AI Overviews เรียกสั้นๆ ว่า AIO ที่ก่อนหน้านี้เรียกว่า SGE (Search Generative Experience) ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ Google ของผู้ใช้งานไปค่อนข้างมาก จากเดิมที่ต้องคลิกเข้าหลายเว็บไซต์เพื่อค้นหาและสรุปคำตอบด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เราสามารถอ่านคำตอบที่ AI สรุปมาให้ได้ทันทีที่หน้าผลการค้นหาเลย ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Organic Traffic และกลยุทธ์การทำ SEO แบบเดิม ทีนี้คนทำ SEO อย่างเราจะต้องปรับตัวยังไงบ้าง? SEO จะตายจริงมั้ย?

คุณธีรวัชร เกียรติธีราภิวัฒน์ - SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า

“ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงหน้าการค้นหา (SERP) ครั้งใหญ่ของ Google ที่ AI สรุปคำตอบได้ดีกว่าการที่เราไปไล่คลิกอ่านเองทีละเว็บ แต่แทนที่จะมองว่าเป็นวิกฤต จากประสบการณ์การทำ SEO มาหลายปีผมมองว่านี่เป็นโอกาสครั้งใหม่สำหรับธุรกิจที่พร้อมปรับกลยุทธ์ SEO โดยมีเป้าหมายใหม่คือ การทำให้เนื้อหาของเราถูก AI เลือกไปแสดงผลบน AI Overview นั่นเองครับ”

AI Overviews คืออะไร

AI Overviews คืออะไร

AI Overviews คือ ฟีเจอร์ที่แสดงคำตอบสรุปโดย AI อยู่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา Google (SERP) มีเป้าหมายหลักคือ การให้คำตอบที่สมบูรณ์และตรงประเด็นที่สุดแก่ผู้ใช้งานทันที โดยที่ผู้ใช้แทบจะไม่ต้องคลิกเข้าไปอ่านในเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อสรุปคำตอบด้วยตัวเองเหมือนเมื่อก่อน

Google AI Overviews มีหลักการทำงานยังไง

แทนที่จะแสดงเพียงรายการลิงก์ (Blue Links) AI ของ Google จะทำการวิเคราะห์คำค้นหาที่ยาวและซับซ้อนของผู้ใช้ โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า Query fan-out เพื่อแตกคำค้นหานั้นเป็นคำค้นหาย่อยๆ (Sub-queries) แล้วไปรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ เว็บไซต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือบนฐานข้อมูลของ Google ก่อนสรุปเป็นคำตอบที่กระชับ เข้าใจง่าย พร้อมแสดงแหล่งอ้างอิงข้อมูล (Citations) ที่ชัดเจนบนกล่องขวามือที่โดดเด่นสุดๆ

ดังนั้น การแข่งขัน SEO ในยุคนี้ ไม่ได้จบแค่การชิงอันดับ 1-10 แต่คือการทำให้เนื้อหาของเรามีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากพอ จน AI เลือกไปเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบนั่นเองครับ

ตัวอย่างการแสดงผลบน AI Overview บทความของแองก้า

นอกจากจะแสดงผลเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลของ AI บนกล่องขวามือแล้ว ชื่อแบรนด์ ANGA Bangkok ยังเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่ AI สรุปด้วย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งานและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ อาจเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้าได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ

ตัวอย่างหน้าเว็บที่ติด AI Overview

AI Overviews อ้างอิงข้อมูลจากเว็บที่ติดหน้าแรก Google เท่านั้นมั้ย

ไม่ใช่ทั้งหมดครับ แม้แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่มักมาจากเว็บที่ติดหน้าแรก Google แต่ก็มีหลายครั้งที่ AI ดึงข้อมูลจากเว็บที่ไม่ได้ติดหน้าแรกมาสรุปเป็นคำตอบบน AI Overview หากพิจารณาแล้วว่ามีข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณภาพกว่าจริงๆ

บทความของแองก้าพิสูจน์แล้วว่า ไม่ติดหน้าแรก Google ก็ติดบน AI Overview ได้ และ Ahrefs ก็ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า 76.10% ของหน้าที่ถูกอ้างอิงใน AI Overview อยู่อันดับ 1-10 และกว่า 23.9% ไม่ได้ติดหน้าแรก แต่กลับติด AI Overview ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมถึงมองว่าการมาของฟีเจอร์ AI Overviews เป็นโอกาสสำหรับทุกเว็บไซต์ธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หากพร้อมปรับกลยุทธ์การทำ SEO ให้ตอบโจทย์ AI ของ Google ก็มีโอกาสติด AI Overview ได้ไม่ยากครับ

7 เทคนิคสำคัญที่ทำให้เว็บติด AI Overview

เทคนิคทำให้เว็บติด AI Overview

การทำให้เว็บติด AI Overview ไม่ยากอย่างที่คิดครับ โดยเฉพาะถ้ามีการวางรากฐาน SEO มาอย่างถูกต้องอยู่แล้ว เพราะลักษณะของเนื้อหาที่ AI ของ Google ชอบ และมักเลือกไปสรุปคำตอบมีลักษณะเด่นๆ คือ

  • มีคำตอบที่กระชับ ตรงประเด็น: AI Overview มักดึงเอาบทสรุป หรือคำตอบสั้นๆ มาแสดงผล ลองใช้เทคนิคการนำเสนอเนื้อหาที่สำคัญที่สุดก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียดทีหลัง เพื่อให้ AI หยิบเนื้อหานั้นไปใช้ได้ทันที
  • นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนใคร: นี่คือหัวใจของ E-E-A-T โดยเฉพาะ Experience เพราะ AI ออกแบบมาให้หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ซ้ำซากจำเจ หากบทความมีสถิติที่ทำขึ้นเอง, ผลสำรวจ, กรณีศึกษา (Case Study) หรือความคิดเห็นจากประสบการณ์ตรงที่หาจากเว็บอื่นไม่ได้ โอกาสที่ AI จะเลือกใช้ข้อมูลของเราก็จะสูงขึ้น
  • สรุปข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน: เช่น การใช้ Bullet Points, การจัดลำดับขั้นตอนเป็นตัวเลข หรือการสร้างตารางเปรียบเทียบ เช่น ตารางเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ซึ่งง่ายต่อการประมวลผลและนำไปสรุปบน AIO ครับ

ต่อไปนี้เป็นเทคนิคสำคัญๆ ที่ผมสรุปมาจากการปรับใช้กับบทความของเรา จนทำให้หน้าเว็บหลายๆ หน้าของทั้งแองก้าและของลูกค้าติดบน AI Overview มาแล้วครับ

1. สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงตามหลัก E-E-A-T

AI ของ Google ถูกฝึกมาให้คัดกรองและสร้างคำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือที่สุดให้ผู้ใช้งาน ดังนั้น เนื้อหาทั้งหมดต้องให้ความสำคัญกับแนวคิด E-E-A-T มากขึ้นกว่าเดิม เป็นมาตรฐานที่ Google ใช้วัดคุณภาพของเนื้อหา โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากประสบการณ์ตรง (Experience) ที่จะสร้างความแตกต่างและทำให้เนื้อหาของเราโดดเด่นกว่าคู่แข่งในยุคนี้เลยครับ

  • Experience (ประสบการณ์): เนื้อหานี้เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนหรือไม่? เช่น การรีวิวสินค้าที่ได้ใช้งานจริง หรือการสอนแก้ปัญหาจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยเจอมา
  • Expertise (ความเชี่ยวชาญ): ผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นๆ อย่างลึกซึ้งจริงหรือ? เช่น แพทย์เขียนบทความสุขภาพ หรือนักการเงินเขียนบทความการลงทุน
  • Authoritativeness (ความมีอิทธิพล): ตัวตนของผู้เขียนและเว็บไซต์นี้ เป็นที่ยอมรับในวงการหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ หรือไม่? มีเว็บไซต์อื่นอ้างอิงถึงมั้ย?
  • Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ): ข้อมูลนี้มีความโปร่งใส ถูกต้อง ปลอดภัย และเชื่อถือได้หรือไม่? สำคัญมากสำหรับหัวข้อ YMYL (Your Money or Your Life) หรือเนื้อหาที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิต สุขภาพ และการเงินของผู้ใช้งาน)

จากประสบการณ์ที่แองก้าได้ดูแลลูกค้ากลุ่มการแพทย์และการเงิน เราพบว่าการระบุตัวตนผู้เขียนที่เป็นแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจริงๆ พร้อมแสดงใบประกอบวิชาชีพ จะเพิ่มโอกาสให้ AI เชื่อใจและเลือกข้อมูลไปใช้อย่างมีนัยสำคัญเลยครับ สำหรับธุรกิจทั่วไป เช่น ธุรกิจบริการต่างๆ การแสดง E-E-A-T อาจใส่รูปทีมงานจริง, แสดงรีวิวจากลูกค้าจริง (Testimonials), หรือการมีหน้าที่เล่าถึงประสบการณ์ที่สั่งสมมา หรือผลงานความสำเร็จเอาไว้อย่างชัดเจนก็ได้ครับ

ตัวอย่าง หน้าผลงานความสำเร็จหรือผลลัพธ์การทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ที่อธิบายรายละเอียดการทำงานร่วมกันจนประสบความสำเร็จให้กับลูกค้าหลากหลายกลุ่มธุรกิจ

ตัวอย่างหน้าผลงานความสำเร็จ

2. ตอบคำถามให้ตรงจุดและครอบคลุม

สิ่งสำคัญต่อมาคือ ต้องเข้าใจเจตนาการค้นหาที่แท้จริงของผู้ใช้งานหรือ Search Intent เป็นความต้องการที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำค้นหานั้นๆ ซึ่งปัจจุบัน AI ของ Google ฉลาดพอที่จะวิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานคนนี้กำลังมองหาอะไรกันแน่ หน้าที่ของเราคือ สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ Search Intent นั้นให้มากที่สุด

ตัวอย่างที่ 1: Informational Intent (ต้องการข้อมูล/How-to)

  • คำค้นหา: วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง
  • เจตนาของผู้ใช้งาน: พวกเขาไม่ได้ต้องการจ้างใคร แต่กำลังมองหาบทความ "How-to" ที่บอกขั้นตอนอย่างละเอียด (Step-by-step) ตั้งแต่ต้นจนจบ

ตัวอย่างที่ 2: Local Intent และ Commercial Intent (ต้องการบริการในพื้นที่)

  • คำค้นหา: บริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพ
  • เจตนาของผู้ใช้งาน: พวกเขาไม่ได้อยากรู้วิธีทำเอง แต่กำลังมองหาผู้ให้บริการเพื่อจ้างทำ SEO เนื้อหาที่ตอบโจทย์คือต้องมีข้อมูล Local Business ชัดเจน เช่น ชื่อบริษัท, ลิงก์เว็บไซต์ และช่องทางการติดต่อ

เทคนิคสำคัญคือ การสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามได้ครบทุกประเด็นในหน้าเดียว เมื่อ AI ประมวลผลแล้วพบว่าหน้าเว็บของเราเป็นแหล่งข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับคำถามนั้น (ตอบได้ทั้งคำถามหลักและคำถามอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง) โอกาสที่เนื้อหาของเราจะถูกดึงไปเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบบน AI Overview ก็จะสูงขึ้นด้วยครับ

3. เน้นใช้คำค้นหาเชิงคำถามและบทสนทนา

AI Overviews ถูกออกแบบมาเพื่อตอบคำถามโดยตรง ไม่ใช่แค่แสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับคีย์เวิร์ดเหมือนเมื่อก่อน และพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป พวกเขาค้นหาด้วยภาษาพูดที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น แทนที่จะพิมพ์ "ทำ SEO" สั้นๆ พวกเขาอาจถามว่า "ต้องทำ SEO ยังไงให้ติด AI Overview" ดังนั้น นอกจากการใช้คีย์เวิร์ดหลักในบทความแล้ว ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ Long-tail Keywords หรือคีย์เวิร์ดที่มีความยาวและเจาะจงมากขึ้น โดยวิเคราะห์จาก

  • ใช้หลัก 5W1H: นำคีย์เวิร์ดหลัก (Focus Keyword) ของคุณมาทำเป็นประโยคคำถามด้วย 5W1H (Who, What, Where, When, Why และ How) เช่น
    • คีย์เวิร์ดหลัก: "การทำ SEO"
    • What: การทำ SEO คืออะไร?
    • How: วิธีการทำ SEO เริ่มต้นจากอะไร?
    • Why: ทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญกับเว็บไซต์ธุรกิจ?
  • People Also Ask: ส่วนคำถามที่พบบ่อยในหน้าผลการค้นหาของ Google มักจะเป็นประโยคคำถาม หรือประโยคที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก สามารถนำไปปรับใช้ในบทความได้เลย เช่น ทำเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย หรือนำไปเป็นส่วนหนึ่งของคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ก็ได้ครับ

4. จัดโครงสร้างให้คนอ่านง่ายและ AI ชอบ

เราสังเกตว่า AI ชอบข้อมูลที่มีการจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ เพราะมันสามารถสแกนและดึงข้อมูลไปใช้สร้างคำตอบได้ง่ายกว่าการอ่านข้อความยาวๆ ที่ติดกันเป็นพรืด การจัดรูปแบบเนื้อหาจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมากครับ

  • ใช้ Bullet Points หรือ Numbered Lists: AI มักดึงลิสต์เหล่านี้ไปแสดงผลโดยตรงในคำตอบ
    • Bullet Points: ใช้อธิบายเนื้อหาที่แยกเป็นข้อๆ ได้ เช่น คุณสมบัติ, ข้อดี-ข้อเสีย, หรือรายการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ
    • Numbered Lists (ตัวเลข): ใช้อธิบายขั้นตอน (Step-by-step) หรือการจัดอันดับที่ต้องทำตามลำดับ
  • ใช้ H2, H3… แบ่งหัวข้อตามลำดับความสำคัญ: การใช้ Heading Tags (H1, H2, H3…) อย่างถูกต้อง ไม่ใช่แค่ช่วยให้คนอ่านง่าย แต่ยังทำให้ AI เข้าใจโครงสร้างและความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งหน้าได้ง่ายขึ้นว่าอะไรคือหัวข้อหลัก อะไรคือหัวข้อย่อย และ AI มักดึงข้อความจาก H2 หรือ H3 ของเราไปสร้างเป็น Topics ในคำตอบบน AIO เลย
  • ใช้ตารางอธิบายเนื้อหา: ตารางคือเครื่องมือที่เหมาะสุดๆ ในการนำเสนอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น เปรียบเทียบสเปคสินค้า ราคาแพ็คเกจ คุณสมบัติ หรือข้อดีข้อเสีย ซึ่ง AI ชอบดึงข้อมูลจากตารางไปแสดงผลมาก เพราะข้อมูลถูกจัดระเบียบเอาไว้ชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการประมวลผลและสรุปความแตกต่างได้ทันที
  • ใช้ย่อหน้าสั้นๆ: พยายามให้แต่ละย่อหน้า (Paragraph) มีใจความสำคัญเพียงเรื่องเดียว และมีความยาวไม่เกิน 4-5 บรรทัด วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้อ่านบนมือถือ (Mobile users) สบายตาและอ่านง่าย แต่ยังช่วยให้ AI สามารถแยกใจความสำคัญของแต่ละส่วนได้ง่ายขึ้น

5. ติด Schema Markup ให้ AI เข้าใจเนื้อหา

นอกจากการจัดโครงสร้างเนื้อหาให้คนอ่านง่ายแล้ว เราต้องช่วยให้ AI เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บได้ง่ายและถูกต้องด้วย ผ่านการติดตั้ง Schema Markup เป็นชุดโค้ด JSON ที่เพิ่มเข้าไปใน HTML ของเว็บไซต์ เพื่อบอกให้ AI เข้าใจว่าข้อมูลแต่ละส่วนคืออะไร มีความสัมพันธ์กันยังไง ช่วยลดภาระให้ AI ในการตีความเนื้อหาที่ซับซ้อนบนหน้าเว็บทั้งหมด ตัวอย่าง Schema ที่ใช้บ่อย เช่น

  • FAQ Schema: ใช้ระบุว่าเนื้อหาส่วนนี้คือ ชุดคำถามและคำตอบที่เกี่ยวข้องกัน Schema นี้เป็นการป้อนข้อมูล Q&A ของเราให้ AI ในรูปแบบที่มันเข้าใจได้ทันที
  • How-to Schema: ใช้ระบุว่าเนื้อหานี้เป็นคู่มือหรือวิธีการที่มีขั้นตอนชัดเจน AI มักสรุปคำตอบที่เป็นกระบวนการแบบทีละขั้นตอน Schema นี้ช่วยให้ AI ดึงขั้นตอนเหล่านั้นไปแสดงผลได้ถูกต้อง
  • Article Schema: ใช้บอกรายละเอียดสำคัญของบทความ เช่น ชื่อผู้เขียน, วันที่เผยแพร่, และวันที่อัปเดตล่าสุด ช่วยยืนยันว่าบทความนี้สดใหม่และเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • Product Schema: ใช้ระบุรายละเอียดสำคัญของสินค้า เช่น ราคาหรือคะแนนรีวิว ช่วยให้ AI ดึงข้อมูลไปใช้สรุปเปรียบเทียบสินค้า หรือแสดงผลราคาและรีวิวในคำตอบได้ทันที
  • Local Business Schema: ใช้ระบุข้อมูลสำคัญของธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือให้บริการในพื้นที่ต่างๆ เช่น ชื่อบริษัท, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, และเวลาเปิด-ปิดทำการ เพราะเวลาผู้ใช้ค้นหาสถานที่ใกล้ฉัน หรือระบุพื้นที่ลงไปอย่างชัดเจน AI จะดึงข้อมูลที่ยืนยันแล้วนี้ไปแสดงผลในคำตอบได้ทันที

โดยผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถตรวจสอบการติดตั้ง Schema Markup ได้ผ่านเครื่องมือของ Google ที่ชื่อว่า Rich Results Test โดยตรง ว่าชุดโค้ดดังกล่าวถูกต้องตามที่ต้องการหรือเปล่า

6. อัปเดตเนื้อหาของบทความอยู่เสมอ

การอัปเดตข้อมูลเป็นการพิสูจน์ว่าคุณยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยังตามข่าวสารในอุตสาหกรรมนั้นอยู่ อย่าลืมว่า AI ต้องการสร้างคำตอบที่ถูกต้อง แม่นยำ และทันสมัยที่สุด การกลับไปตรวจสอบและอัปเดตบทความเก่าๆ อยู่เสมอ จึงเป็นการส่งสัญญาณบอก AI ว่าเว็บไซต์ของคุณยังคง Active และเป็นแหล่งข้อมูลที่พึ่งพาได้ โดยเฉพาะคำค้นหาที่คำตอบเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา เช่น อัตราดอกเบี้ยบ้าน, iPhone รุ่นไหนดี, เทรนด์การตลาด 2025

การกลับไปอัปเดตบทความเก่า ไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวเลขปีเป็นปีล่าสุดเท่านั้น แต่เป็นการปรับโครงสร้างเนื้อหาเก่าให้ถูกใจทั้งผู้ใช้งานและ AI มากขึ้น เช่น

  • เพิ่มหัวข้อใหม่เพื่อตอบข้อสงสัยหรือสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของเรากำลังมีปัญหาในช่วงเวลานั้นๆ หรือหัวข้ออื่นๆ ที่น่าสนใจที่เพิ่งเกิดขึ้น
  • เมื่อเวลาผ่านไป Search Intent ของคีย์เวิร์ดเดิมอาจเปลี่ยนไปได้ การปรับเนื้อหาให้ตอบโจทย์ Intent ปัจจุบัน ช่วยเพิ่มโอกาสติด AIO ได้มากขึ้นครับ
  • บทความเก่าอาจมีการอ้างอิงสถิติหรือลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูล (External Link) ที่เก่า หรืออาจจะกลายเป็น Broken Link ไปแล้ว การกลับไปอัปเดตสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่น เปลี่ยนลิงก์อ้างอิงสถิติเก่าให้เป็นสถิติปีล่าสุด, ลบลิงก์ที่เสียหรือลิงก์ไปยังเว็บที่คุณภาพต่ำออก และเพิ่ม Internal Links ไปยังบทความใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง

7. สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้งาน

สุดท้ายแล้ว Google ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นอันดับหนึ่ง แม้เนื้อหาของเราจะดีมากๆ แต่หากเว็บไซต์โหลดช้า หรือ Core Web Vitals ไม่ดี ใช้งานบนมือถือยาก หรือมี Pop-up เด้งมารบกวนเต็มไปหมด ผู้ใช้ก็จะกดปิดทิ้งอย่างรวดเร็ว สัญญาณเชิงลบเหล่านี้จะทำให้ AI ลดความน่าเชื่อถือของเว็บลงไปด้วย เพราะมันก็จะไม่เสี่ยงอ้างอิงเว็บไซต์ที่สร้างประสบการณ์ไม่ดี ซึ่งอาจจะทำลายความน่าเชื่อถือของตัว AI เอง ดังนั้น การดูแลให้เว็บมี UX ที่ดี จึงเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่จำเป็นในการสร้างความไว้วางใจ เพื่อให้ AI เลือกเว็บของคุณไปแสดงผลใน AI Overviews ได้เช่นกันครับ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ AI Overviews

การมาของ AI Overviews จะทำให้ SEO ตายมั้ย?

SEO ไม่ตายอย่างแน่นอนครับ เพราะ AI ของ Google ยังคงต้องดึงข้อมูลจากเว็บต่างๆ มาสรุปเป็นคำตอบบน AIO ดังนั้นพื้นฐาน SEO ที่แข็งแกร่ง เช่น คุณภาพเนื้อหา, โครงสร้างเว็บไซต์ และ UX ที่ดี จึงสำคัญยิ่งกว่าเดิม เพราะเป้าหมายของ SEO จะเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่การติดอันดับ 1-10 แต่คือการทำให้เว็บของเราถูก AI เลือกเป็นแหล่งอ้างอิง (Citation) ในกล่องคำตอบนั่นเองครับ

ถ้า AI สรุปคำตอบให้หมดแล้ว คนจะยังเข้าเว็บเราอยู่มั้ย?

คนจะยังเข้าเว็บเราอยู่ครับ โดยเฉพาะการคลิกจากแหล่งอ้างอิง (Citations) ที่ AI แปะไว้ให้ ซึ่งผู้ใช้กลุ่มนี้มักต้องการข้อมูลเชิงลึก, ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ หรืออ่านจากต้นฉบับ นอกจากนี้ สำหรับหัวข้อที่ซับซ้อนมากๆ หรือบทความ How-to ที่ต้องการรายละเอียด คนยังคงเลือกคลิกอ่านบทความเต็มมากกว่าครับ ส่งผลให้ Traffic ที่เข้ามามีคุณภาพสูงขึ้นด้วย

เราจะวัดผลความสำเร็จจากการติด AI Overviews ได้ยังไง?

การวัดผลความสำเร็จจะต่างจากการวัดผล SEO แบบเดิม ซึ่งบริการรับทำ AI Search ของแองก้าก็วัดผลแบบนี้ด้วยคือ เน้นวัดผลที่ AI Visibility เป็นหลัก คือ AI พูดถึงชื่อแบรนด์ (Brand Mention) หรือนำลิงก์เว็บเราไปอ้างอิง (Link Mention) บ่อยแค่ไหน และวัดอันดับเราเทียบกับคู่แข่งผ่านสายตา AI (Industry Ranking)

นอกจากนี้ ยังต้องวิเคราะห์หาจุดร่วมระหว่างหน้าที่ติด SEO กับหน้าที่ AI เลือกใช้ (AI-SEO Overlap) และที่สำคัญที่สุด คือการวัดผลลัพธ์ทางธุรกิจ (LLM Traffic & Conversions) ว่า Traffic ที่มาจาก AI นั้น เปลี่ยนเป็นยอดขายหรือ Conversion ได้จริงหรือไม่

ทุกธุรกิจจำเป็นต้องทำให้เว็บไซต์ติด AI Overview มั้ย?

ค่อนข้างจำเป็น หากธุรกิจของเราต้องพึ่งพา Organic Traffic เพื่อสร้าง Brand Awareness หรือให้ข้อมูลสินค้า/บริการ เพราะ AI Overview กลายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้จะเห็นได้ทันทีเมื่อเสิร์ชหาข้อมูล หากคู่แข่งถูก AI เลือกไปอ้างอิงแต่ธุรกิจเราไม่อยู่ตรงนั้น อาจทำให้สูญเสีย Traffic หรือความน่าเชื่อถือได้ ต้องยอมรับว่ายุคนี้ การที่ AI เลือกเว็บใดเว็บหนึ่งไปสรุปเป็นคำตอบ ถือเป็นการยืนยันความเชี่ยวชาญที่ดีที่สุดและช่วยสร้างภาพจำแบรนด์ได้ทันทีครับ

คอนเทนต์แบบวิดีโอหรือรูปภาพ มีโอกาสติด AI Overview มั้ย?

มีโอกาสสูงมากครับ AI Overviews ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ข้อความ มันถูกออกแบบมาให้เลือกรูปแบบสื่อที่ดีที่สุดในการตอบคำถามนั้นๆ AIO จึงสามารถดึงวิดีโอจาก YouTube ไปแสดงผลโดยตรงได้  โดยเฉพาะคำค้นหาที่เป็น How-to หรือการรีวิวที่ต้องการเห็นภาพจริง

นอกจากนี้ AIO ยังดึงรูปภาพที่ชัดเจนไปใช้เป็นภาพประกอบหลักในคำตอบหรือแสดงในแหล่งอ้างอิง เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจง่ายขึ้น ดังนั้น การทำ Video SEO และ Image SEO จึงสำคัญไม่แพ้กันครับ

ทำไมการติด AI Overviews ถึงสำคัญกับธุรกิจมากกว่าที่คิด

และนี่คือความท้าทายใหม่ที่เรียกว่า Zero-Click Search เมื่อผู้ใช้ได้คำตอบที่สมบูรณ์จาก AI พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์อีกต่อไป หากธุรกิจไม่ปรับตัวเพื่อให้เว็บของเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่นี้ได้ Traffic ที่เคยได้ก็อาจลดลงอย่างน่าใจหาย ในทางกลับกัน ธุรกิจที่ปรับกลยุทธ์และสามารถยึดครองพื้นที่บน AIO ได้ก่อน จะสร้างความได้เปรียบกว่าคู่แข่งที่ยังคงยึดติดกับการทำ SEO แบบเดิมที่เป้าหมายคือการติดหน้าแรก Google เท่านั้น เพราะในยุคนี้การติดหน้าแรก Google อาจไม่พออีกต่อไปครับ 

AI Overviews จึงไม่ใช่แค่พื้นที่สร้างคำตอบ แต่คือพื้นที่สร้าง Conversion ใหม่ที่ดึงดูด Traffic คุณภาพสูงที่คลิกจากแหล่งอ้างอิงเพราะต้องการข้อมูลเชิงลึกจากเราจริงๆ และมีโอกาสที่พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้าได้ในอนาคตครับ