Onsite – Onpage คืออะไร? จำเป็นแค่ไหนกับการทำ SEO
หัวใจของการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าค้นหา คือการทำ On-site และ Off-site วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ On-site เพื่อสร้าง Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์ของเราก่อนเพราะ On-site เป็นสิ่งที่เราทำได้จากหน้าเว็บไซต์ของเราเอง สำหรับคนที่ยังไม่ทราบว่า SEO มีความหมายว่าอะไร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ SEO คืออะไร?
On-site หรือ On-page SEO คืออะไร
On-site หรือ On-page SEO คือ ขั้นตอนสำคัญของการทำ SEO โดยการที่เราปรับแต่งส่วนต่างๆ ของคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ของเรา โดยการใส่ Keyword SEO เพื่อให้สอดคล้องกับอัลกอริทึม (Algorithm) ของ Search Engine เวลาที่กลุ่มเป้าหมายทำการค้นหาด้วย Keyword ก็จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น
หลักการทำ On-site คืออะไร
การปรับแต่งคอนเทนต์หน้าเว็บไซต์ ไม่ใช่การสักแต่จะยัด Keyword ที่ต้องการลงไปในบทความอย่างเดียวแต่ยังมีส่วนอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญไม่ควรมองข้าม 6 ข้อดังนี้
1. Meta Title
Meta Title คือ ชื่อหรือข้อมูลที่แสดงอยู่บนแท็บด้านบนสุดของเบราว์เซอร์ (Title Bar) และเป็น Headline ที่แสดงเวลาที่เราค้นหาบน Search engines ต่างๆ ซึ่งเราจะต้องใส่ Keyword SEO ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาลงไปด้วย หากไม่มีการใส่ Meta Title สำหรับเว็บไซต์ Google จะสร้างให้อัตโนมัติ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจคลิกเปิดหน้าเว็บเพจและการจัดอันดับ Ranking Website
2. Meta Description
Meta Description คือ คำอธิบายเนื้อหาเว็บไซต์เป็นส่วนขยายความจาก Meta Title คอยทำหน้าที่อธิบายภาพรวมของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งจะแสดงขึ้นเมื่อผู้ใช้งานค้นหาบน Search engines Meta Description จะปรากฏอยู่ในบรรทัดที่สองใต้ Headline และ URL เว็บไซต์ ในหน้า SERP (Search Engine Result Page) Meta Description ช่วยให้ผู้ค้นหาเข้าใจถึงเนื้อหาภายในเว็บเพจและดึงดูดให้ตัดสินใจคลิกเข้าไปยังหน้าเว็บเพจของเรา ซึ่งควรใส่ Keyword SEO ลงในช่วงต้นของเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะตัดสินใจคลิกเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์ของเรา
3. Content
ในส่วนของเนื้อหา นอกจากที่เราจะใส่ Keyword หลักแล้ว ควรใส่ Keyword รองเพิ่มเติมลงในเนื้อหาด้วย เพราะหากเราใส่ Keyword มากเกินไป Google เข้าใจว่าเรากำลังผิดกฎหรือกำลังสแปม ดังนั้นเราจึงควรใช้ Keyword รองที่มีความหมายเดียวกันกับ Keyword หลัก มาเป็นตัวช่วย ยกตัวอย่างเช่น Keyword หลักคือคำว่า ยาสระผม Keyword รองอาจจะเป็น แชมพู, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผม, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เป็นต้น
4. ทำ Image SEO ด้วย Alt Tag
Alt Tag คือ คำอธิบายรูปภาพบนเว็บไซต์ ซึ่งไม่ใช่ชื่อไฟล์ของรูปภาพ การใส่ Alt Tag เป็นการบอกให้ Google รู้ว่ารูปภาพของเราเป็นภาพอะไร หรือเกี่ยวข้องกับอะไร เป็นการทำ Image SEO เพื่อที่ Google จะได้ Index ข้อมูลได้ถูกต้อง ซึ่งบางครั้งเราสามารถใส่ Keyword SEO ลงใน Alt Tag แต่ต้องระมัดระวังเพราะการใส่ Keyword SEO ที่ไม่ตรงเกี่ยวข้องกับรูปภาพอาจทำให้เกิดความสับสนทำให้รูปภาพของเราไม่อยู่ในการค้นหาที่ไม่ตรง Keyword
5. H1 หัวข้อสำคัญ
H1 ย่อมาจาก Heading1 หมายถึงหัวข้อสำคัญลำดับที่ 1 ทำหน้าที่แสดงชื่อเรื่อง, หัวข้อเรื่องหลัก, ใน HTML code ของหน้าเว็บไซต์ การใส่ Keyword SEO ลงใน H1 จะช่วยเพิ่มความสำคัญให้กับ Keyword มากขึ้น เวลาที่ Google เข้ามา Index ข้อมูลก็จะมีความชัดเจนกว่าเดิม โดยหนึ่งหน้าเว็บเพจควรมี H1 แค่ 1 อัน หากเราจะไม่ใส่ H1 ก็ทำได้ แต่อาจจะทำให้ Google เกิดความสับสน จนส่งผลกระทบระยะยาวในการทำ SEO
6. Technical Audit – ตรวจสุขภาพเว็บไซต์กันสักหน่อย
เว็บไซต์เองก็ต้องมีการตรวจสุขภาพ หรือ Technical Audit คือ การตรวจสุขภาพเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญ ว่าเว็บไซต์ของเรามีจุดไหนที่เป็นจุดบอดทำให้ Google ไม่เข้ามาอ่านเว็บไซต์เรา จนส่งผลต่อการติดอันดับ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่นักการตลาด SEO จะตรวจสอบให้ได้แก่ Sitemap, Robots.txt, Site Structure, ไฟล์บนเว็บไซต์ที่ส่งผลเรื่องความเร็วในการโหลด (Pagespeed) , Canonical, Redirects เป็นต้น ซึ่ง Technical Audit จะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาและสามารถแก้ไขหน้าเว็บไซต์ของเราได้ก่อนจะส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO ในระยะยาว
สรุปแล้วการทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือ มีเนื้อหาและบทความที่คุณภาพ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายส่วนบนหน้าเว็บไซต์ที่เราสามารถปรับแต่งใส่ Keyword หรือการคำนึงถึง Pagespeed และ Mobile Friendly ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับหน้าแรกของ Google ได้ง่ายขึ้น
นอกจากการทำ On-site หรือ On-page SEO แล้วยังมีอีกขั้นตอน Off-page SEO ที่มีความสำคัญเช่นกัน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Off Page SEO คือ