9 สิ่งที่ควรทำ เมื่อ SEO ปัง แต่ยอดขายดันแป้ก
เป้าหมายของการทำ SEO ที่แท้จริง ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google เท่านั้น ยังรวมถึงการนำมาซึ่ง Lead และยอดขาย ให้แก่ธุรกิจด้วย ซึ่งเราพบว่ามีธุรกิจไม่น้อยเลยที่ทำ SEO ไปแล้ว เว็บไซต์ติดอันดับดีมาก แต่ปัญหาก็คือ Traffic ที่เข้ามาไม่ได้ทำให้ Lead เพิ่มขึ้น หรือเกิดยอดขายสูงจนทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไปกว่าเดิมเลย
สถานการณ์แบบนี้ปล่อยไว้ให้ยืดเยื้อต่อไปคงไม่ดีแน่ ดังนั้น มาทำความเข้าใจและเริ่มลงมือเปลี่ยน Traffic ให้กลายเป็นยอดขายและ Quality Lead ไปพร้อม ๆ กับแองก้าด้วย 9 กลยุทธ์ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนในบทความนี้กันได้เลย!
1. ปรับปรุง User Experience
User Experience (UX) หรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์เป็นอีกส่วนหนึ่งที่หลาย ๆ คนอาจละเลยไป สิ่งนี้มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ เลย เพราะการที่ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีบนเว็บไซต์ของเรา จะทำให้พวกเขาใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น มีการกดคลิกเข้าไปดูหน้าต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง (ลด Bounce Rate) พึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับบนเว็บไซต์ มีแนวโน้มในการสั่งซื้อสินค้าสูงขึ้น (ยอดขายโตขึ้น) และทุกอย่างที่กล่าวมาก็ล้วนส่งผลที่ดีต่ออันดับ SEO ทั้งสิ้น โดยคุณสามารถปรับปรุง UX ตามคำแนะนำต่อไปนี้ได้เลย
- เพิ่มพื้นที่ว่างบนหน้าเว็บไซต์ (White Space)
- ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed)
- เพิ่มปุ่ม Call to Action (CTA) และทำให้มันโดดเด่นขึ้น
- ปรับเว็บไซต์ให้สามารถแสดงผลบนทุกอุปกรณ์ได้ (Responsive Design)
- ปรับ Layout ของหน้าต่าง ๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
- แก้ปัญหาลิงก์เสียหรือ 404 Not Found
2. ปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับการปิดการขาย
เมื่อ SEO ช่วยดึง Lead หรือผู้ใช้งานให้เข้ามาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณแล้ว ก็ถึงเวลาเปลี่ยนพวกเขาเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้าของคุณอย่างสมบูรณ์แล้ว และนี่คือ 3 สิ่งที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเหมาะกับการปิดการขายเป็นที่สุด!
1. Blog
Blog หรือหน้าบทความต่าง ๆ เป็นหน้าที่ดึงดูดผู้เข้าชมได้ดีที่สุด เพราะเป็นหน้าที่เราเขียนบทความ SEO และสอดแทรกคีย์เวิร์ด (Keyword) ลงไป นอกจากการเขียนเนื้อหาอย่างมีคุณภาพแล้ว อย่าลืมเพิ่มปุ่ม Call to Action เข้าไปในบทความด้วย เช่น ปรึกษาฟรี!, จองโปรโมชัน, เช็กดีลเด็ดก่อนใคร ฯลฯ รวมถึงการเพิ่มแบนเนอร์สินค้า/บริการเข้าไป เพื่อให้ผู้ใช้งานที่สนใจในสินค้า/บริการของเราสามารถไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสามารถสั่งซื้อได้เลย
2. Landing Page
Landing Page เป็นหน้าเว็บที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง อาทิ ทำ Lead Generation, กระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าหรือเพิ่ม Conversion, โปรโมตสินค้าหรือบริการใหม่, เพิ่มยอดผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม หรืออื่น ๆ ต้องบอกว่าหน้า Landing Page เป็นหน้าหลักที่ใช้ในการปิดการขายเลยก็ว่าได้
หากพบว่าหน้า Landing Page ของคุณไม่สามารถปิดการขายได้ตามที่คาดหวังเอาไว้ให้ทำ A/B Testing เพื่อทดสอบว่าหน้า Landing Page แบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน แนะนำให้ปรับแต่งในส่วนของ Layout การจัดวางเนื้อหา, ปุ่ม CTA, ข้อความหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอยาก Action ออกไป
3. Content
Content (เนื้อหา) ที่อยู่บนหน้าสินค้า หน้าบริการ หรือหน้า Landing Page ควรถูกปรับปรุงให้ชัดเจน กระชับ และเข้าใจได้ทันที พร้อมกับมีประโยคที่ดึงดูดใจจนอยากจับจองซื้อสินค้าในทันที แนะนำให้คุณดึง Copywriter เข้ามาร่วมงานในโปรเจกต์นี้ด้วย จากนั้นให้ทำ A/B Testing และปรับแต่งไปจนกว่าจะมี Conversion Rate สูงขึ้น
3. แก้ไขหน้าที่มีเนื้อหาและคีย์เวิร์ดไม่ตรงกัน
สำหรับเว็บไซต์ที่มีการเขียนบทความให้ความรู้ต่าง ๆ หรือบทความที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ชมอยู่ แต่คีย์เวิร์ดที่ดึง Traffic เข้ามากลับไม่สอดคล้องกับเนื้อหาในหน้านั้นเลย แนะนำให้คุณปรับตามนี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิด Engagement และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า
- เพิ่มปุ่ม Call to Action ไว้ด้านบนของเว็บไซต์ (อ่านต่อที่นี่, จองด่วน ก่อนหมดโปรฯ, ซื้อเลย คุ้มชัวร์, ลงทะเบียนได้ที่นี่, ทดลองใช้ฟรี, สั่งซื้อ คลิก! ฯลฯ)
- เพิ่มวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหน้านั้น หรือวิดีโอที่เกี่ยวกับสินค้า/บริการ ไว้ในส่วนบนของเนื้อหา เพื่อดึงดูดให้พวกเขาคลิกชมวิดีโอและโดนโน้มน้าวใจแบบไม่รู้ตัว
- ปรับปรุงเนื้อหาและคีย์เวิร์ด เช่น กำหนดคีย์เวิร์ดให้ชัดเจน, เขียนเนื้อหาให้ตรงกับคีย์เวิร์ด, ปรับปรุง Meta Tag ให้มีคีย์เวิร์ดที่ต้องการประกอบ หรือปรับโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบมากขึ้น เป็นต้น
4.ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา
บางบริษัทอาจจะมีการทำเว็บไซต์มานานมากแล้ว จนทำให้มีบทความเป็นร้อย ๆ ชิ้นอยู่บนหน้าเว็บไซต์ เก่าบ้างใหม่บ้างปะปนกันไป คุณควรเข้าไปตรวจสอบเนื้อหาของบทความเก่า ๆ ด้วยว่าเป็นบทความที่มีคุณภาพ มีเนื้อหาครอบคลุมในเรื่องนั้น ๆ แล้วหรือยัง รวมทั้งอัปเดตข้อมูลให้มีความสดใหม่ด้วย เพราะผู้ค้นหาทั้งหลายรวมถึงตัว Google เอง ชื่นชอบเนื้อหาที่มีการอัปเดตอยู่เสมอ ยิ่งเนื้อหาสดใหม่ มีคุณภาพ และเข้ากับยุคสมัยมากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลให้คะแนนเว็บไซต์และอันดับ SEO ของคุณดียิ่งขึ้นเท่านั้น
เริ่มจากตรวจเช็กทุกบทความและแยกออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เช่น บทความที่มีเนื้อหาดีอยู่แล้ว, บทความที่ควรเพิ่มเนื้อหา และบทความที่ตัดออกไปได้ เพราะมีหน้าที่ดีกว่ามาแทนที่แล้ว จากนั้นสามารถดำเนินการปรับปรุงเนื้อหาตามนี้ได้เลย
- บทความที่มีเนื้อหาดีอยู่แล้ว : ถ้าอันดับดีก็ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไร แต่ถ้าอันดับยังไม่ดีให้ลองอัปเดตปี ( เช่น เปลี่ยนจาก 2023 ไป 2024) หรือเช็กเว็บไซต์ของคู่แข่งว่าเรายังขาดอะไรบ้าง และเพิ่มเติมในส่วนนั้นลงไป
- บทความที่ควรปรับปรุง : เพิ่มเนื้อหาให้ดีและครอบคลุมในเรื่องนั้น ๆ มากกว่าเดิม และอย่าลืมเขียนเนื้อหาให้ตรงตามเกณฑ์ E-E-A-T Factor ที่ Google ออกมาแนะนำด้วย
- บทความที่ตัดออกไปได้ : ลบออกไป หรือทำ Redirect ไปยังหน้าใหม่ที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว่า
5. วิเคราะห์และใช้ข้อมูลเพื่อเพิ่มยอดขาย
นำข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์หาสาเหตุว่าทำไมยอดขายถึงไม่ดีขึ้นเลย? เช่น ขั้นตอนการซื้อสินค้ายุ่งยาก, เว็บไซต์ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ, สินค้าราคาสูงเกินไป, หน้าเว็บไซต์ดูไม่น่าสนใจ, มี Traffic เข้ามาน้อย, เว็บไซต์ใช้งานยาก ฯลฯ โดยการใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics และอื่น ๆ เข้ามาช่วย
ตัวอย่างรูปแบบของข้อมูลที่ถูกนำมาใช้งาน
- Analytics : แหล่งที่มาของข้อมูล, อัตราการเข้าชมเว็บไซต์, พฤติกรรมผู้ใช้งาน
- Server logs : กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Server ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ เช่น Error 404
- Heatmaps : กิจกรรมบนหน้าเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้งาน เช่น การคลิก หรือการเลื่อนเมาส์ เป็นต้น
6. เพิ่มสิ่งที่สามารถการันตีความน่าเชื่อถือได้
ความน่าเชื่อถือคือสิ่งที่สำคัญมากในการดำเนินธุรกิจ นอกจากการบอกต่อของผู้ใช้บริการจริง และการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ผ่าน Social Media แล้ว คุณควรมีสิ่งยืนยันเพื่อการันตีว่าคุณคือผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ อย่างแท้จริงประกอบด้วย เพื่อทำให้ความน่าเชื่อถือของคุณนำหน้าคู่แข่งไปอีกก้าวและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากขึ้น เช่น
- เพิ่มใบประกอบวิชาชีพ
- เพิ่มโลโก้หรือองค์กรที่คุณเป็นพาร์ทเนอร์ด้วย
- แสดงเอกสารหรือใบอนุญาตต่าง ๆ
- โชว์ผลงานและรางวัลที่คุณได้รับ (ตัวอย่าง : รางวัลที่แองก้าได้รับ)
- แนบลิงก์บทความหรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
- บอกรายละเอียดของสินค้าและบริการอย่างชัดเจน ไม่หมกเม็ด
7. โฟกัสไปที่การทำ Local SEO
Local SEO คือการทำให้เว็บไซต์และธุรกิจของคุณไปปรากฏอยู่ในผลการค้นหาตามพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหนทางในการทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตในพื้นที่ที่ร้านของคุณตั้งอยู่ เพราะจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาคุณเจอได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ Lead และ Conversion Rate สูงขึ้นตามไปด้วย
วิธีทำ Local SEO ฉบับเริ่มต้น
- เพิ่มคีย์เวิร์ดระบุเจาะจงเฉพาะพื้นที่ลงไปบนเว็บไซต์ หรือเขียนเป็นบทความขึ้นมา (ชื่อสินค้า/บริการ + พื้นที่) เช่น รับทำ SEO กรุงเทพฯ, ร้านอาหารเกาหลี ทองหล่อ, ร้านนวด สีลม หรือคลินิกกดสิว บางแค เป็นต้น
- ปรับแต่งและใส่ข้อมูลใน Google My Business พร้อมปักหมุด Google Maps
- ใส่ข้อมูลธุรกิจ (ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล) ให้ตรงกันบนทุกช่องทาง
- ลงทะเบียนและสร้างตัวตนบน Web Directory ต่าง ๆ เช่น Wongnai ที่รวบรวมพิกัดร้านอาหารเอาไว้มากมาย เป็นต้น
8. ทำ A/B Testing สร้างโอกาสเพิ่ม Conversion
ทำ A/B Testing หรือทดสอบหน้าเว็บไซต์ 2 รูปแบบ เพื่อดูว่าหน้าไหนมีการดึงดูดให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากที่สุด เช่น เปลี่ยนสีปุ่ม CTA จากสีแดงเป็นสีเขียว, เปลี่ยนข้อความใน CTA ให้กระแทกใจมากขึ้น, เปลี่ยนการจัดวางเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ ฯลฯ สำหรับการปรับปรุงในส่วนนี้ให้ทำงานร่วมกับ SEO Specialist เพื่อให้ SEO Specialist ช่วยวิเคราะห์หน้าเว็บไซต์ แนะนำการแก้ไขและวัดผลลัพธ์ต่อไป
9. สร้างความไว้วางใจด้วย Social Proof
จากการวิจัยของ Bazaarvoice พบว่า 87% ของการตัดสินใจซื้อเริ่มต้นมาจากการหาข้อมูลผ่านทางออนไลน์ และกว่า 88% ล้วนเชื่อถือรีวิวบนโลกออนไลน์มากพอ ๆ กับคำแนะนำจากคนใกล้ชิดในโลกออฟไลน์ ดังนั้น Social Proof หรือบทพิสูจน์ทางสังคม จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งทางที่ช่วยสร้างความไว้วางใจและเพิ่มแนวโน้มในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นสร้าง Social Proof ได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้
- ขอรีวิวจากลูกค้าจริงที่ซื้อสินค้าไปหรือเคยเข้ามาใช้บริการ
- นำรีวิวจากลูกค้าที่ได้รับ (ในทางที่ดี) มาโชว์บนเว็บไซต์
- เขียน Case Study หรือกรณีศึกษาของเคสต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ชมเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
- แชร์เรื่องราวความสำเร็จ หรือรางวัลที่ได้รับบนทุกช่องทาง
- ให้ผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ (Influencer หรือ KOL ในด้านต่าง ๆ ) ช่วยรีวิวสินค้า/บริการจากประสบการณ์จริง และแชร์ลงบนช่องทางของพวกเขา
บทสรุป
สรุปได้ว่าเว็บไซต์เราที่ติดอันดับดี ๆ บน Google จากการทำ SEO ไม่ใช่สิ่งที่สามารถนำมาการันตีได้เลยว่า Conversion Rate จะดีขึ้นไปด้วย เนื่องจาก SEO มีเป้าหมายหลักคือการดึงคนเข้ามาที่เว็บไซต์และสร้าง Traffic เท่านั้น ส่วนยอดขายจะเกิดขึ้นหรือไม่ และผู้ใช้งานจะกระทำอะไรต่อไป ขึ้นอยู่กับ User Experience และปัจจัยอื่น ๆ ประกอบกัน ดังนั้น ถ้าคุณอยากให้ SEO ดีด้วย ยอดขายพุ่งด้วย และมี Lead เข้ามาอย่างต่อเนื่อง คุณควรปรับปรุงเว็บไซต์ด้วย 9 วิธีที่เราได้แนะนำไปในบทความนี้!
อย่างไรก็ตามหากคุณพบปัญหาในการทำ SEO อยู่ล่ะก็ สามารถรับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ (SEO Specialist) จากแองก้าได้เลย! ที่ไลน์ @ANGA ทั้งนี้ยังรวมไปถึงผู้ที่ต้องการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจจากการทำการตลาดออนไลน์ด้วยกลยุทธ์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Social Media Marketing, Content Marketing หรือการยิงโฆษณาบนช่องทางต่าง ๆ อย่าง Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads, YouTube Ads และ TikTok Ads ด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก Search Engine Land
ขอบคุณภาพจาก Optimizely, CreatorDB, Postmedia Solutions