
รู้จักโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) และวิธีการออกแบบ
โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ ซึ่งการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดียังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ด้วย เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบข้อมูลบนเว็บไซต์และการเชื่อมโยงระหว่างหน้าเว็บเพจเป็นอย่างมาก หากเว็บไซต์ใดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและเป็นระเบียบ จะทำให้ Googlebot เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์และจัดหมวดหมู่เว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น ANGA จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องโครงสร้างเว็บไซต์อย่างครอบคลุมแบบครบจบในบทความเดียว ทั้งลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์ รูปแบบ ความสำคัญ พร้อมกับแนะนำวิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปี 2025 ด้วย
โครงสร้างเว็บไซต์คืออะไร
โครงสร้างเว็บไซต์คือแผนผังการจัดการข้อมูลและส่วนประกอบทั้งหมดของเว็บไซต์ที่แสดงให้เห็นว่าแต่ละหน้าเว็บมีเนื้อหาและองค์ประกอบอะไรบ้าง รวมถึงวิธีการเชื่อมโยงระหว่างหน้าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ การจัดการโครงสร้างที่ดีจะช่วยให้ทั้งผู้ใช้งานและ Google Bot สามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงสร้างเว็บไซต์จะประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ
- การจัดการเนื้อหา เพื่อแสดงว่าแต่ละหน้าเว็บเพจนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีประเด็นสำคัญอะไรบ้าง
- การเชื่อมโยงระหว่างหน้าเว็บ เพื่อแสดงวิธีการเชื่อมต่อระหว่างหน้าเว็บเพจต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำทางจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งได้อย่างสะดวก
ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี
- มีการจัดหมวดหมู่เนื้อหาอย่างเป็นระบบและชัดเจน
- ออกแบบลำดับชั้นการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นขั้นตอน
- สร้างการเชื่อมโยงระหว่างหน้าที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน
- ใช้โครงสร้างที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป
- มีความสอดคล้องกับเป้าหมายและประเภทของเว็บไซต์
โครงสร้างเว็บไซต์ ตัวอย่าง

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Slickplan
รู้จักโครงสร้างเว็บไซต์ทั้ง 6 รูปแบบ
โครงสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบันจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีจุดเด่นและเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันเจ้าของเว็บไซต์จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการสร้างเว็บไซต์ จึงจะช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด
1. Sequential Structure
Sequential Structure หรือ Linear Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบเส้นตรง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการนำเสนอข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอน เช่น คอร์สเรียนออนไลน์หรือ e-book โดยผู้ใช้จะต้องเข้าชมเนื้อหาตามลำดับที่กำหนดไว้ผ่านปุ่ม “ถัดไป” หรือ “ย้อนกลับ” ข้อดีคือผู้ใช้สามารถเรียนรู้เนื้อหาได้อย่างเป็นระบบ แต่อาจไม่ยืดหยุ่นสำหรับการค้นหาข้อมูลเฉพาะ

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Slickplan
2. Hierarchical Structure
Hierarchical Structure คือโครงสร้างเว็บไซต์แบบลำดับชั้น รูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะเหมาะกับเว็บไซต์ทุกขนาด ตั้งแต่เว็บเล็ก ๆ ไปจนถึง e-commerce ขนาดใหญ่ ลักษณะจะคล้ายแผนผังต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านจากหน้าหลักลงไปเป็นหมวดหมู่ย่อยต่าง ๆ ทำให้จัดการข้อมูลได้เป็นระบบและ Google สามารถเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ง่าย

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Slickplan
3. Grid Structure
Grid Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบตาราง ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายและต้องการให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้หลายทาง เช่น เว็บไซต์ข่าวหรือบล็อก แต่ละหมวดหมู่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างอิสระ ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่สนใจได้หลายวิธี
4. Web Structure
Web Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบใยแมงมุมให้อิสระในการเชื่อมโยงเนื้อหามากที่สุด ทุกหน้าสามารถเชื่อมถึงกันได้โดยตรง เหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการนำทาง อย่างไรก็ตามหากมีหน้าเว็บจำนวนมาก อาจทำให้ผู้ใช้สับสนและ Google อาจเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ยาก
5. Hybrid Structure
Hybrid Structure คือโครงสร้างเว็บไซต์แบบผสม โดยจะเป็นการผสมผสานจุดเด่นของโครงสร้างหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน มักใช้โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchical) เป็นพื้นฐาน แล้วเพิ่มการเชื่อมโยงรูปแบบอื่นตามความเหมาะสม เช่น การใช้โครงสร้างแบบเส้นตรงสำหรับส่วนที่ต้องการนำเสนอข้อมูลเป็นลำดับขั้น หรือเพิ่มการเชื่อมโยงแบบใยแมงมุมในบางส่วนเพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้สะดวกขึ้น โครงสร้างแบบผสมนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีเนื้อหาหลากหลายและต้องการความยืดหยุ่นในการนำเสนอข้อมูล
6. Silo Structure
Silo Structure เป็นโครงสร้างเว็บไซต์แบบไซโล ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO โดยเฉพาะ หลักการสำคัญคือการจัดกลุ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันอย่างชัดเจน และสร้าง Internal Link เฉพาะระหว่างเนื้อหาในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้ Google เข้าใจความเชื่อมโยงของเนื้อหาได้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของกลยุทธ์ Semantic SEO ที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์ของเนื้อหาอย่างมีความหมาย ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงในคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
การเลือกใช้โครงสร้างแบบไซโลนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเชิงลึกในแต่ละหมวดหมู่ เช่น เว็บไซต์ข้อมูลเฉพาะทาง บล็อกความรู้ หรือเว็บไซต์ e-commerce ที่แบ่งสินค้าเป็นหมวดหมู่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การทำ Silo Structure ต้องวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่เริ่มต้น เพราะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในภายหลังอาจส่งผลกระทบต่ออันดับ SEO ได้

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Sitechecker
เว็บไซต์มีกี่รูปแบบ
เมื่อเริ่มต้นออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือรูปแบบของเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะเว็บไซต์แต่ละรูปแบบจะมีข้อจำกัดและความยืดหยุ่นในการจัดการเนื้อหาที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเลือกใช้โครงสร้างเว็บไซต์และการวางแผนพัฒนาเว็บไซต์ในระยะยาว โดยรูปแบบของเว็บไซต์หลัก ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- Static Website เป็นเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นด้วยภาษา HTML พื้นฐาน เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดเล็กที่มีจำนวนหน้าไม่มากและไม่ต้องการปรับเปลี่ยนเนื้อหาบ่อย เช่น เว็บไซต์แนะนำองค์กร เว็บไซต์ประวัติส่วนตัว หรือเว็บไซต์ Portfolio ข้อมูลถูกจัดเก็บในรูปแบบไฟล์ .html แยกเป็นแต่ละหน้า การแก้ไขเนื้อหาจำเป็นต้องเข้าไปแก้ไขโค้ด HTML โดยตรง
- Dynamic Website เป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ มีระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถปรับปรุงข้อมูลได้สะดวกผ่านหน้าจัดการระบบ โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ด HTML เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาจำนวนมาก เช่น เว็บข่าว บล็อก หรือเว็บ E-commerce เนื้อหาจะถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลและดึงมาแสดงผลตามความต้องการ

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Zesty
โครงสร้างเว็บไซต์สำคัญอย่างไร
การวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์มีรากฐานที่แข็งแรง ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราสามารถจัดการเนื้อหาได้อย่างเป็นระบบเท่านั้น แต่ยังส่งผลที่ดีต่อ User Experience (ประสบการณ์การใช้งาน) และ Core Web Vitals ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google การจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย
มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน
การจัดวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระบบช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ส่งผลให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจและมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการซ้ำ จากผลการวิจัยพบว่าเว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) ได้สูงถึง 400% เพราะเมื่อผู้ใช้รู้สึกประทับใจ พวกเขามักจะแนะนำต่อและมีโอกาสกลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีในท้ายที่สุด
เพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO
โครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระเบียบทำให้ Googlebot สามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนแผนที่ที่ช่วยให้ Bot สำรวจและจัดทำดัชนีข้อมูลได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ การจัดหมวดหมู่เนื้อหาที่เป็นระบบยังช่วยในการกระจายค่าความน่าเชื่อถือ (Authority) ระหว่างหน้าเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีโอกาสติดอันดับการค้นหาที่ดีขึ้นนั่นเอง
ปรับปรุง Core Web Vitals
โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของ Core Web Vitals ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google ทั้งการจัดการลิงก์และการโหลดข้อมูลที่เป็นระบบช่วยให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น ช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และสนับสนุนการแสดงผลที่เสถียรบนทุกอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและไม่สะดุด
องค์ประกอบของโครงสร้างเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง
- หน้าหลัก (Homepage) เป็นหน้าแรกที่ผู้ใช้จะพบเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ แสดงภาพรวมของเว็บไซต์และจุดเด่นที่สำคัญ พร้อมกับมีเมนูนำทางไปยังส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์
- เมนูนำทาง (Navigation Menu) เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาต่างๆ ภายในเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก โดยควรมีการจัดหมวดหมู่ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และรองรับการแสดงผลบนทุกอุปกรณ์
- หน้าเนื้อหา (Content Pages) เป็นส่วนที่นำเสนอข้อมูลหลักของเว็บไซต์ โดยมีการแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามประเภทของเนื้อหา และมีการเชื่อมโยงระหว่างหน้าที่มีความเกี่ยวข้องกัน
- ส่วนท้ายเว็บ (Footer) เป็นพื้นที่สำหรับรวบรวมลิงก์สำคัญ ข้อมูลการติดต่อ ลิขสิทธิ์ นโยบายต่าง ๆ และอาจมีแผนผังเว็บไซต์แบบย่อเพื่อช่วยในการนำทาง
- การเชื่อมโยงภายใน (Internal Link) คือการสร้างลิงก์เชื่อมต่อระหว่างหน้าต่างๆ ภายในเว็บไซต์ ช่วยในการกระจายค่าความน่าเชื่อถือและสร้างเส้นทางการนำทางที่เป็นธรรมชาติสำหรับผู้ใช้
- แผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) เป็นเอกสารที่แสดงโครงสร้างทั้งหมดของเว็บไซต์ มีทั้งรูปแบบ HTML สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป และ XML สำหรับเครื่องมือค้นหา ช่วยให้ทั้งผู้ใช้และ Googlebot เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
วิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้ดีต่อ SEO
- จัดหมวดหมู่เนื้อหาอย่างเป็นระบบ การแบ่งเนื้อหาเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนช่วยให้ทั้งผู้ใช้และ Googlebot เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ควรจัดกลุ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกันและสร้างลำดับชั้นที่มีความหมาย
- ออกแบบ URL ให้เป็นมิตร โครงสร้าง URL ควรสั้น กระชับ และสื่อความหมาย โดยใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไม่มีความหมาย เพื่อให้ทั้งผู้ใช้และ Search Engine เข้าใจเนื้อหาได้ทันที
- สร้างระบบนำทางที่ใช้งานง่าย ผู้ใช้ควรสามารถเข้าถึงหน้าสำคัญได้ภายใน 3 คลิกจากหน้าแรก มีเมนูที่ชัดเจนและ Breadcrumb เพื่อบอกตำแหน่งปัจจุบัน ทำให้การท่องเว็บเป็นไปอย่างราบรื่น
- เชื่อมโยงเนื้อหาด้วย Internal Link การสร้างการเชื่อมโยงระหว่างหน้าที่เกี่ยวข้องช่วยกระจายค่า Authority และทำให้ผู้ใช้ค้นพบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น ควรใช้ Anchor Text ที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาปลายทาง
- ทำ XML Sitemap ให้สมบูรณ์ Sitemap ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และค้นพบหน้าใหม่ได้รวดเร็วขึ้น ควรอัปเดต Sitemap เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสำคัญ
- ทำให้เว็บไซต์รองรับการแสดงผลบนมือถือ โครงสร้างเว็บไซต์ต้องแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะมือถือ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับ Mobile-First Indexing เนื้อหาและเมนูควรปรับขนาดอัตโนมัติและใช้งานได้สะดวกบนหน้าจอขนาดเล็ก
- ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา หลีกเลี่ยงการสร้างหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายกันหรือซ้ำกัน หากจำเป็นต้องมีเนื้อหาที่คล้ายกัน ควรใช้ Canonical Tag เพื่อระบุหน้าหลักที่ต้องการให้ Google จัดทำดัชนี
- ออกแบบโครงสร้างให้โหลดเร็ว จัดวางองค์ประกอบและไฟล์ต่าง ๆ ให้เว็บไซต์โหลดได้อย่างรวดเร็ว ใช้เทคนิคการ Lazy Loading สำหรับรูปภาพ และจัดการ Cache อย่างเหมาะสม เพราะความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ
- สร้างโครงสร้างข้อมูลที่มีความหมาย ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและบริบทของข้อมูลได้ดีขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการแสดงผลพิเศษใน SERP เช่น Rich Snippets หรือ Featured Snippet
เว็บไซต์ เว็บเพจ โฮมเพจ มีความแตกต่างกันอย่างไร
ในการสร้างเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ เราควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างองค์ประกอบพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เว็บเพจ และโฮมเพจ เพราะแต่ละส่วนมีบทบาทและความสำคัญที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจแต่ละส่วนกันดีกว่า
- เว็บไซต์ (Website) การรวมตัวกันของเว็บเพจหลาย ๆ หน้าภายใต้โดเมนเดียวกัน
- เว็บเพจ (Web Page) หน้าเอกสารเดี่ยวที่สร้างด้วยภาษา HTML และแสดงผลผ่านเบราว์เซอร์
- โฮมเพจ (Homepage) หน้าแรกที่ผู้ใช้งานมองเห็นเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ เป็นเหมือนหน้าปกที่แสดงภาพรวม จุดเด่นของเว็บไซต์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหน้าร้านของเรา
สรุป
สรุปได้ว่าโครงสร้างเว็บไซต์ก็คือจุดเริ่มต้นและรากฐานสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา ยิ่งถ้าคุณมีการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีร่วมด้วย เว็บไซต์ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในแง่ของการแสดงผล การจัดการ และรวมไปถึง SEO ด้วย ซึ่งจะโยงไปสู่การเติบโตของเว็บไซต์และธุรกิจบนโลกออนไลน์เช่นกัน อย่างไรก็ตามหากคุณมองว่าการสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองมันยากจนเกินไป หรือภายในองค์กรไม่ได้มีพนักงานที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือการจ้างทำเว็บไซต์ และถ้าคุณไม่รู้ว่าจะไปหาบริษัทรับทำเว็บไซต์ที่มีบริการรับทำ SEO ร่วมด้วยที่ไหนดี สามารถปรึกษา ANGA ได้ เพราะเราคือดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง
บทความที่เกี่ยวข้อง

SEO Specialist คืออะไร ทำหน้าที่อะไร ทำไมใคร ๆ ก็ต้องการตัว
