Click Through Rate หรือ CTR คืออะไร? ตัวชี้วัดนี้สำคัญอย่างไรกับยิงแอด?
สำหรับโลกการตลาดออนไลน์มีตัวชี้วัดประสิทธิภาพของโฆษณาหลากหลาย แต่หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่นักการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องรู้จักและทำความเข้าใจคือ CTR หรือ Click Through Rate ตัวชี้วัดประสิทธิภาพของคอนเทนต์หรือแคมเปญโฆษณาที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณเป็นคนที่ต้องการวัดความสำเร็จของการทำตลาดบนโลกออนไลน์ออกมาเป็นตัวเลขอย่างชัดเจน มาทำความรู้จักกันว่า CTR คืออะไร? และมีความสำคัญอย่างไรกับโลกมาร์เก็ตติ้ง ?
ทำความรู้จักตัวชี้วัดสำคัญ CTR คืออะไร?
CTR คือคำย่อของคำว่า Click Through Rate คือ อัตราคลิกต่อจำนวนการมองเห็น โดยวัดจากสัดส่วนของคนที่คลิกต่อจำนวนของคนที่เห็นโฆษณา โดยแคมเปญโฆษณาชิ้นไหนที่ค่า CTR มีเปอร์เซ็นต์สูง หมายความว่าโฆษณาชิ้นดังกล่าวมีคนให้ความสนใจเนื้อหาโฆษณาชิ้นดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ในทางกลับกันถ้า CTR มีเปอร์เซ็นต์น้อย ก็หมายความว่าโฆษณาชิ้นนั้นไม่มีความน่าสนใจนั่นเอง
ดังนั้นการทำให้ CTR เพิ่มขึ้นจึงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับนักการตลาดออนไลน์ หรือคนที่ทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่ต้องมีกลยุทธ์ในการวางแผนโฆษณาในแต่ละแคมเปญ การเลือกคีย์เวิร์ด ซึ่งในแต่ละประเภทธุรกิจย่อมมีค่าเฉลี่ย CTR สูง-ต่ำแตกต่างกันไป ตัวชี้วัดนี้จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์ เพื่อหาประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาที่เผยแพร่ออกไปได้นั่นเอง
ทำไม CTR ถึงสำคัญต่อการทำโฆษณาออนไลน์ ?
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า CTR คืออีกตัวชี้วัดความสำเร็จของแคมเปญหรือคอนเทนต์โฆษณาที่เราได้เผยแพร่ออกไปยังโลกออนไลน์ และแน่นอนว่าโฆษณาแต่ละชิ้นที่เราได้ผลิตขึ้นมานั้นมีค่าใช้จ่าย ดังนั้น CTR คือเครื่องมือความสำคัญที่ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการทำโฆษณาดังนี้
วัดความน่าสนใจในโฆษณาแต่ละชิ้น
โดย CTR หรือ Click Through Rate เป็นตัวชี้วัดที่บอกว่า โฆษณาแต่ละชิ้นมีคนคลิกมาก-น้อยแค่ไหน จึงมีการนำมาใช้วัดความน่าสนใจของโฆษณาที่เผยแพร่ออกไป และยังนำมาช่วยในการปรับปรุงเพื่อพัฒนาเนื้อหาในการยิงโฆษณาต่อไป
วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
การทำโฆษณาแต่ละตัวจะต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายขึ้นมา โดยถ้าหากโฆษณาชิ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ค่า CTR จะแสดงผลลัพธ์ในทิศทางที่ดี ในทางกลับกันถ้าหากโฆษณาไม่สัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้นักการตลาดจำเป็นต้องเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายใหม่ หรือปรับเนื้อหาโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
สำคัญต่อการเช็ก Quality Score
Quality Score หรือคะแนนคุณภาพ เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่บอกว่าคีย์เวิร์ดที่เลือกมีคุณภาพมาก-น้อยแค่ไหน โดยสำคัญกับ CTR ตรงที่ เมื่อ CTR (Click Through Rate) สูงค่า Quality Score ก็จะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ จึงมีส่วนช่วยในการรักษาตำแหน่งโฆษณา เพราะว่า Quality Score สูง อันดับโฆษณาก็จะสูงขึ้น รวมถึงส่งผลให้ต้นทุนในการยิงแอดโฆษณาถูกลงอีกด้วย
วิธีการคำนวณค่า CTR ก่อนยิงแอดโฆษณาที่นักการตลาดควรรู้
การคำนวณค่า CTR คือสิ่งสำคัญสำหรับการยิงแอดโฆษณา จะแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์โดยหากมีเปอร์เซ็นต์สูง แสดงว่าผลตอบรับของโฆษณาอยู่ในทิศทางที่ดี มีสูตรคำนวณดังนี้
(Click/Impression)*100 = CTR
โดยนำจำนวนการคลิก (Click) มาหารกับจำนวนการแสดงผล (Impression) แล้วคูณด้วย 100 จะได้ผลลัพธ์เป็นอัตราการคลิกหรือค่า CTR (Click Through Rate) ออกมา หมายความว่า ถ้า CTR = 10% จะมีจำนวนการแสดงผล (Impression) 1,000 คน ต่อจำนวนการคลิก (Click) 100 คน
ลองดูตัวอย่าง:
แคมเปญโฆษณาน้ำยาขัดห้องน้ำ ได้รับจำนวนการแสดงผล (Impression) 10,000 ครั้ง แต่มีจำนวนการคลิก 400 คน สามารถคำนวณ CTR ตามสูตรได้ ดังนี้
(400/10,000)*100 = 4%
เท่ากับว่าแคมเปญโฆษณาน้ำยาขัดห้องน้ำได้รับค่า CTR ทั้งหมด 4%
ค่าเฉลี่ย CTR โดยมาตรฐานของแต่ละแพลตฟอร์ม
ค่ามาตรฐาน CTR คือสิ่งหนึ่งที่ช่วยชี้วัดความสำเร็จของแคมแปญโฆษณา โดยในแต่ละแพลตฟอร์มจะมีค่าเฉลี่ย CTR ที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าไม่มีค่าเฉลี่ยตายตัว แต่มาตรฐานแล้วค่าเฉลี่ย CTR ของ Google จะอยู่ที่ประมาณ 2-3% แต่บางครั้งอาจพุ่งทะยานไปถึง 20-30% เลยก็มี ขึ้นอยู่กับอันดับโฆษณาบน Google
มาถึงค่าเฉลี่ย CTR ของ Facebook ซึ่งค่าเฉลี่ยที่ได้รับนั้น ไม่ได้ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ โดยมีค่า CTR มาตรฐานอยู่ที่ 0.51% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้จากการเก็บข้อมูลแคมเปญโฆษณา 11,000 แคมเปญ เพื่อนำมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย CTR มาตรฐาน จึงออกมาเป็นตัวเลขดังกล่าว
โดยอัตราค่าเฉลี่ยของ Facebook จะค่อนข้างน้อยกว่า Google เนื่องจากหลายเหตุปัจจัยด้วยกัน ทั้งรูปแบบโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากกว่า จึงทำให้ค่าเฉลี่ย CTR ของ Facebook นั้นน้อยกว่า Google แต่อย่างไรก็ตามมีข้อดีในเรื่องการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าตัวจริงของสินค้าและบริการที่เราทำโฆษณาออกไปนั่นเอง
เจาะกลยุทธ์เพิ่มค่า CTR ให้โฆษณามีความน่าสนใจ
สำหรับกลยุทธ์เพิ่มค่า CTR คือเรื่องที่นักการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องรู้ โดยแยกออกตามแต่ละแพลตฟอร์ม เนื่องจากมีกลยุทธ์ เทคนิคและวิธีที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ดังนี้
กลยุทธ์เพิ่มค่า CTR บน Facebook Ads
สำหรับการยิงโฆษณาบน Facebook แต่ละชิ้น ไม่ว่าใครก็ตามย่อมต้องการให้โฆษณาชิ้นดังกล่าวมีผลลัพธ์ที่ดี โดยเฉพาะการทำโฆษณาของบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่สำคัญของโลกอย่าง Facebook ซึ่งมีาลูกค้าชั้นดีมากมายอยู่ในนั้น โดยหากต้องการทำให้การนำเสนอโฆษณาได้รับผลตอบรับที่ดี มี CTR สูง ควรจะปรับแต่งโฆษณาไปทีละจุดดังนี้
- การปรับคำขาย (Copy Writing): ที่สามารถดึงดูดความสนใจของคนอ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับกระแสไวรัล เล่าถึง Pain Point หรือใช้คำง่าย ๆ สื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
- การปรับ Artwork: การออกแบบภาพเพื่อการโฆษณา จำเป็นต้องสื่อถึงสินค้าและบริการอย่างชัดเจน และสามารถดึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ออกมาได้อย่างครบถ้วน
- ปุ่ม Call-to-Action (CTA): ปุ่ม CTA ที่มีการใช้คำที่กระชับเข้าใจง่าย เชิญชวนให้คนมาคลิก มาไลก์มาสนใจคอนเทนต์หรือโฆษณา
กลยุทธ์เพิ่มค่า CTR บน Google Ads
กลยุทธ์เพิ่มค่า CTR บน Google Ads โดยมี 2 เรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องรู้และทำความเข้าใจคือ Ad Rank และ Quality Score ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่ม CTR บน Google Ads เป็นอย่างมาก
- Ad Rank หรืออันดับที่แสดงบนหน้าค้นหาใน Google โดยมีการประเมินค่า CTR (Click Through Rate) จริง และ ค่า CTR(Click Through Rate) ที่คาดการณ์ว่าจะได้ โดยเมื่อเรายิงแอดโฆษณาไปแล้ว และได้ผลลัพธ์ไม่ดี Google ก็จะปรับให้อันดับโฆษณาของเราอยู่อันดับท้าย ๆ
- Quality Score หรือ คะแนนคุณภาพ ซึ่งจะวัดผลจากคีย์เวิร์ดที่เลือกเอาไว้ โดยจำเป็นต้องจัดแต่งเนื้อหาโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เลือกและมีเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายกำลังมองหาอยู่ ก็จะทำให้ Quality Score สูงขึ้น และส่งผลให้ CTR บน Google Ads นั้นสูงขึ้นด้วย
บทสรุป Click Through Rate มีผลต่อการทำโฆษณาออนไลน์
โดยรวมแล้ว CTR หรือ Click Through Rate คือ อีกหนึ่งเครื่องมือชี้วัดความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาที่นักการตลาดจำเป็นศึกษา เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ วางแผนทางการตลาด เพื่อให้แคมเปญโฆษณาที่เราปล่อยออกไปได้รับผลตอบรับที่ดี รวมถึงสามารถนำมาวิเคราะห์ ปรับปรุง และพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดได้ในอนาคต