เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์คำค้นหาหรือ Keyword ลงใน Google Search หน้าเว็บที่แสดงผลลัพธ์จากสิ่งที่เราค้นหานั่นแหละครับจะเรียกว่า SERP ย่อมาจาก Search Engine Results Page หรือหน้าแสดงผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา เป็นพื้นที่ที่ทุกธุรกิจใช้แข่งขันกันเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic) ดังนั้น การทำความเข้าใจว่า SERP ในปัจจุบันมีรูปแบบอะไรบ้าง ที่ไม่ได้มีแค่ลิงก์สีน้ำเงินธรรมดา ช่วยให้นักการตลาดและเจ้าของเว็บไซต์วางกลยุทธ์ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไป เพื่อชิงพื้นที่ที่ดีที่สุดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้เหนือกว่าคู่แข่ง

คุณเกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน CEO & Managing Director ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า

“ตลอดเวลาที่ผมติดตามการเปลี่ยนแปลงของ Google ผมมองว่า SERP ในยุคนี้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะการเข้ามาของฟีเจอร์ AI Overviews (AIO) เป็นคำตอบสรุปที่ AI สร้างขึ้นมาและแสดงผลอยู่บนสุดของหน้า นี่คือพื้นที่ใหม่ที่ทุกธุรกิจกำลังแย่งชิงกันอย่างดุเดือดในยุค AI Search นี้ การที่แบรนด์ของเราเข้าไปอยู่ใน AIO ได้ ถือเป็นข้อได้เปรียบในการสร้าง Authority และโอกาสทางธุรกิจในยุคนี้เลยครับ”

SERP คืออะไร?

Search Engine Results Page หรือ SERP คือ หน้าเว็บที่ Google หรือ Search Engine อื่นๆ สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อคำค้นหา (Query) ของผู้ใช้งาน โดยอัลกอริทึมจะประมวลผลในเสี้ยววินาที เพื่อจัดลำดับและนำเสนอผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้อง และมีประโยชน์ต่อผู้ค้นหามากที่สุด โดยทั่วไปผลลัพธ์บน Google SERP แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

1. ผลลัพธ์แบบเสียเงิน (Paid Results)

Google SERP แบบ Paid Results

ผลลัพธ์แบบเสียเงิน (Paid Results) คือ โฆษณาที่ปรากฏบนหน้า SERP ซึ่งธุรกิจต่างๆ ต้องจ่ายเงินผ่านระบบประมูล Keyword ของ Google Ads เพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลในคำค้นหาที่ต้องการ

  • ลักษณะเด่น: จะมีป้ายกำกับชัดเจนว่า "Sponsored" หรือ "Ad" (โฆษณา)
  • ตำแหน่ง: มักปรากฏในตำแหน่งที่เด่นที่สุด เช่น ส่วนบนสุดเหนือ Organic Results หรือส่วนล่างสุดของหน้า

ข้อควรทราบ นี่คือการซื้อการมองเห็นแบบทันที การจ่ายเงินในส่วนนี้ ไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับแบบออร์แกนิก (SEO) ของเว็บไซต์นะครับ

2. ผลลัพธ์แบบทั่วไป (Organic Results)

Google SERP แบบ Organic Results

ผลลัพธ์แบบทั่วไป (Organic Results) คือ ผลลัพธ์ที่ได้มาโดยไม่มีการจ่ายเงินซื้อตำแหน่ง แต่ได้มาจากการที่อัลกอริทึมของ Google พิจารณาแล้วว่าเนื้อหาในหน้านั้นๆ มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคำค้นหามากที่สุด ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการทำ SEO (Search Engine Optimization)

  • ลักษณะเด่น: จะแสดงผลเป็นแบบ 10 ลิงก์เว็บไซต์เรียงกันตามอันดับ ที่ประกอบด้วย Title (หัวข้อ), URL (ลิงก์) และ Meta Description (คำอธิบายอย่างย่อ)
  • เป้าหมาย: เจ้าของเว็บไซต์ต้องพยายามปรับแต่ง SEO ทั้ง On-Page, Off-Page และ Technical SEO เพื่อให้อันดับเว็บดีขึ้น และปรากฏบน SERP รูปแบบต่างๆ ที่จะยิ่งเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

อะไรบ้างที่ประกอบอยู่ใน SERP Features อัปเดตฟีเจอร์ล่าสุด

Google SERP อัปเดตฟีเจอร์ล่าสุด

ดังที่กล่าวไป SERP ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ Paid และ Organic เท่านั้น แต่ Google ได้เพิ่มองค์ประกอบและฟีเจอร์ต่างๆ เข้ามามากมาย เพื่อพยายามตอบคำถามผู้ใช้งานให้จบภายในหน้าเดียว ฟีเจอร์ที่นักการตลาดออนไลน์และคนทำ SEO ต้องรู้จัก คือ

  • Featured Snippet (Position Zero)
    กล่องคำตอบสรุปสั้นๆ ที่ Google ดึงเนื้อหาจากเว็บไซต์หนึ่งมาแสดงผลในตำแหน่งบนสุด (เหนืออันดับ 1) มักเป็นรูปแบบย่อหน้า, รายการ (Bullet) หรือตาราง
  • People Also Ask (PAA)
    กล่องคำถามที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่ผู้ใช้งานมักค้นหาต่อ เมื่อคลิกที่คำถามก็จะโชว์คำตอบสั้นๆ ออกมาให้อ่านได้ทันที
  • Knowledge Panel / Graph
    กล่องข้อมูลขนาดใหญ่ (มักอยู่ทางขวามือบน Desktop) ที่สรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ เช่น ข้อมูลบริษัท, ประวัติบุคคล หรือสถานที่
  • Image Pack / Video Carousel
    แถวแสดงผลลัพธ์ที่เป็นรูปภาพ หรือวิดีโอ (มักดึงจาก YouTube) ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้น
  • Local Map Pack
    สำคัญมากสำหรับ Local SEO เป็นกล่องแสดงแผนที่ Google Maps พร้อมรายชื่อ 3 ธุรกิจในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา
  • Shopping Results (Product Listing Ads - PLAs)
    แถบแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้อง พร้อมรูปภาพ ราคา และชื่อร้านค้า ซึ่งเป็นผลลัพธ์แบบเสียเงิน (Paid) มักพบในธุรกิจ E-commerce 
  • AI Overviews (AIO)
    ฟีเจอร์ล่าสุดที่กำลังถูกพูดถึงมากที่สุด คือการที่ AI ของ Google สรุปคำตอบจากหลายแหล่งข้อมูลมานำเสนอเป็นย่อหน้าเดียวในส่วนบนสุดของ SERP นี่คือตัวแปรสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนกลยุทธ์การทำ SEO ในยุค AI Search เลยครับ

ตัวอย่างหน้าบริการรับทำ AI Search ของแองก้าที่วางกลยุทธ์ SEO เพื่อให้หน้าเว็บที่ส่งผลต่อธุรกิจของเราโดยตรงติดทั้ง AI Overviews (AIO) และอันดับ 1 ของ Google

ฟีเจอร์ AI Overviews บน Google SERP

Google SERP สำคัญกับการทำ SEO ยังไง

Google SERP คือหน้าเว็บที่ผู้ค้นหาจะเห็นเว็บไซต์ของเราเป็นครั้งแรก ดังนั้นโครงสร้างและองค์ประกอบของ SERP จึงส่งผลโดยตรงต่อโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้าเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า CTR (Click-Through Rate) หาก SERP ของคีย์เวิร์ดนั้นเต็มไปด้วยฟีเจอร์อย่าง Featured Snippet, People Also Ask, วิดีโอ หรือ Local Pack โอกาสคลิกของอันดับปกติอาจลดลง แม้เว็บเราจะอยู่อันดับต้นๆ ก็ตาม

ที่สำคัญ SERP ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ลิงก์สีน้ำเงิน 10 อันดับแบบเมื่อก่อน แต่เต็มไปด้วยองค์ประกอบหลากหลายที่ Google นำมาใช้เพื่อตอบโจทย์ผู้ค้นหา เจ้าของเว็บไซต์จึงต้องวิเคราะห์ว่า หน้าเว็บของเราจะเข้าไปแทรกตัวใน SERP รูปแบบไหนได้บ้าง และเมื่อเข้าใจภาพรวมคุณจะมองออกทันทีว่า

  • ผู้ใช้เห็นอะไรเป็นอย่างแรก เมื่อเสิร์ชคำค้นหานั้น
  • ประเภทคอนเทนต์หรือฟีเจอร์ไหนที่ดึงความสนใจได้มากที่สุด
  • และเว็บไซต์ของคุณสามารถแข่งขัน หรือไปปรากฏในจุดใดได้บ้าง

การทำความเข้าใจ SERP รูปแบบต่างๆ ข้างต้น จึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO เพื่อเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ใช้งานเห็นและพร้อมคลิกมากที่สุดครับ

5 วิธีทำให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลบน Google SERP

การจะทำให้เว็บไซต์ของเราไปปรากฏบน Google SERP โดยเฉพาะในตำแหน่งแบบ Organic หรือพื้นที่ใน SERP Features ต่างๆ จำเป็นต้องวางกลยุทธ์ SEO แบบครบวงจร ตั้งแต่โครงสร้างเว็บไซต์ เนื้อหา ไปจนถึงความน่าเชื่อถือจากภายนอก แบ่งออกเป็น 5 วิธีหลักๆ ดังนี้

1. อนุญาตให้ Google เข้าไปจัดเก็บข้อมูลบนเว็บ (Crawling & Indexing)

ก่อนที่ Google จะจัดอันดับหน้าใดหน้าหนึ่งได้นั้น ต้องทำให้ Googlebot เข้าไปอ่านและจัดเก็บเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ได้ก่อน ขั้นตอนพื้นฐานนี้จึงสำคัญมาก เพราะถ้า Googlebot เข้าไม่ถึงเว็บไซต์เรา ก็ไม่มีทางที่จะไปปรากฏบน SERP ได้เลยครับ โดยสิ่งที่ต้องทำ คือ

  • ตรวจสอบไฟล์ robots.txt ให้แน่ใจว่าไม่ได้บล็อกหน้าเว็บที่สำคัญ เช่น Home, Category, Blog
  • อัปโหลด sitemap.xml ผ่าน Google Search Console ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และจัดเก็บหน้าเว็บใหม่ได้เร็วขึ้น
  • เช็กและแก้ไข Crawl Errors เช่น หน้า 404 Not Found, ปัญหา Server, Redirect ผิดพลาด เพื่อให้ Bot เข้าถึงทุกหน้าสำคัญได้อย่างราบรื่นที่สุด
  • ใช้ URL Structure ที่ชัดเจน อ่านง่าย เช่น /blog/what-is-serp/ แทน /blog/post?id=12345 ช่วยให้ผู้ใช้งานและ Google เข้าใจความหมายของหน้านั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น

LLMs.txt คืออะไร ต่างจาก robots.txt ยังไง?

นอกจาก robots.txt ที่ใช้ควบคุมการเข้าถึงของ Search Engine Bot แล้ว ปัจจุบันหลายเว็บไซต์เริ่มใช้ไฟล์ที่ชื่อว่า LLMs.txt รวมถึงบริการรับทำ AI Search ของแองก้าด้วย เพื่อควบคุมการเข้าถึงของ AI Crawlers หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models – LLMs)

  • สร้างความได้เปรียบให้ AI เลือกข้อมูลของเรา: การมีไฟล์ LLMs.txt ช่วยเพิ่มโอกาสให้ AI นำข้อมูลจากหน้าที่ถูกต้องและเราอยากนำเสนอไปใช้งาน แทนที่จะปล่อยให้ AI สุ่มไปเจอหน้าเก่าๆ หรือหน้าที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งจะทำให้คำตอบของ AI ที่อ้างอิงถึงเรามีคุณภาพสูงขึ้นด้วย

ความแตกต่างระหว่าง robots.txt และ LLMs.txt

ไฟล์ใช้ควบคุมใครหน้าที่หลัก
robots.txtGooglebot, Bingbot, Search Engine Crawlersบอกว่าหน้าไหนให้เข้า / หน้าไหนห้ามเข้า
เพื่อใช้จัดอันดับผลการค้นหาบน SERP
LLMs.txtCrawler จาก AI เช่น ChatGPT, Claude, Gemini (LLM Training Bots)บอกว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ AI
นำข้อมูลส่วนไหนของเว็บไซต์ไปใช้งานในระบบ AI

สรุปคือ robots.txt เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อการ Crawl และ Index ของ Google มีเป้าหมายหลักคือการแสดงผลบน SERP แต่ LLMs.txt ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างออกไปครับ แม้จะไม่ได้ส่งผลต่ออันดับ SEO โดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้เรากำกับดูแลการเข้าถึงข้อมูลของ AI เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้อย่างถูกต้องและแม่นยำตามที่เรากำหนด

2. สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ (Search Intent) และหลักการ E-E-A-T

สิ่งสำคัญของวิธีทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพแบบยั่งยืนเลยก็คือ การสร้างเนื้อหาให้ตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการอ่านจริงๆ หรือที่เรียกว่า Search Intent และต้องทำให้ Google เชื่อมั่นว่าเว็บไซต์ของเราเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือตามหลักการ E-E-A-T ด้วย จากประสบการณ์ผมแนะนำว่า

  • วิเคราะห์ SERP ก่อนเขียน เพื่อดูว่า Google ชอบคอนเทนต์รูปแบบไหนในคีย์เวิร์ดนั้นๆ
  • เข้าใจประเภทของ Search Intent
    • Informational - ผู้ใช้ต้องการคำตอบหรือความรู้
    • Navigational - ผู้ใช้ต้องการไปยังเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่หมาย
    • Commercial - ผู้ใช้กำลังหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ
    • Transactional - ผู้ใช้พร้อมซื้อแล้ว
    • Local - ผู้ใช้กำลังหา “ที่ไหนใกล้ฉัน” หรือบริการเฉพาะพื้นที่
  • เขียนเนื้อหาที่ลึกกว่า ครบกว่า และมาจากประสบการณ์จริงตามหลัก E-E-A-T พยายามใส่รายละเอียดที่คู่แข่งไม่มี เช่น ขั้นตอนจริงที่เคยทำ ข้อผิดพลาดที่พบจากประสบการณ์พร้อมข้อแนะนำ หรือผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้จริง และเสริมความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยการระบุผู้เขียนและความเชี่ยวชาญ, อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ, เพิ่มรูปภาพ/สถิติจริง, รีวิวจากลูกค้า หรือข้อมูลที่ตรวจสอบได้

3. การปรับแต่งหน้าเว็บให้สมบูรณ์แบบ (On-Page SEO) 

On-Page SEO เป็นการปรับทุกองค์ประกอบบนหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ Google เข้าใจมากที่สุดว่าหน้านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และควรนำไปจัดอันดับในคีย์เวิร์ดคำใดถึงจะเหมาะสมที่สุด สิ่งที่ผมแนะนำให้โฟกัสเลยก็คือ

  • ใส่คีย์เวิร์ดหลัก ในตำแหน่งที่ Google ให้ความสำคัญที่สุด เช่น
    • Title Tag หัวข้อที่แสดงบนผลการค้นหา
    • Meta Description คำอธิบายสั้นๆ ที่ดึงดูดให้คนคลิกเข้ามาจากหน้า SERP
    • H1 หัวข้อหลักของหน้านั้น
    • หัวข้อย่อย H2, H3... ใช้คีย์เวิร์ดรองหรือคำที่เกี่ยวข้อง เพื่อโครงสร้างที่ชัดเจนของเนื้อหา
  • ปรับ URL ให้กระชับ อ่านง่าย และสื่อความหมาย ใช้คำง่ายๆ ไม่เกิน 3–5 คำ เช่น /seo-onpage-guide
  • ใส่ Alt Text ให้รูปภาพอย่างถูกต้อง เพื่ออธิบายเนื้อหาของภาพให้ Google เข้าใจได้ชัดเจน ช่วยเพิ่มโอกาสที่ภาพของเราจะติดอันดับใน Google Images และยังช่วยให้หน้าเว็บโดยรวมมีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดมากขึ้นด้วย
  • ทำ Internal Link อย่างเป็นระบบ ลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อย้ำหัวข้อหลักของคอนเทนต์ ช่วยให้ Bot เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้ชัดเจน พร้อมกระจายพลัง SEO ไปยังหน้าอื่นๆ ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสที่อันดับโดยรวมจะดีขึ้นด้วย
  • จัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย ใช้ Bullet Points, ตาราง, และการเน้นคำสำคัญ (Bold) ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาเร็วขึ้น และไม่รู้สึกว่าหน้านั้นมีแต่ข้อความยาวๆ ส่งผลดีต่อ SEO โดยตรง เพราะเนื้อหาที่อ่านลื่นไหลช่วยลด Bounce Rate ซึ่งเป็นสัญญาณให้ Google เห็นว่าหน้าเว็บมีคุณภาพ

4. การสร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก (Off-Page SEO)

Off-Page SEO คือกระบวนการสร้างสัญญาณภายนอก เพื่อบอก Google ว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือจริง ไม่ใช่แค่เว็บที่เขียนคอนเทนต์ดีแต่ไม่มีใครพูดถึงเลย Google มองว่าการที่เว็บไซต์อื่นอ้างอิงถึงเรานั้น เป็นเหมือนเสียงโหวตความน่าเชื่อถือ และยิ่งมาจากเว็บใหญ่หรือเว็บที่มีความเกี่ยวข้องมากเท่าไร คะแนนก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งกลยุทธ์ที่เราใช้และได้ผลก็คือ การทำ Backlink คุณภาพ

  • Backlink คุณภาพ มีผลต่ออันดับมากกว่า Backlink จำนวนมากจากเว็บสแปม หรือเว็บที่ไม่มีคนอ่าน
  • การได้ลิงก์คุณภาพเพียง 1 ลิงก์ มีค่ามากกว่า 1,000 ลิงก์จากแหล่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บเราเลย

สรุปแล้ว Off-Page SEO คือการสร้างชื่อเสียงและตอกย้ำความเชี่ยวชาญของเราบนโลกออนไลน์ ที่ไม่ใช่แค่ในเว็บไซต์เราเท่านั้น เพื่อให้ Google เชื่อว่าคุณคือแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานอย่างแท้จริงครับ

5. สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดี (UX)

การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคหรือ Technical SEO เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดี โดยเฉพาะเมื่อ Google ใช้ Mobile-First Indexing หมายความว่า เวอร์ชันมือถือจะเป็นเวอร์ชันหลักที่ใช้จัดอันดับ หากการใช้งานเว็บไซต์ผ่านมือถือโหลดช้า ใช้งานยาก หรือแสดงผลเพี้ยน อันดับ SEO จะได้รับผลกระทบทันที สิ่งที่เราต้องทำคือ 

  • Responsive Design เว็บต้องปรับขนาดอัตโนมัติให้เหมาะกับทุกอุปกรณ์ เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกโดยเฉพาะบนมือถือ เพราะกว่า 80% ของการค้นหาเกิดบนมือถือนั่นเองครับ
  • ปรับความเร็วเว็บไซต์หรือ Core Web Vitals
    • LCP (Largest Contentful Paint): ทำให้เนื้อหาหลัก เช่น รูปภาพแบนเนอร์, วิดีโอ หรือบล็อกข้อความขนาดใหญ่ โหลดเสร็จและแสดงผลเร็วที่สุด 
    • INP (Interaction to Next Paint): เพิ่มความเร็วในการตอบสนอง เมื่อผู้ใช้คลิก, แตะ หรือพิมพ์ ต้องรู้สึกว่าเว็บตอบสนองทันที
    • CLS (Cumulative Layout Shift): ลดปัญหาหน้ากระโดด หรือ Layout ที่ขยับไปมาขณะโหลด
  • ใช้ HTTPS ช่วยให้เว็บปลอดภัยและเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ใช้งานและ Google ด้วย

SERP จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดกลยุทธ์ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

หลายคนคงเห็นแล้วว่า ตอนนี้ SERP ไม่ได้มีแค่ลิงก์สีน้ำเงินเหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะเมื่อ AI Overviews เริ่มเข้ามาแย่งพื้นที่สายตาและเปลี่ยนพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ไปอย่างเห็นได้ชัด เจ้าของเว็บไซต์ที่อยากเพิ่มโอกาสให้คนคลิกเข้ามา ต้องเข้าใจให้ได้ว่าแต่ละฟีเจอร์บน SERP ทำงานยังไง และจะทำยังไงให้คอนเทนต์ของเราไปแสดงในตำแหน่งเหล่านั้น

คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า

“ผมแนะนำว่า ให้เริ่มจากการวิเคราะห์ SERP ให้ละเอียดที่สุดก่อนเลยครับ ดูว่า Google แสดงฟีเจอร์แบบไหนสำหรับคีย์เวิร์ดหลักของธุรกิจคุณ แล้วค่อยวางแผนว่าจะทำคอนเทนต์หรือใช้เทคนิค SEO แบบไหนเพื่อเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้นๆ วิธีนี้ช่วยให้เข้าใจภาพรวมและวางกลยุทธ์ทำ SEO ได้ตรงจุดมากขึ้น ทำให้คุณก้าวนำคู่แข่งได้แม้ SERP จะเปลี่ยนตลอดเวลาก็ตามครับ”