Schema Markup คืออะไร เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ SEO
ถ้าพูดถึงวิธีทำการตลาดออนไลน์อย่างยั่งยืน วิธีแรก ๆ ที่โผล่ขึ้นมาในหัวคงไม่พ้นการทำ SEO (Search Engine Optimization) แน่นอน เพราะ SEO คือการสร้างเนื้อหาด้วยคีย์เวิร์ด (Keyword) และปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เว็บไซต์ถูก Search Engine อย่าง Google เลือกไปแสดงผลในตำแหน่งที่ดีที่สุด และอย่างที่เรารู้กันดีกว่า SEO เป็นการทำการตลาดแบบ Organic ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณาแบบ Google Ads ดังนั้น จึงต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานกว่าจะประสบความสำเร็จ
สำหรับใครที่ทำ SEO ไปนานหลายเดือนแล้ว อันดับเว็บไซต์ไม่ขยับขึ้นไปอยู่บน ๆ ของหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP : Search Engine Results Page) เสียที ลองติดตั้งตัวช่วยสุดล้ำอย่าง “Schema Markup” ดูก่อน มั่นใจได้เลยว่าอันดับขยับขึ้นชัวร์ เริ่มทำความเข้าใจว่า Schema Markup คืออะไร, มีการทำงานอย่างไร, ติดตั้งยังไง, มีกี่แบบ และสำคัญมากแค่ไหนต่อการทำ SEO ได้ในบทความนี้กับ ANGA ได้เลย
Schema Markup คืออะไร
Schema Markup คือส่วนเสริมบนเว็บไซต์ที่อยู่ในรูปแบบของโค้ด (Code) มีไว้เพื่อขยายความอธิบายเกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า โดยจะแสดงผลอยู่บน SERP เท่านั้น ไม่ได้แสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์จะต้องเป็นผู้ติดตั้ง เลือกประเภทของ Schema Markup และใส่ข้อมูลเสริมเข้าไปเอง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลติดต่อ, รีวิว, สถานที่ตั้ง, รูปภาพ, สินค้า, หน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง หรือข้อมูลอื่น ๆ ก็ตาม
จุดเด่นที่ทำให้หลาย ๆ คนเลือกติดตั้ง Schema Markup คือการเพิ่มขึ้นของ Keyword Ranking, การเพิ่มขึ้นของ Website Traffic และยังช่วยให้กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ที่ทำการค้นหาข้อมูลด้วยคีย์เวิร์ดดังกล่าว ทราบว่าเนื้อหาในหน้าเว็บนั้นจะอธิบายอะไรให้รู้บ้าง ใช่เรื่องที่พวกเขากำลังตามหาคำตอบอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยดึงดูดสายตาและกระตุ้นให้เกิดการคลิกเพิ่มขึ้นนั่นเอง
การติดตั้ง Schema Markup แบบหน้าเดียว
- ช่วยดันอันดับคีย์เวิร์ดในหน้าใดหน้าหนึ่งแบบเฉพาะเจาะจง
- สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานตั้งแต่หน้า SERP
- มีส่วนช่วยให้ CTR (Click Through Rate) หรืออัตราการคลิกผ่านเพิ่มขึ้น
- เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายประเภท เช่น สินค้า บริการ บทความ รีวิว ฯลฯ แยกจากกัน
- เหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการแสดงข้อมูลเพิ่มเติมในหน้านั้น ๆ ให้กลุ่มเป้าหมายเห็นแค่หน้าเดียว
การติดตั้ง Schema Markup แบบทั้งเว็บไซต์
- เหมาะกับการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ เช่น โลโก้ ที่ตั้ง ข้อมูลการติดต่อ
- เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเหมือนกันทั้งเว็บไซต์ อย่างเว็บไซต์ขายของออนไลน์ เป็นต้น
Schema Markup มีกี่แบบ
Schema Markup มีมากกว่า 800 รูปแบบให้เลือกใช้งาน แตกต่างกันไปตามประเภทเนื้อหาบนเว็บไซต์และประเภทของข้อมูลที่นำมาใส่ลงไปใน Schema Markup สำหรับรูปแบบที่ได้รับความนิยมและสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ จะมีอยู่ไม่กี่รูปแบบเท่านั้น ได้แก่
- Product Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับสินค้า (รูปสินค้า ราคา คะแนนสินค้า)
- Local Business Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจท้องถิ่น (ที่ตั้ง เวลาทำการ เบอร์โทรศัพท์)
- Person Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับบุคคล (ชื่อนามสกุล ยศ ความเชี่ยวชาญ ประวัติ)
- FAQ Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับคำถามที่พบบ่อย (คำถาม คำตอบ)
- Recipe Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับสูตรทำอาหาร เบเกอรี เครื่องดื่ม (ส่วนผสม อัตราส่วน เวลาทำ)
- Review Schema : เนื้อหาที่มีการรีวิว (คะแนนรีวิว ความคิดเห็นจากลูกค้า)
- How-To Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับวิธีทำ (แสดงวิธีทำเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เป็นขั้นเป็นตอน)
- Book Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับหนังสือ (ผู้แต่ง ปีที่พิมพ์หนังสือ สำนักพิมพ์ ราคา)
- Course Schema : เนื้อหาเกี่ยวกับคอร์สเรียน (ชื่อหลักสูตร ชื่อผู้สอน ระยะเวลาในการเรียน)
- Article Schema : เนื้อหาที่เป็นบทความ (หัวข้อหลัก หัวข้อย่อย ผู้เขียน วันที่เผยแพร่)
วิธีเลือก Schema Markup ให้เหมาะกับเว็บไซต์
วิธีเลือก Schema Markup มาใช้งาน เพื่อให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณมากที่สุดต้องพิจารณาจากเนื้อหาบนเว็บไซต์ หรือหน้าที่คุณต้องการติดตั้งกับ Schema Markup และ เป้าหมายของการใช้งาน Schema Markup เป็นหลัก
ตัวอย่างที่ 1 เว็บไซต์ของบริษัทรับทำ SEO
เว็บไซต์ของบริษัทรับทำ SEO จะมีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันทั้งเว็บไซต์ และเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ ความมีตัวตน และความเชี่ยวชาญ จึงแนะนำให้ใช้ Schema Markup ในรูปแบบต่อไปนี้
- Local Business Schema (หน้าแรก) สำหรับแสดงแผนที่ตั้งของบริษัท ข้อมูลการติดต่อ ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ และรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
- Service Schema (หน้าบริการ) แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับบริการรับทำ SEO ทั้งเนื้อหาเชิงความรู้และโปรโมชัน เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
- FAQ Schema (หน้าคำถามที่พบบ่อย) นำเสนอคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบริการ SEO และตอบคำถามไปในตัว เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่กลุ่มเป้าหมาย
- Article Schema (หน้าบทความ) แสดงบทความให้ความรู้เกี่ยวกับการทำ SEO เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญของบริษัท
ตัวอย่างที่ 2 เว็บไซต์ e-Commerce
ตัวอย่างที่ 2 คือเว็บไซต์ขายของออนไลน์ (e-Commerce) ของแบรนด์เครื่องสำอาง เว็บไซต์นี้จะมุ่งเน้นไปที่การนำเสนอข้อมูลสินค้า ราคา รีวิว และชื่อเสียงของแบรนด์เป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายสั่งซื้อสินค้าและเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจ แนะนำให้ติดตั้ง Schema Markup เหล่านี้
- Product Schema (หน้าสินค้า) แสดงรายละเอียดของสินค้า เช่น ชื่อ รุ่น ราคา คะแนนรีวิว คุณสมบัติ ส่วนผสม วิธีใช้งาน ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้านำข้อมูลไปใช้เปรียบเทียบ
- Offer Schema (หน้าโปรโมชันหรือหน้าสินค้า) นำเสนอโปรโมชันเด็ด ๆ หรือมอบคูปองส่วนลดเพื่อดึงดูดความสนใจ
- Brand Schema (หน้าแรก) แสดงข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ เช่น ประวัติ ปีที่ก่อตั้ง รางวัลที่ได้รับ ฯลฯ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- Review Schema (หน้ารวมรีวิวหรือหน้าสินค้า) แสดงรีวิวจากผู้ใช้จริง เพื่อสร้าง Social Proof และทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวสินค้า จนตัดสินใจซื้อในท้ายที่สุด
- FAQ Schema (หน้าคำถามที่พบบ่อย) ถาม-ตอบเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า การชำระเงิน การจัดส่ง หรือบริการพิเศษ เพื่อให้ลูกค้ารู้ข้อมูลเบื้องต้นได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องสอบถามกับพนักงาน
บทสรุปเรื่อง Schema Markup คืออะไร
Schema Markup คืออีกหนึ่งเครื่องมือที่คุณสามารถนำไปใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์และ SEO ได้อย่างเป็นอย่างดี รวมทั้งยังช่วยดันอันดับคีย์เวิร์ดได้จริง ซึ่ง Schema Markup ก็มีอยู่หลายประเภทให้เลือกใช้งาน สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบหน้าเดี่ยวและทั้งเว็บไซต์ โดยจะขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ที่คุณต้องการจากการใช้งาน Schema Markup ประเภทเว็บไซต์ และรูปแบบของเนื้อหา อย่างที่เราได้แนะนำไปในบทความนี้และนอกจากคุณจะใช้ Schema Markup ในการดันอันดับเว็บไซต์บน Google ได้แล้ว คุณยังสามารถใช้วิธีการอื่น ๆ เข้ามาเสริมเพิ่มเติมได้ เช่น การอัปเดตเนื้อหาลงไปบนเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง, การปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์, การสร้าง Backlink, หรือการแก้ปัญหาเชิงเทคนิคบนเว็บไซต์ เป็นต้น สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เทคนิคการทำ SEO จากมืออาชีพ ฉบับปี 2024