หลายคนคงเห็นแล้วว่าตอนนี้ Google มีฟีเจอร์ AI Overviews (หรือ SGE เดิม) ทำหน้าที่ดึงข้อมูลมาสรุปเป็นคำตอบให้ผู้ใช้งานได้อ่านทันทีในหน้าแรกโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ทำให้แนวคิดเรื่อง E-E-A-T สำคัญยิ่งไปกว่าเดิม หากเป้าหมายการทำเว็บไซต์ของเราคือการขึ้นไปปรากฏอยู่ในส่วนสรุปของ AI หรือต้องการรักษาอันดับ SEO ให้ดีที่สุด จะต้องสร้างคอนเทนต์ผ่านความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ตรงของผู้เขียน เพราะในยุค AI Search เราไม่ได้แข่งกันที่จำนวนบทความเท่านั้น แต่กำลังแข่งขันกันที่ Trust Authority หรือความน่าเชื่อถือที่ Google มีต่อเว็บไซต์

คุณเกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน CEO & Managing Director ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า

“จริงๆ แล้วแนวคิด E-E-A-T ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่ Google ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2014 แล้ว แต่ตอนนั้นจะเป็น E-A-T ก่อนจะมาเพิ่มตัว “E” อีกตัวคือ Experience ในปี 2022 เพื่อให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่มาจากประสบการณ์ของคนเขียนจริงๆ เพราะ Google อยากเห็นคอนเทนต์ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึก หาอ่านจากที่อื่นไม่ได้ (Unique Data) เพราะทุกวันนี้คอนเทนต์บน Google เยอะจนเริ่มจะซ้ำกันไปหมด การเพิ่ม Experience เข้าไป เป็นเหมือนตัวกรองคุณภาพของคอนเทนต์นั้น ว่ามีมุมมองเฉพาะตัวและโดดเด่นกว่าคอนเทนต์อื่นๆ นั่นเองครับ”

E-E-A-T คืออะไร

E-E-A-T คือ กรอบแนวคิดที่ Google ใช้เทรนด์ระบบและตรวจสอบคุณภาพเว็บไซต์ เพื่อประเมินว่าเนื้อหานั้นมีคุณค่ามากพอที่จะนำเสนอแก่ผู้ใช้งานหรือไม่ แต่ E-E-A-T ไม่ใช่ Ranking Factor โดยตรงที่วัดผลเป็นตัวเลขได้อย่างชัดเจน ประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้

  1. E (Experience) มีประสบการณ์ในเรื่องที่เขียน ปัจจัยที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาและสำคัญที่สุดในการแยกคอนเทนต์ที่มาจากคนออกจาก AI คือผู้เขียนต้องมีประสบการณ์ในเรื่องที่เขียนจริงๆ เพราะนี่คือสิ่งที่ AI ไม่สามารถตอบแทนเราได้

ตัวอย่าง: หากทำคอนเทนต์เรื่อง "Software CRM ตัวไหนดี" การเขียนแค่สเปคสินค้าอาจจะยังไม่เพียงพอ ต้องเป็นการเล่าประสบการณ์การใช้งานจริงว่า ระบบหน่วงไหมเมื่อข้อมูลเยอะ หรือ Support ตอบไวแค่ไหน พร้อมภาพประกอบการใช้งานจริง

  1. E (Expertise) มีความเชี่ยวชาญในเนื้อหา ผู้เขียนมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องที่เขียน และมีความถูกต้องแม่นยำมากน้อยเพียงใด

ตัวอย่าง: หากทำคอนเทนต์เรื่อง "การทำ Technical SEO" ผู้เขียนต้องใช้ศัพท์เทคนิคได้อย่างถูกต้อง และอธิบายตรรกะการทำงานจริงได้อย่างชัดเจน

  1. A (Authoritativeness) เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เว็บไซต์หรือผู้เขียนได้รับการยอมรับจากผู้อื่น ว่าเป็นแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมนั้นๆ

ตัวอย่าง: หากทำคอนเทนต์เรื่อง "เทรนด์ Digital Marketing" แล้วนำไปอ้างอิงบนเว็บไซต์ด้านการตลาด หรือเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา นี่คือสัญญาณของ Authority ที่ชัดเจน หรือที่เราเรียกกันว่า การทำ Backlink

  1. T (Trustworthiness) ความน่าไว้วางใจของเว็บไซต์ ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัย ความโปร่งใส และความถูกต้องของข้อมูล

ตัวอย่าง: เว็บไซต์ต้องรองรับ HTTPS, มีหน้าเกี่ยวกับเราที่ระบุตัวตนเจ้าของเว็บชัดเจน, มีที่อยู่ติดต่อได้จริง และไม่พาดหัวข่าวแบบ Clickbait ที่ชวนเชื่อเกินจริง

ทำไม E-E-A-T ถึงสำคัญมากในยุค AI Search

เรากำลังอยู่ในยุคของ Zero-Click Search คือยุคที่ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลบน Google แล้วได้คำตอบทันทีบน AI Overviews โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ใดๆ เลย ซึ่งฟีเจอร์ AI Overviews ออกแบบมาให้เลือกเฉพาะข้อมูลจากเว็บที่มีความน่าเชื่อถือสูงเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาข้อมูลเท็จ หรือการเข้าใจผิดของ AI (AI Hallucination)

E-E-A-T จึงเป็นปัจจัยชี้ชะตาว่า เว็บไซต์ของคุณจะถูก AI หยิบไปใช้เป็นแหล่งข้อมูลหรือไม่?

กลยุทธ์สร้างคอนเทนต์ E-E-A-T ให้ Google เห็น

แม้หลายคนจะเข้าใจแนวคิดของ E-E-A-T เป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงขั้นตอนปฏิบัติกลับไม่สามารถถ่ายทอดออกมาให้ Google เห็นได้อย่างชัดเจน ต่อไปนี้คือ 4 วิธีการหลักๆ ที่ทีมแองก้าใช้สร้างคอนเทนต์ เพื่อแปลงแนวคิด E-E-A-T ให้ AI เข้าใจ ทำให้เว็บไซต์ของเรามีคุณภาพทั้งในมุมของผู้ใช้งานและอัลกอริทึมของ Google

1. พิสูจน์ Experience พร้อมรูปภาพหรือวิดีโอ

แนวคิดที่เกี่ยวข้อง: Experience + Trustworthiness

อย่างที่บอกว่า E (Experience) เป็นปัจจัยที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาและสำคัญที่สุด เพื่อยกระดับคุณภาพเนื้อหาที่สะท้อนความรู้จากการได้ลงมือทำจริงๆ ไม่ใช่แค่การเรียบเรียงข้อมูลจากแหล่งอื่น ทำให้คอนเทนต์ของเราแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน และที่สำคัญการใช้รูปภาพที่เป็นของเราจริงๆ ประกอบเนื้อหาด้วยนั้น ยังช่วยยืนยันว่าผู้เขียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กล่าวมาจริงๆ เช่น

  • แนบภาพ Screenshot เพื่อแสดงขั้นตอนต่างๆ หรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
  • ใช้วิดีโอที่ถ่ายทำเอง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เนื้อหา และยังสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานด้วย

การใช้ภาพจริงไม่เพียงสร้างความไว้วางใจให้ผู้อ่าน แต่ยังเป็นสัญญาณ Experience ที่ทรงพลังต่อ AI เพราะปัจจุบัน Google มีเทคโนโลยี AI Image Recognition ที่สามารถวิเคราะห์และแยกแยะได้ว่า ภาพนั้นเป็นภาพต้นฉบับหรือภาพซ้ำจากแหล่งอื่น การใส่รูปภาพจากประสบการณ์จริงจึงเป็นอีกวิธีสำคัญในการสื่อสารให้ AI เข้าใจว่า คอนเทนต์นี้มาจากประสบการณ์ของคนจริงๆ ไม่ใช่คอนเทนต์ที่สร้างขึ้นโดย AI

ตัวอย่างคอนเทนต์ของ ANGA มีการใช้วิดีโอที่ถ่ายทำเองเพื่ออธิบายเนื้อหาเรื่อง 404 Not Found คืออะไร

ใช้วิดีโอ ทำ E-E-A-T SEO

2. สร้างตัวตนผู้เขียน และใช้ Schema Markup

แนวคิดที่เกี่ยวข้อง: Expertise + Authoritativeness + Trustworthiness

Google ให้ความสำคัญกับตัวตนและความน่าเชื่อถือของผู้เขียน การสร้าง Author Page จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ในยุคนี้ ควรระบุข้อมูลสำคัญอย่างประวัติการทำงาน ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผลงานที่ผ่านมา เพื่อให้ทั้งผู้ใช้งานและ AI ของ Google ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้

และอย่าลืมติด Schema Markup ประเภท Person หรือ Organization เพื่อสื่อสารกับ AI โดยตรงว่าใครเป็นผู้เขียน การใช้ Schema อย่างถูกต้องจะช่วยให้ Knowledge Graph ของ Google เข้าใจ Entity ของคุณได้อย่างลึกซึ้ง และตีความว่าคอนเทนต์ของเราเป็นแหล่งข้อมูลที่มาจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงและเชื่อถือได้

ตัวอย่างคอนเทนต์ของ ANGA ที่มี Author Page เพื่อสร้างตัวตนผู้เขียนเนื้อหาเอาไว้อย่างชัดเจน

สร้างตัวตนผู้เขียนตาม Google E-E-A-T
ทำ Author Page ตาม Google E-E-A-T

3. สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการอ้างอิงแหล่งข้อมูลภายนอก

แนวคิดที่เกี่ยวข้อง: Authoritativeness + Trustworthiness

หนึ่งวิธีที่สำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้คอนเทนต์ของเราคือ การอ้างอิงแหล่งข้อมูลภายนอก (External Links) โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มี Authority สูง ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเรา เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้อมูลภายในเนื้อหานี้ผ่านการค้นคว้า (Research) มาจากข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ และการใส่ External Link อย่างเหมาะสม ไม่ได้เป็นการสูญเสียทราฟฟิก หรือทำให้เสียคะแนน SEO อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ตรงกันข้ามเลยครับ กลับเป็นสัญญาณบวกต่ออัลกอริทึมของ Google มากกว่า เช่น

  • คอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพ ร่างกาย อาจอ้างอิงข้อมูลจาก WHO (องค์การอนามัยโลก), CDC (Centers for Disease Control and Prevention) หรือ สถาบันการแพทย์ในประเทศ
  • การทำ External Links ไปยังงานวิจัยทางการแพทย์ (Medical Research) หรือ บทความวิชาการ (Journal Article) ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้อ่านเชื่อมั่นในข้อมูลมากขึ้น แต่ยังทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความ เป็นผู้เชี่ยวชาญ (Authoritative Source) ในสาขานั้น ๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO ในยุค AI Search มากๆ ครับ

ตัวอย่างคอนเทนต์ของ ANGA ที่มีการทำ External Links ไปยังแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่าง Google

ทำ External Links ตาม Google E-E-A-T

4. อัปเดตคอนเทนต์เก่าๆ ให้เป็นปัจจุบันเสมอ

แนวคิดที่เกี่ยวข้อง: Trustworthiness + Expertise

การอัปเดตคอนเทนต์เก่าไม่เพียงช่วยปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้าของเว็บใส่ใจดูแลข้อมูลและประสบการณ์ของผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ในระยะยาวได้เช่นกัน โดยสิ่งที่ควรทำหลักๆ เลยก็คือ

  • ตรวจสอบบทความเก่าที่มียอดคลิกหรือ Backlink สูง อัปเดตข้อมูลให้สอดคล้องกับเทรนด์
  • ปรับปรุงสถิติ ตัวเลข หรือกรณีศึกษาให้เป็นข้อมูลล่าสุด
  • เพิ่มมุมมองใหม่ๆ หรือแนวโน้มล่าสุดของอุตสาหกรรม เพื่อแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

ตัวอย่างคอนเทนต์ที่ควรอัปเดตเป็นประจำ

  • คอนเทนต์ด้านการตลาดดิจิทัล / SEO Trends ที่เปลี่ยนแปลงทุกปี หรืออาจจะเร็วกว่านั้น
  • คอนเทนต์ด้านสุขภาพ / เทคโนโลยี / การลงทุน ที่ข้อมูลใหม่อาจส่งผลต่อความถูกต้องของเนื้อหาเดิม
  • คอนเทนต์เกี่ยวกับกฎหมาย / ภาษี / เศรษฐกิจ ที่มีการปรับปรุงข้อบังคับใหม่

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ด้วย E-E-A-T ชนะคู่แข่งยุค AI Search

เราเข้าใจว่ายุคนี้ใครก็ใช้ AI ช่วยทำงาน แต่การจะใช้ AI ช่วยเขียนบทความ SEO ทาง Google ก็ออกมายืนยันเองว่าไม่ได้ผิดกฎอะไร แต่เนื้อหาต้องถ่ายทอดแนวคิด E-E-A-T ออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนด้วย การทำ SEO จึงไม่ได้จบอยู่แค่การทำ Keyword Research หรือการสร้าง Backlink เพียงเท่านั้น แต่ยุค AI Search ได้พัฒนาการทำ SEO ไปสู่การสร้างตัวตน และการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ (Brand Authority) อย่างแท้จริงครับ

คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า

“ในฐานะ SEO Specialist ผมมองว่า Google ต้องการยกระดับคุณภาพของข้อมูลบน Search Engine ทั้งหมด ด้วยการให้คุณค่ากับเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ไม่ว่าเว็บไซต์ธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม เพราะประสบการณ์จริงคือสิ่งเดียวที่ AI ไม่สามารถจำลองหรือสร้างเนื้อหามาตอบเราได้ และนี่คือจุดที่ทำให้ E-E-A-T กลายเป็นหัวใจของการทำ SEO ในยุค AI Search ครับ”