1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. CMS คืออะไร เครื่องมือสำคัญของธุรกิจออนไลน์ที่คุณควรรู้
CMS คือ
เผยแพร่เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2024

CMS คืออะไร เครื่องมือสำคัญของธุรกิจออนไลน์ที่คุณควรรู้

Table Of Contents

SEO คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่หลากหลายธุรกิจหันมาทำกัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ B2C หรือธุรกิจ B2B ก็ตาม เพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าและมีความยั่งยืนสูง จากการทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และมีประโยชน์ต่อผู้ชม จนทำให้ Search Engine อย่าง Google นำเว็บไซต์ของเราไปแสดงผลการค้นหาแบบ Organic ซึ่งประสิทธิภาพของ SEO จะดีและประสบความสำเร็จหรือไม่ “CMS” ที่เลือกใช้ ส่งผลอย่างมากในด้านนี้ ถ้าเริ่มต้นผิด ๆ ก็จะเสียทั้งเวลา เสียทั้งโอกาส และเสียทั้งเงินไปมากมาย

ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าว่า CMS คืออะไร? CMS ย่อมาจากอะไร? และ CMS มีอะไรบ้าง? ซึ่งบทความนี้เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจที่กำลังจะนำพาธุรกิจเข้าสู่โลกออนไลน์, ผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ธุรกิจ, นักการตลาดออนไลน์ และผู้ที่สนใจในเรื่องของเว็บไซต์และ SEO (Search Engine Optimization)

CMS คืออะไร

CMS ย่อมาจาก Content Management System หรือระบบจัดการเนื้อหา โดย CMS คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ (เจ้าของเว็บไซต์) สามารถสร้าง จัดการ และแก้ไขเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดก็ได้ ซึ่งระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสไปที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพได้มากขึ้น และยังช่วยให้คุณจัดการ SEO ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

CMS ทำงานโดยแยกส่วนของเนื้อหาและการออกแบบออกจากกัน ระบบจะเก็บเนื้อหาไว้ในฐานข้อมูล และใช้เทมเพลตต่าง ๆ เพื่อกำหนดรูปแบบการแสดงผล ซึ่งตัวระบบหลังบ้านของเค้าก็ออกแบบมาให้ใช้งานได้แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโค้ด HTML หรือ CSS คุณสามารถเข้าไปแก้ไขเนื้อหาหรือปรับเปลี่ยนการจัดวางองค์ประกอบบนเว็บไซต์ได้ตามที่ต้องการ และเมื่อมีการร้องขอหน้าเว็บ CMS จะดึงเนื้อหาจากฐานข้อมูลและใส่ลงในเทมเพลตที่เหมาะสมเพื่อแสดงผลให้ผู้ใช้เห็นนั่นเอง

ข้อดีของการสร้างเว็บไซต์ด้วย CMS คืออะไร

  • ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดก็ใช้งานได้ เพราะ CMS ถูกออกแบบมาใผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคด้านเว็บไซต์ สามารถสร้างและจัดการเว็บไซต์ได้อย่างสบาย ๆ เช่น ระบบหลังบ้านที่มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ช่วยให้คุณสามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย เป็นต้น
  • ช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณในการพัฒนาเว็บไซต์ได้เยอะมาก เพราะคุณสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ภายในไม่กี่วัน จากปกติที่คุณต้องใช้เวลาหลาย ๆ เดือนในการเขียนโค้ดทีละส่วน เพื่อปั้นเว็บไซต์ให้สมบูรณ์แบบ
  • CMS มีเทมเพลตและธีมให้เลือกเยอะมาก สามารถเลือกเทมเพลตที่เหมาะกับเนื้อหาหรือประเภทธุรกิจไปใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องออกแบบใหม่และเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
  • CMS ส่วนใหญ่จะมีระบบปลั๊กอินที่ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มฟีเจอร์และองค์ประกอบต่าง ๆ ให้กับเว็บไซต์ได้ตามต้องการ เช่น ฟีเจอร์การแสดงความคิดเห็น, ระบบตะกร้าสินค้า, เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ
  • CMS จะมีการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอและทำได้ง่ายมาก ๆ  เพียงไม่กี่คลิก ซึ่งการอัปเดตเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยสูงขึ้น
  • CMS คือระบบที่มีความเป็นมิตรกับ SEO อย่างมาก มีทั้งโครงสร้างและปลั๊กอินต่าง ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO บนเว็บไซต์

ฟีเจอร์บนระบบ CMS มีอะไรบ้าง

ระบบ CMS มีฟีเจอร์ดี ๆ อยู่เพียบเลย ฟีเจอร์พวกนี้แหละที่จะทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย ๆ รวมทั้งยังช่วยประหยัดเวลา และทรัพยากรบุคคลได้ดีอีกด้วย มาดูกันว่าระบบ CMS มันทำอะไรได้บ้าง

  • การสร้างหน้าเว็บไซต์ (ทั้ง Page และ Post) และการแก้ไขแบบง่าย ๆ 
  • ระบบการจัดการสื่อ (ภาพและวิดีโอ) ที่มีทั้งคลังเก็บข้อมูล ฟีเจอร์รองรับการอัปโหลด และการปรับแต่งแก้ไขสื่อ
  • ฟีเจอร์ในการจัดการสินค้า ทั้งในส่วนของสต็อกหลังบ้านและการแสดงผลข้อมูลของสินค้า
  • เครื่องมือวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ พร้อมรายงานสรุปผลลัพธ์
  • ระบบการนำทางบนเว็บไซต์ (Navigation)
  • มีการประมวลผลข้อมูลและสามารถโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์
  • การปรับแต่งเนื้อหาและองค์ประกอบบนหน้าเว็บไซต์
  • ระบบควบคุมและจำกัดสิทธิ์การใช้งานของผู้ใช้ (แอดมิน) แต่ละคน
  • ระบบการสร้างเว็บไซต์หลายภาษาที่มีประสิทธิภาพ
  • แบบฟอร์มลงทะเบียนหรือฟอร์มให้ผู้ชมเว็บไซต์กรอกข้อมูล
  • และอื่น ๆ อีกมากมาย

CMS มีอะไรบ้าง? ระบบไหนได้รับความนิยมมากที่สุด

ในปัจจุบันมีระบบ CMS ให้เลือกใช้งานกันเยอะมาก โดยแต่ละระบบก็จะมีจุดเด่นและฟีเจอร์การใช้งานที่แตกต่างกันไป ในส่วนของระบบ CMS ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบันนี้ จะมีอยู่ 5 ระบบคือ WordPress, Joomla, Shopify, Magento และ Drupal มาดูกันว่า CMS แต่ละแบบเหมาะกับการสร้างเว็บไซต์แบบไหนบ้าง

1. WordPress

WordPress คือ CMS ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก ใช้งานง่ายและมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับทั้งเว็บไซต์ขนาดเล็กและใหญ่ จุดเด่นของ WordPress คือมีธีมและปลั๊กอินให้เลือกใช้เยอะ โดยเฉพาะปลั๊กอิน SEO ทำให้คุณได้เว็บไซต์ในรูปแบบที่ชอบ มีเว็บไซต์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และยังเป็นมิตรกับ SEO มาก ๆ อีกด้วย

2. Joomla

Joomla เป็น CMS ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการฟีเจอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น จุดเด่นของ Joomla คือมีระบบจัดการเนื้อหาที่แข็งแกร่ง สามารถจัดการกับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีเนื้อหาจำนวนมากได้ดี (ใครจะทำเว็บไซต์ข่าวหรือต้องการสร้างหน้าบนเว็บไซต์เยอะ ๆ ตัวนี้ตอบโจทย์!) นอกจากนี้ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีและรองรับการทำเว็บไซต์หลายภาษาอีกด้วย

3. Shopify

Shopify คือ CMS ที่ออกแบบมาสำหรับการสร้างร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ จุดเด่นของ Shopify คือใช้งานง่าย มีระบบจัดการสินค้าที่ดี มีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย และมีเครื่องมือสำหรับทำการตลาดในตัว เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการเทคนิคหลังบ้าน

4. Magento

Magento เป็น CMS ที่เหมาะกับเว็บไซต์ E-Commerce ขนาดใหญ่ จุดเด่นของ Magento คือมีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมากและมีความต้องการที่ซับซ้อนได้ดี เพราะมีฟีเจอร์การจัดการสินค้าและการทำการตลาดที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคในการติดตั้งและปรับแต่งมากกว่า CMS อื่น ๆ 

5. Drupal

Drupal เป็น CMS ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถจัดการกับเว็บไซต์ที่มีปริมาณการเข้าชมสูงได้ดี และมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมาก จึงเหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่และซับซ้อน อาทิ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรขนาดใหญ่ เป็นต้น

บทสรุป

CMS คือระบบจัดการเนื้อหาที่ทำให้การสร้างและดูแลเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย รวมทั้งยังช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเว็บไซต์ได้มาก จุดเด่นของระบบ CMS คือฟีเจอร์เยอะ ระบบหลังบ้านไม่ซับซ้อน ไม่ต้องเขียนโค้ด ยืดหยุ่น และตอบโจทย์สำหรับเว็บไซต์ทุกรูปแบบ หากจะให้ ANGA แนะนำ CMS สักตัวก็ขอแนะนำเป็น WordPress เพราะมัน SEO Friendly สุด ๆ แถมยังปลอดภัยและปรับแต่งได้แบบจัดเต็มนั่นเอง (สำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทรับทำเว็บไซต์ WordPress และ SEO สามารถสอบถามกับทางแองก้าได้เลย เพราะเรามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง!)

บทความที่เกี่ยวข้อง

Organic Traffic คืออะไร พร้อมวิธีเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์

Web Traffic คือผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่มีความสำคัญมาในการทำให้เว็บไซต์เติบโตและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Traffic มาได้จากหลายช่องทาง อาทิ Paid, Direct, Social Media, Referral และ Organic Traffic แต่ Traf
50

Breadcrumb Navigation ป้ายนำทางบนเว็บไซต์ ที่ส่งผลดีต่อ SEO

เว็บไซต์ส่วนใหญ่มีหน้าเว็บและข้อมูลเยอะมาก อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรู้สึกสับสนและหลงทางได้ การมีตัวช่วยนำทางบนเว็บไซต์หรือ Breadcrumb Navigation ติดตั้งไว้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับ
46

รู้จัก DeepSeek AI เอไอสัญชาติจีนที่กำลังมาแรงในตอนนี้

ต้องบอกว่าในปี 2025 นี้ แพลตฟอร์ม AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลายด้านได้อีกด้วย คุณสามารถใช้ AI ในการทำงานแทน อย่างเขียนบทความ สรุปข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ค้นหาข้อมูล เขี
50
th