CMS คืออะไร เครื่องมือสำคัญของธุรกิจออนไลน์ที่คุณควรรู้
SEO คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่หลากหลายธุรกิจหันมาทำกัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ B2C หรือธุรกิจ B2B ก็ตาม เพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าและมีความยั่งยืนสูง จากการทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และมีประโยชน์ต่อผู้ชม จนทำให้ Search Engine อย่าง Google นำเว็บไซต์ของเราไปแสดงผลการค้นหาแบบ Organic ซึ่งประสิทธิภาพของ SEO จะดีและประสบความสำเร็จหรือไม่ “CMS” ที่เลือกใช้ ส่งผลอย่างมากในด้านนี้ ถ้าเริ่มต้นผิด ๆ ก็จะเสียทั้งเวลา เสียทั้งโอกาส และเสียทั้งเงินไปมากมาย
ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าว่า CMS คืออะไร? CMS ย่อมาจากอะไร? และ CMS มีอะไรบ้าง? ซึ่งบทความนี้เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจที่กำลังจะนำพาธุรกิจเข้าสู่โลกออนไลน์, ผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ธุรกิจ, นักการตลาดออนไลน์ และผู้ที่สนใจในเรื่องของเว็บไซต์และ SEO (Search Engine Optimization)
CMS คืออะไร
CMS ย่อมาจาก Content Management System หรือระบบจัดการเนื้อหา โดย CMS คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ (เจ้าของเว็บไซต์) สามารถสร้าง จัดการ และแก้ไขเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดก็ได้ ซึ่งระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสไปที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพได้มากขึ้น และยังช่วยให้คุณจัดการ SEO ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
CMS ทำงานโดยแยกส่วนของเนื้อหาและการออกแบบออกจากกัน ระบบจะเก็บเนื้อหาไว้ในฐานข้อมูล และใช้เทมเพลตต่าง ๆ เพื่อกำหนดรูปแบบการแสดงผล ซึ่งตัวระบบหลังบ้านของเค้าก็ออกแบบมาให้ใช้งานได้แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโค้ด HTML หรือ CSS คุณสามารถเข้าไปแก้ไขเนื้อหาหรือปรับเปลี่ยนการจัดวางองค์ประกอบบนเว็บไซต์ได้ตามที่ต้องการ และเมื่อมีการร้องขอหน้าเว็บ CMS จะดึงเนื้อหาจากฐานข้อมูลและใส่ลงในเทมเพลตที่เหมาะสมเพื่อแสดงผลให้ผู้ใช้เห็นนั่นเอง
ข้อดีของการสร้างเว็บไซต์ด้วย CMS คืออะไร
- ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดก็ใช้งานได้ เพราะ CMS ถูกออกแบบมาใผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคด้านเว็บไซต์ สามารถสร้างและจัดการเว็บไซต์ได้อย่างสบาย ๆ เช่น ระบบหลังบ้านที่มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ช่วยให้คุณสามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย เป็นต้น
- ช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณในการพัฒนาเว็บไซต์ได้เยอะมาก เพราะคุณสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ภายในไม่กี่วัน จากปกติที่คุณต้องใช้เวลาหลาย ๆ เดือนในการเขียนโค้ดทีละส่วน เพื่อปั้นเว็บไซต์ให้สมบูรณ์แบบ
- CMS มีเทมเพลตและธีมให้เลือกเยอะมาก สามารถเลือกเทมเพลตที่เหมาะกับเนื้อหาหรือประเภทธุรกิจไปใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องออกแบบใหม่และเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
- CMS ส่วนใหญ่จะมีระบบปลั๊กอินที่ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มฟีเจอร์และองค์ประกอบต่าง ๆ ให้กับเว็บไซต์ได้ตามต้องการ เช่น ฟีเจอร์การแสดงความคิดเห็น, ระบบตะกร้าสินค้า, เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ
- CMS จะมีการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอและทำได้ง่ายมาก ๆ เพียงไม่กี่คลิก ซึ่งการอัปเดตเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยสูงขึ้น
- CMS คือระบบที่มีความเป็นมิตรกับ SEO อย่างมาก มีทั้งโครงสร้างและปลั๊กอินต่าง ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO บนเว็บไซต์
ฟีเจอร์บนระบบ CMS มีอะไรบ้าง
ระบบ CMS มีฟีเจอร์ดี ๆ อยู่เพียบเลย ฟีเจอร์พวกนี้แหละที่จะทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย ๆ รวมทั้งยังช่วยประหยัดเวลา และทรัพยากรบุคคลได้ดีอีกด้วย มาดูกันว่าระบบ CMS มันทำอะไรได้บ้าง
- การสร้างหน้าเว็บไซต์ (ทั้ง Page และ Post) และการแก้ไขแบบง่าย ๆ
- ระบบการจัดการสื่อ (ภาพและวิดีโอ) ที่มีทั้งคลังเก็บข้อมูล ฟีเจอร์รองรับการอัปโหลด และการปรับแต่งแก้ไขสื่อ
- ฟีเจอร์ในการจัดการสินค้า ทั้งในส่วนของสต็อกหลังบ้านและการแสดงผลข้อมูลของสินค้า
- เครื่องมือวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ พร้อมรายงานสรุปผลลัพธ์
- ระบบการนำทางบนเว็บไซต์ (Navigation)
- มีการประมวลผลข้อมูลและสามารถโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์
- การปรับแต่งเนื้อหาและองค์ประกอบบนหน้าเว็บไซต์
- ระบบควบคุมและจำกัดสิทธิ์การใช้งานของผู้ใช้ (แอดมิน) แต่ละคน
- ระบบการสร้างเว็บไซต์หลายภาษาที่มีประสิทธิภาพ
- แบบฟอร์มลงทะเบียนหรือฟอร์มให้ผู้ชมเว็บไซต์กรอกข้อมูล
- และอื่น ๆ อีกมากมาย
CMS มีอะไรบ้าง? ระบบไหนได้รับความนิยมมากที่สุด
ในปัจจุบันมีระบบ CMS ให้เลือกใช้งานกันเยอะมาก โดยแต่ละระบบก็จะมีจุดเด่นและฟีเจอร์การใช้งานที่แตกต่างกันไป ในส่วนของระบบ CMS ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบันนี้ จะมีอยู่ 5 ระบบคือ WordPress, Joomla, Shopify, Magento และ Drupal มาดูกันว่า CMS แต่ละแบบเหมาะกับการสร้างเว็บไซต์แบบไหนบ้าง
1. WordPress
WordPress คือ CMS ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก ใช้งานง่ายและมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับทั้งเว็บไซต์ขนาดเล็กและใหญ่ จุดเด่นของ WordPress คือมีธีมและปลั๊กอินให้เลือกใช้เยอะ โดยเฉพาะปลั๊กอิน SEO ทำให้คุณได้เว็บไซต์ในรูปแบบที่ชอบ มีเว็บไซต์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และยังเป็นมิตรกับ SEO มาก ๆ อีกด้วย
2. Joomla
Joomla เป็น CMS ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการฟีเจอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น จุดเด่นของ Joomla คือมีระบบจัดการเนื้อหาที่แข็งแกร่ง สามารถจัดการกับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีเนื้อหาจำนวนมากได้ดี (ใครจะทำเว็บไซต์ข่าวหรือต้องการสร้างหน้าบนเว็บไซต์เยอะ ๆ ตัวนี้ตอบโจทย์!) นอกจากนี้ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีและรองรับการทำเว็บไซต์หลายภาษาอีกด้วย
3. Shopify
Shopify คือ CMS ที่ออกแบบมาสำหรับการสร้างร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ จุดเด่นของ Shopify คือใช้งานง่าย มีระบบจัดการสินค้าที่ดี มีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย และมีเครื่องมือสำหรับทำการตลาดในตัว เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการเทคนิคหลังบ้าน
4. Magento
Magento เป็น CMS ที่เหมาะกับเว็บไซต์ E-Commerce ขนาดใหญ่ จุดเด่นของ Magento คือมีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมากและมีความต้องการที่ซับซ้อนได้ดี เพราะมีฟีเจอร์การจัดการสินค้าและการทำการตลาดที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคในการติดตั้งและปรับแต่งมากกว่า CMS อื่น ๆ
5. Drupal
Drupal เป็น CMS ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถจัดการกับเว็บไซต์ที่มีปริมาณการเข้าชมสูงได้ดี และมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมาก จึงเหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่และซับซ้อน อาทิ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรขนาดใหญ่ เป็นต้น
บทสรุป
CMS คือระบบจัดการเนื้อหาที่ทำให้การสร้างและดูแลเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย รวมทั้งยังช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเว็บไซต์ได้มาก จุดเด่นของระบบ CMS คือฟีเจอร์เยอะ ระบบหลังบ้านไม่ซับซ้อน ไม่ต้องเขียนโค้ด ยืดหยุ่น และตอบโจทย์สำหรับเว็บไซต์ทุกรูปแบบ หากจะให้ ANGA แนะนำ CMS สักตัวก็ขอแนะนำเป็น WordPress เพราะมัน SEO Friendly สุด ๆ แถมยังปลอดภัยและปรับแต่งได้แบบจัดเต็มนั่นเอง (สำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทรับทำเว็บไซต์ WordPress และ SEO สามารถสอบถามกับทางแองก้าได้เลย เพราะเรามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง!)