SEO คืออะไร? และทำยังไงให้ติดหน้าแรกในปี 2024
สงสัยกันไหมว่า SEO คืออะไร? และทำไมการทำ SEO จึงเป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่สำคัญในปี 2024 นี้ จนทำให้มีบริษัทรับทำ SEO เกิดขึ้นมากมายอย่างในปัจจุบัน สำหรับวันนี้ทางแองก้า (ANGA) จะพาคุณมาเจาะลึกรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำ SEO ให้คุณได้ทราบกันแบบสรุปครบ จบในบทความเดียว หลังจากอ่านจบแล้ว สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณได้เลย!
SEO เป็นกระบวนการที่จะทำให้เว็บไซต์ได้รับ Organic Traffic จำนวนมาก จากการติดอันดับบนหน้าการค้นหา หรือ SERP (Search Engine Results Pages) ซึ่งจะทำให้เกิดผลลัพธ์ในทางที่ดีต่อธุรกิจ อาทิ มีคนรู้จักธุรกิจมากขึ้น, ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ นำไปสู่โอกาสทางการตลาด, สร้างความน่าเชื่อถือ หรือเพิ่มยอดขาย เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เจ้าของธุรกิจที่ต้องการให้แบรนด์ตัวเองเติบโตและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของตัวเองจริง ๆ ได้ จึงเลือกทำ SEO ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์อื่น ๆ อย่างการยิงโฆษณาด้วย
- สรุป Learning ปั้น SEO เว็บไซต์ให้คนเข้าถึงหลักล้าน
- รวม 10 คอร์สเรียน SEO สอนละเอียดยิ่งกว่าจับมือทำ!
SEO คืออะไร
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกบน Search Engine โดยการเขียนบทความด้วยความเชี่ยวชาญและสอดแทรกคีย์เวิร์ดที่ผู้คนใช้ค้นหาจริงลงไป พร้อมกับปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ดีต่อผู้ใช้งาน (User) มากที่สุด ซึ่งหัวใจหลักของการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ จนเป็นที่ชื่นชอบของ Google และเป็นที่น่าไว้วางใจสำหรับผู้ใช้งานก็คือ “การมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุดให้แก่ผู้ใช้งาน” หรือที่เราเรียกกันว่า User Experience (UX) นั่นเอง
ข้อดีของการทำ SEO
ข้อดีของการทำ SEO คือ ลงทุนครั้งเดียวแต่คุ้มค่ามาก ไม่เหมือนกับการยิงโฆษณาที่เราต้องเสียเงินจ่ายทุก ๆ วัน (ถ้าวันไหนไม่จ่ายโฆษณาก็จะไม่แสดง) ซึ่ง SEO นับเป็นการทำการตลาดออนไลน์แบบ Organic ที่คุณจะต้องมีความอดทนในระดับหนึ่ง เพราะต้องรอเวลาประมาณ 3 – 6 เดือนกว่าเว็บไซต์จะติดอันดับและเห็นผล แต่เมื่อติดอันดับแล้วก็มักจะติดในระยะยาว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มามีความยั่งยืนและเกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่าตามไปด้วย
หลักการทำงานของ Google ในการจัดอันดับ SEO
เบื้องหลังผลการจัดอันดับการค้นหาบน Google ล้วนมีกลไกอันชาญฉลาด ขับเคลื่อนด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอน เริ่มต้นหลังจากที่เราเผยแพร่บทความไป ดังนี้
- Crawling : Googlebot คล้ายแมงมุมออนไลน์ ทำหน้าที่สำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ โดยติดตามลิงก์จากหน้าเว็บหนึ่งไปยังอีกหน้าเว็บ คล้ายกับใยแมงมุมที่เชื่อมต่อระหว่างกัน
- Indexing : เปรียบเสมือนการจัดทำดัชนีในห้องสมุด โดย Googlebot จะทำการวิเคราะห์เนื้อหา โครงสร้าง และข้อมูลต่าง ๆ ของเว็บไซต์ จากนั้นจัดเก็บข้อมูลเข้าในระบบ
- Ranking : ขั้นตอนสุดท้าย Google จะวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์และความต้องการของผู้ใช้ จากนั้นจัดลำดับความเหมาะสม เพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด
ทำไมต้องทำ SEO ด้วยล่ะ?
หากคุณเปิดธุรกิจใหม่ มีสินค้าดี ๆ อยู่ในมือ แต่ไม่มีใครมองเห็นคุณ คุณคิดว่าจะมีคนซื้อสินค้าจากคุณหรือไม่? และถึงแม้ว่ามีคนมองเห็นคุณ แต่คุณใช้อะไรในการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าซื้อสินค้าจากคุณล่ะ? บอกเลยว่ายากมาก เพราะคุณยังไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ รวมถึงสินค้าของคุณยังไม่เจอกับกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ถ้าคู่แข่งมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เยอะ และมียอดขายสูงขึ้นทุกเดือน สิ่งที่คุณจะสามารถเริ่มทำได้ เพื่อให้คุณเดินตามคู่แข่งทันและเติบโตขึ้นในระยะยาว หนึ่งในนั้นคือการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านเว็บไซต์และการสร้างเส้นทางให้คนเข้ามาเจอคุณด้วยการทำ SEO นั่นเอง
หน้าแรกบน Google เปรียบเสมือนทำเลทองหรือย่านที่มีคนพลุกพล่าน กล่าวคือถ้าร้านของคุณจะมีคนมองเห็นเยอะและขายของได้ดีก็ต่อเมื่ออยู่ในย่านการค้าดี ๆ อย่างหน้าแรก ซึ่งหน้าการค้นหาบน Google มีมากกว่า 10 หน้าด้วยกัน แบ่งเป็นหน้าละ 10 อันดับ หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในหน้าแรกได้ล่ะก็ โอกาสที่คุณจะเป็นที่รู้จักและขายสินค้าได้ก็ยิ่งสูงขึ้นไปด้วย ประกอบกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานส่วนใหญ่เลือกที่จะ “คลิก” เข้าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับต้น ๆ ของหน้าแรกด้วยเช่นกัน ดังนั้น การติดอันดับ 1 ใน 3 บนหน้าแรกของ Google จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และนักทำ SEO ทุกคนก็หวังผลในเรื่องนี้เป็นหลัก
ประเภทของ SEO
ประเภทของ SEO ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ซึ่งจะแยกรูปแบบการทำงานออกจากกันอย่างชัดเจน คือ On-page SEO, Off-page SEO และ Technical SEO โดยทั้ง 3 องค์ประกอบนี้เป็นส่วนเสริมเพิ่มพลังให้แก่กันและกัน หากคุณสามารถทำองค์ประกอบทั้ง 3 ด้านนี้ได้แข็งแรงและตรงตามมาตรฐานของ Google การขึ้นเป็นอันดับ 1 บนหน้าแรกก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
On-page SEO
On-page SEO คือการทำ SEO บนหน้าเว็บไซต์ ประกอบไปด้วยเนื้อหา, คีย์เวิร์ด, รูปภาพ, HTML tags, Internal Link, External Link, Meta data และ URL
Off-page SEO
Off-page SEO คือการทำ SEO จากภายนอกเว็บไซต์ เช่น การทำ Backlink หรือ Link Building, การทำ Content Marketing, การทำ SEO แบบเจาะพื้นที่ (Local SEO), การทำ Social Media Marketing หรือการถูกกล่าวถึงบนโลกออนไลน์ เป็นต้น
Technical SEO
Technical SEO คือการทำ SEO ในเชิงเทคนิค เพื่อให้ Googlebot และผู้ใช้งานสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น การวางโครงสร้างเว็บไซต์, การสร้าง Sitemap, การปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นแบบ Mobile Friendly หรือ Responsive Web Design, การทำให้เว็บไซต์ปลอดภัย (https) และการปรับความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed) เป็นต้น
วิธีทำ SEO เบื้องต้น ให้ติดหน้าแรกบน Google
หลังจากที่คุณได้รู้จักว่า SEO คืออะไรและประกอบไปด้วยอะไรบ้างแล้ว ต่อไปเราไปดูวิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรกบน Google กันดีกว่า ซึ่งวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเพียงวิธีทำ SEO เบื้องต้นฉบับสรุปรวบรัดเท่านั้น เพราะถ้าจะให้อธิบายทั้งหมด คาดว่าบทความนี้จะยาวหลายสิบหน้าเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามคุณสามารถนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์และเริ่มลงมือทำจริงได้แน่นอน!
1. ทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ
- ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
- ปรับปรุงเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว หรือไม่ควรโหลดนานกว่า 3 วินาทีนับตั้งแต่กดคลิก
- ทำเว็บไซต์ให้เป็น Responsive Web Design (เว็บไซต์สามารถแสดงผลได้บนทุกอุปกรณ์) และเหมาะกับผู้ใช้งานผ่านมือถือ (Mobile Friendly)
- ทำ URL Friendly หรือตั้ง URL ด้วยคีย์เวิร์ดหรือประโยคที่สื่อความหมาย เข้าใจง่าย กระชับ เพื่อให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บนั้น ๆ ได้ง่ายขึ้น
- ออกแบบ UX/UI ของเว็บไซต์ให้สวยงามและใช้งานง่าย เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไป
- ปรับแต่งรูปภาพให้เหมาะสม (Image Optimization) เช่น การแปลงไฟล์เป็น WebP ก่อนอัปโหลดลงเว็บไซต์ หรือมีการใส่ Alt Text ในรูปภาพ เป็นต้น
2. ทำ Keyword Research
Keyword Research คือการค้นหาคีย์เวิร์ดเพื่อนำมาทำ SEO บนเว็บไซต์ ซึ่งคีย์เวิร์ดที่ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ หรือธุรกิจของเรา จึงจะสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาเจอกับเราได้อย่างแม่นยำ ถ้าคุณทำ SEO ไปโดยที่ไม่ได้มีการทำ Keyword Research หรือวางแผนล่วงหน้าก่อน คนที่เข้ามาบนเว็บไซต์อาจจะไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่พร้อมซื้อสินค้ากับคุณ หรือทำไปแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ก็เป็นได้
ซึ่งคีย์เวิร์ดมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ถ้าอยากรู้ว่าคีย์เวิร์ดมีกี่ประเภท ค้นหาคีย์เวิร์ดยังไง และควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับธุรกิจ สามารถตามไปอ่านได้ที่นี่เลย : Keyword คืออะไร?
3. สร้างคอนเทนต์คุณภาพ
- เขียนบทความให้ตรงตามเกณฑ์ E-E-A-T และมีองค์ประกอบครบ
- บทความ SEO ที่เขียนมีประโยชน์และสามารถตอบคำถามแก่ผู้อ่านได้
- เนื้อหาและรูปแบบของบทความต้องตรงกับ Search Intent (จุดประสงค์ของการค้นหา)
- เขียน Long-Form Content หรือบทความยาว (อย่างน้อย 800-1,000 คำ)
- มีการอัปเดตเนื้อหาให้สดใหม่อยู่เสมอ
4. ทำ Backlink คุณภาพ
การทำ Backlink คือการได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่น หรือการใส่ลิงก์เว็บไซต์อื่นบนเว็บไซต์ของเรา เพื่อเพิ่มคะแนนเว็บไซต์และทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราน่าเชื่อถือ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ จนมีเว็บไซต์อื่น ๆ ส่งลิงก์กลับมา โดยการทำ Backlink สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจะจ้างเอเจนซี่รับทำ Backlink ก็ได้เช่นกัน
- โพสต์คอนเทนต์ให้ความรู้ลงบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น Pantip และแทรกลิงก์เว็บไซต์ของเราลงไปด้วย
- ซื้อพื้นที่บนเว็บไซต์สื่อใหญ่ ๆ อาทิ Matichon, Prachachat, Khaosod, Dailynews, Nation TV ฯลฯ
- ติดต่อขอแลกลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกัน
- ใส่ลิงก์เว็บไซต์ลงในโพสต์ต่าง ๆ บน Social Media ของเราเอง
แนะนำเครื่องมือช่วยทำ SEO เบื้องต้น
รู้จักวิธีทำ SEO แล้ว ก็ต้องมารู้จักเครื่องมือทำ SEO ด้วย! ต้องบอกว่าเครื่องมือช่วยทำ SEO มีมากกว่าร้อยตัวเลยทีเดียว ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานยันขั้นชำนาญ ไหน ๆ บทความนี้ก็เหมาะสำหรับมือใหม่หัดทำ SEO แล้ว เราจึงจะมาแนะนำเครื่องมือช่วยทำ SEO ระดับเบื้องต้นให้ทราบกันแบบคร่าว ๆ และนี่คือ 5 เครื่องมือที่เราอยากแนะนำ!
- Google Search Console : ใช้เก็บข้อมูล ตรวจสอบ และวิเคราะห์ Traffic บนเว็บไซต์อย่างละเอียด
- Google Analytics : ใช้เก็บข้อมูลและพฤติกรรมของผู้ใช้งาน (User) ที่เข้ามาบนเว็บไซต์
- Yoast SEO : ปลั๊กอินที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของ SEO บน WordPress
- Ahrefs : มีฟีเจอร์สำหรับทำ SEO ครบ ทั้ง On-page, Off-Page, Technical และอื่น ๆ อีกมากมาย
- SEMrush : ใช้วิเคราะห์เว็บไซต์ ตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับเว็บไซต์ และเช็กคุณภาพของ Backlink
อ่านต่อได้ที่นี่เลย! 30 เครื่องมือทำ SEO อัปเดตปี 2024
บทสรุป
จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับบทความเรื่อง SEO คืออะไร และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลพื้นฐานที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO นั่นเอง เมื่อคุณรู้แล้วว่า SEO คืออะไร มีข้อดีอย่างไร และทำยังไงบ้าง คุณก็สามารถเริ่มลงมือทำได้เลย! ยิ่งคุณรู้ตัวไว เริ่มต้นเร็วกว่าคู่แข่ง โอกาสที่คุณจะชนะคู่แข่งได้ก็มากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณยังไม่มีทีมทำ SEO ก็สามารถปรึกษาเราได้ที่ LINE @ANGA หรือโทร 080-054-9199 เรารับทำ SEO โดยผู้เชี่ยวชาญ (SEO Specialist)