปหน้าอื่นๆ ภายในเว็บของเรา ช่วยสร้างความเชื่อมโยงให้เนื้อหา และทำให้ Google Bot วิ่งสำรวจเว็บเราได้ง่ายขึ้น
    • External Link คือ การลิงก์ไปเว็บอื่น ภายนอก เพื่ออ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้บทความของเรา
  • Image & Alt Text
    • Alt Text คือ คำอธิบายรูปภาพที่เราใส่ไว้หลังบ้าน มันไม่ได้มีไว้แค่เพื่อใส่คีย์เวิร์ด แต่มีหน้าที่สำคัญ 2 อย่าง คือ ช่วยให้ Google เข้าใจว่ารูปภาพนั้นคืออะไร และช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา ที่ใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอให้เข้าใจบริบทของรูปภาพได้
  • Schema Markup
    • Schema Markup คือ การติดป้ายข้อมูลให้กับ Google เพื่อบอกว่าเนื้อหาส่วนนี้คืออะไร เช่น นี่คือส่วน "คำถามที่พบบ่อย (FAQ)" ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสแสดงผลแบบพิเศษ (Rich Snippets) ที่โดดเด่นกว่าคู่แข่งในหน้าผลการค้นหาได้

8. สร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ

ลองจินตนาการว่า วิธีทำ Backlink หรือ Link Building เป็นเหมือนวิธีแนะนำหรือการอ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์เรา เมื่อเว็บที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือลิงก์มาหาเรา ก็เหมือนการที่ผู้เชี่ยวชาญในวงการช่วยการันตีว่า เว็บไซต์นี้น่าสนใจและมีคุณภาพ ซึ่ง Google จะมองว่าเว็บของเรามีความน่าเชื่อถือสูงตามไปด้วย

ทำ Backlink คุณภาพ

ประโยชน์ของการทำ Backlink และผลที่มีต่อ SEO

  • สร้างความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness): เมื่อเว็บไซต์ที่มีคุณภาพอ้างอิงเนื้อหาจากเว็บไซต์เรา และมีการลิงก์กลับมา Google จะมองว่าเว็บเราน่าเชื่อถือและเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ
  • ส่งสัญญาณบวกให้ Google: ยิ่งมีเว็บอื่นอ้างอิงถึงเรามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการส่งสัญญาณ (Signal) ที่ดีให้ Google Bot รู้ว่าเนื้อหาของเรามีประโยชน์และมีคุณภาพ
  • ช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้น: ความน่าเชื่อถือที่ได้จาก Backlink คุณภาพ เป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการพิจารณาจัดอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้น

ข้อควรระวังในการทำ Backlink

  • คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ: การทำ SEO ปี 2025 Backlink เยอะๆ ไม่ได้รับประกันว่าจะทำให้อันดับดีเสมอไป ลิงก์คุณภาพสูงเพียงลิงก์เดียวอาจมีค่ามากกว่าลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพนับร้อย
  • บริบทต้องเกี่ยวข้อง: Google ไม่ได้ดูแค่ลิงก์ แต่ดูบริบทรอบๆ ลิงก์ด้วย Backlink ควรมาจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราด้วย
  • แหล่งที่มาต้องน่าเชื่อถือ: ความน่าเชื่อถือของโดเมนที่ลิงก์มาหาเราเป็นสิ่งสำคัญมาก การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์ที่เป็นที่ยอมรับ จะช่วยเพิ่มค่าความน่าเชื่อถือให้เว็บเราสูงขึ้น เช่น เว็บข่าวหรือเว็บการเงิน

ตัวอย่างการทำ Backlink ที่ถูกต้อง

ตัวอย่างการทำ Backlink ที่ถูกต้อง

จากรูปจะเห็นว่า เว็บไซต์ของ ANGA (แองก้า) ก็มีการทำ Backlink จากเว็บข่าวที่เป็นที่รู้จัก และมี Domain Rating (DR) สูงถึง 76 หมายความว่าเว็บนี้มีความน่าเชื่อถือในสายตาของ Google และมีผู้ใช้เข้ามาอ่านบทความนี้จริงๆ ซึ่งบทความ “มัดรวม 5 บริษัทรับทำ SEO ที่มาแรงที่สุดในปี 2025” เป็นเหมือนการอัปเดตข่าวในวงการการตลาดออนไลน์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเดลินิวส์ซึ่งเป็นเว็บข่าวที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยนั่นเองครับ

9. สร้างตัวตนและความน่าเชื่อถือผ่าน Social Media

วิธีทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google การมีแค่เว็บอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ Social Media คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงผู้คนจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว การแชร์ลิงก์บทความผ่านช่องทางนี้ ไม่เพียงช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บและกระตุ้นยอดขาย แต่ยังเป็นการสร้างตัวตนและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณบนโลกออนไลน์ด้วย ผ่าน Social Media ที่มีลักษณะ ดังนี้

  • มีการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ
  • มีผู้ติดตามเป็นผู้ใช้งานจริงๆ
  • และมีการพูดคุยโต้ตอบกัน (Engagement) 

แม้ว่า Traffic หรือยอดไลก์จาก Social Media จะไม่ใช่ปัจจัยตรงในการจัดอันดับของ Google แต่เป็นการสร้างสัญญาณทางสังคม (Social Signals) ที่บ่งบอกว่า แบรนด์ของคุณมีอยู่จริง มีคนพูดถึง และได้รับความสนใจ ปัจจุบัน Search Engine กำลังพัฒนาไปสู่ยุคของ AI อย่างเต็มตัว ASEO (Adaptive Search Engine Optimization) เป็นเทคนิคทำ SEO แบบใหม่ เพื่อดันอันดับ SEO เว็บไซต์ในยุค AI ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างความน่าเชื่อถือผ่าน Social Media หรือ External Signal นี้ด้วยเหมือนกันครับ

10. ติดตามความคืบหน้าและวิเคราะห์ผลลัพธ์

โดยทั่วไปการทำ SEO จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 3-6 เดือน แต่วิธีวัดผลการทำ SEO ไม่ใช่ดูแค่ว่าอันดับขึ้นหรือยัง? แต่ต้องทำความเข้าใจภาพรวมทั้งหมดว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นส่งผลดีต่อธุรกิจหรือไม่ การวัดผลอย่างสม่ำเสมอ (รายสัปดาห์, รายเดือน) ช่วยให้เราปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที แทนที่จะรอจนครบ 6 เดือนแล้วค่อยพบว่ากำลังเดินผิดทาง คุณสามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Google Search Console และ Google Analytics เพื่อติดตามความคืบหน้าและวิเคราะห์ผลลัพธ์ต่อไปนี้

1. ด้านการมองเห็น (Visibility) - คนเห็นเราเยอะขึ้นไหม?

  • Impressions (จำนวนการแสดงผล): เว็บไซต์ปรากฏขึ้นในหน้าผลการค้นหาบ่อยแค่ไหน? ตัวเลขนี้ควรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • Keyword Rankings (อันดับคีย์เวิร์ด): คีย์เวิร์ดเป้าหมายมีอันดับดีขึ้นหรือไม่? และมีคีย์เวิร์ดใหม่ๆ ที่เราเริ่มติดอันดับบ้างหรือเปล่า?

2. ด้านทราฟฟิก (Traffic) - มีคนคลิกเข้ามาที่เว็บไหม?

  • Clicks / Organic Sessions (จำนวนคลิก / คนเข้าเว็บ): มีคนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์จาก Google Search มากขึ้นหรือไม่?
  • CTR (Click-Through Rate): อัตราส่วนระหว่างการเห็นกับการคลิก ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะมันหมายความว่า Title และ Description ของเราน่าสนใจพอที่จะดึงดูดคนให้คลิกเข้ามา

3. ด้านพฤติกรรมและธุรกิจ (Behavior & Business) - เมื่อเข้ามาแล้วเกิดอะไรขึ้น?

  • Bounce Rate (อัตราตีกลับ): มีคนกดปิดทันทีหลังจากเข้ามาหน้าแรกเยอะแค่ไหน? (ยิ่งน้อยยิ่งดี)
  • Conversions (ยอดขาย/เป้าหมาย): ท้ายที่สุดแล้ว Traffic ที่เข้ามาสร้างยอดขาย, การลงทะเบียน, หรือการติดต่อทางธุรกิจได้จริงหรือไม่?

ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO 

อยากทำ SEO เอง ต้องมีทักษะอะไรบ้าง?

ต้องมีทักษะการวิเคราะห์ เช่น การดูข้อมูลหลังบ้าน, มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำคอนเทนต์, และเข้าใจการปรับปรุงโครงสร้าง และองค์ประกอบหลังบ้านของเว็บไซต์ (Technical SEO) ทักษะเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้ แค่ต้องมีเวลาและความสม่ำเสมอในการฝึกทำ SEO ครับ

เว็บไซต์ที่ดีควรมีการอัปเดตเนื้อหาอย่างไร เพื่อผลดีต่อ SEO?

ควรเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ ที่มีประโยชน์และตรงกับสิ่งที่คนค้นหาอย่างสม่ำเสมอ และต้องแบ่งเวลากลับไปปรับปรุงเนื้อหาเก่าให้ข้อมูลอัปเดตอยู่เสมอ นี่คือหัวใจสำคัญของการโพสต์ยังไงให้ติด Google ในระยะยาวเลยครับ

SEO กับ SEM ต่างกันยังไง?

SEO คือการทำให้เว็บติดอันดับแบบธรรมชาติ (Organic) โดยไม่ต้องเสียเงินค่าคลิก ส่วน SEM เช่น Google Ads คือการจ่ายเงินซื้อโฆษณา หรือหรือการยิงแอดเพื่อให้เว็บแสดงผลทันที เมื่อมีคนคลิกก็ต้องเสียเงินทุกครั้ง

การติดตามความเปลี่ยนแปลงด้าน SEO ของเว็บไซต์ ต้องทําอย่างไร?

ใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Google Search Console และ Google Analytics เพื่อดูข้อมูลสำคัญ เช่น อันดับคีย์เวิร์ด, จำนวนคนเข้าเว็บ, และพฤติกรรมผู้ใช้งาน เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณ

ทำ SEO กี่เดือนถึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในช่วง 4-6 เดือน และจะให้ผลดีในระยะยาวครับ โดยวิธีทําให้เว็บขึ้นหน้าแรก Google ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ อย่างการแข่งขันของคีย์เวิร์ด, คุณภาพเว็บไซต์ และกลยุทธ์ที่ใช้ทำ SEO ของแต่ละธุรกิจ

การทำ SEO ติดหน้าแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

การฝึกทำ SEO ด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงทำความเข้าใจ 10 ขั้นตอนการทำ SEO อย่างละเอียดข้างต้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วครับ แต่หากคุณไม่มีเวลามากพอ หรือไม่อยากเสียเวลาไปกับการลองผิดลองถูก การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็ถือเป็นทางลัดที่มีประสิทธิภาพ เพราะด้วยประสบการณ์ที่หลากหลาย พวกเขาอาจมีเทคนิคการทำ SEO ที่เหมาะกับธุรกิจ และช่วยให้คุณตามทันคู่แข่งได้รวดเร็วยิ่งขึ้นครับ

“ในฐานะเอเจนซี่รับทำ SEO เว็บไซต์ให้หลากหลายธุรกิจ เรามองว่าการทำ SEO ติดหน้าแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่มันจะไร้ความหมายทันทีถ้า Traffic ที่เข้ามาไม่มีคุณภาพ หรือเป็นแค่ตัวเลขผู้เข้าชม แต่ไม่สร้างยอดขายหรือการติดต่อใดๆ เลย นี่คือจุดที่แยกระหว่างการทำ SEO ทั่วไป ออกจากการทำ SEO เชิงกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ"

เป้าหมายสูงสุดของเราจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขของอันดับ แต่คือ การเปลี่ยน Ranking ให้กลายเป็น Conversion ที่วัดผลได้จริง ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, การลงทะเบียน, หรือการติดต่อเข้ามาสอบถาม เพราะสุดท้ายแล้ว SEO ที่ประสบความสำเร็จในมุมมองของธุรกิจ คือเครื่องมือที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรีพอร์ตครับ