
Ahrefs คืออะไร ที่สุดของเครื่องมือ SEO จากประสบการณ์เอเจนซี่
Ahrefs คือหนึ่งในเครื่องมือ SEO ตัวสำคัญ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล วางกลยุทธ์ และติดตามผล เพื่อให้การทำ SEO (Search Engine Optimization) มีประสิทธิภาพสูงที่สุด จนผลักดันเว็บไซต์สามารถติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดออนไลน์ หรือนักทำ SEO มือใหม่ก็ตาม การเรียนรู้และเข้าใจการทำงานของเครื่องมือ SEO เหล่านี้ มีแต่ผลดีที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบัน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองและคู่แข่ง รวมถึงรู้ว่าควรปรับปรุงส่วนใดของกลยุทธ์ SEO เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด บทความนี้จาก ANGA จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Ahrefs อย่างละเอียด ทั้ง Ahrefs คืออะไร, Ahrefs ใช้ทำอะไร, Ahrefs มีฟีเจอร์อะไรบ้าง, วิธีใช้ Ahrefs ฯลฯ

Ahrefs คืออะไร
Ahrefs คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และติดตามผลลัพธ์ในการทำ SEO แบบครบจบในเครื่องมือเดียว โดย Ahrefs ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับงาน SEO โดยเฉพาะ มาพร้อมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่อัปเดตอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้คุณสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดออนไลน์และวิเคราะห์คู่แข่งได้แบบเรียลไทม์ ส่วนติดต่อผู้ใช้ถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้ทั้งผู้เริ่มต้นและผู้เชี่ยวชาญสามารถเข้าถึงข้อมูลและใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัว และด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ค้นหาคีย์เวิร์ด ตรวจสอบ Backlink และติดตามอันดับการแสดงผลบน Google อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักการตลาดและผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถใช้ MarTech ตัวนี้ในการวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาเว็บไซต์ได้ตรงเป้าหมายได้
Ahrefs ใช้ทำอะไรได้บ้าง
ความสามารถของ Ahrefs ครอบคลุมงานด้าน SEO อย่างครบถ้วน ทำให้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการผลักดันเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์ เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณวางแผนและพัฒนากลยุทธ์ SEO ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
- วิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่งแบบครบทุกมิติ
- ค้นหาและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพ
- ตรวจสอบและติดตาม Backlink คุณภาพ
- ติดตามอันดับการแสดงผลบน Google
- ตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์
- วิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์เนื้อหา
Ahrefs เหมาะสำหรับผู้ใช้งานหลายกลุ่ม ตั้งแต่เจ้าของธุรกิจที่ต้องการผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูง นักการตลาดดิจิทัลที่ต้องการเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ไปจนถึงนัก SEO มืออาชีพที่ต้องการเครื่องมือประสิทธิภาพสูงในการทำงาน แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ความคุ้มค่าที่ได้รับจากฟีเจอร์ที่ครบครันและข้อมูลที่แม่นยำ ทำให้ Ahrefs เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าก็ว่าได้
แนะนำ 5 ฟีเจอร์สำคัญใน Ahrefs
Ahrefs มีฟีเจอร์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำ SEO แบบครบวงจรอยู่ 5 ฟีเจอร์ ดังนี้

1. Site Explorer
Site Explorer เป็นฟีเจอร์หลักที่ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมประสิทธิภาพทั้งหมดของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ Backlink ติดตามการเติบโตของ Organic Traffic หรือตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่เว็บไซต์ติดอันดับ นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิเคราะห์คู่แข่งเพื่อค้นหาโอกาสในการพัฒนากลยุทธ์ SEO ของคุณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ด้วย
2. Keyword Explorer
Keyword Explorer ฟีเจอร์ที่ใช้ในการทำ Keyword Research ซึ่งจะช่วยให้คุณค้นพบคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพสำหรับธุรกิจ โดยแสดงข้อมูลทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ตั้งแต่มีคนค้นหากี่ครั้งต่อเดือน ยากง่ายแค่ไหนที่จะติดอันดับ และมีคนคลิกเข้าเว็บไซต์เท่าไร พร้อมแนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่น่าสนใจ ทำให้คุณวางแผนคอนเทนต์ได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
3. Site Audit
Site Audit ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพเว็บไซต์ เพื่อใช้ในการทำ SEO Audit ที่จะช่วยค้นหาปัญหาด้านเทคนิค SEO ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าเว็บที่โหลดช้า, ลิงก์ที่เสียหาย (Broken Link) หรือเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกัน (Duplicate Content) แถมยังให้คำแนะนำในการแก้ไขแบบเจาะลึกทีละจุด ทำให้คุณรู้ว่าต้องปรับปรุงอะไรบ้างเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้สำหรับการดูแลเว็บไซต์ให้แข็งแรงอยู่เสมอ
4. Rank Tracker
Rank Tracker เป็นฟีเจอร์ที่ใช้สำหรับการติดตามอันดับของเว็บไซต์ ซึ่งจะคอยบอกว่าคีย์เวิร์ดที่คุณตั้งเป้าหมายไว้นั้นติดอันดับที่เท่าไรบ้าง ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ คุณสามารถดูการเปลี่ยนแปลงของอันดับได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน รวมถึงรู้ด้วยว่าคีย์เวิร์ดไหนได้แสดงผลแบบพิเศษอย่าง Featured Snippet ซึ่งช่วยให้คุณปรับแต่งกลยุทธ์ได้ทันท่วงทีหากพบว่าอันดับเริ่มตกลง
5. Content Explorer
Content Explorer ทำหน้าที่เป็นคลังไอเดียคอนเทนต์ขนาดใหญ่ ที่จะช่วยให้คุณรู้ว่าเนื้อหาแบบไหนที่คนชอบอ่านและแชร์ต่อมากที่สุด เพียงใส่หัวข้อที่คุณสนใจ ระบบจะแสดงบทความยอดนิยมทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง พร้อมข้อมูลการแชร์บน Social Media จำนวน Backlink และยอดเข้าชม ทำให้คุณเห็นแนวทางในการสร้างคอนเทนต์ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง แถมยังช่วยประหยัดเวลาในการคิดหัวข้อและวางแผนเนื้อหาได้อีกด้วย
Ahrefs เวอร์ชันฟรี VS เสียเงินต่างกันอย่างไร
Ahrefs มีให้เลือกใช้ทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน โดยเวอร์ชันฟรีที่เรียกว่า Webmaster Tools จะให้คุณเข้าถึง Site Explorer และ Site Audit ได้แบบจำกัด เหมาะสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการเริ่มต้นทำ SEO หรือต้องการทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจซื้อแพ็กเกจเต็มรูปแบบ สำหรับแพ็กเกจแบบเสียเงิน Ahrefs มีให้เลือก 4 ระดับตามความต้องการใช้งาน

เริ่มต้นที่แพ็กเกจ Lite ราคา $129 ต่อเดือน เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ให้คุณสร้างโปรเจกต์ได้ 5 โปรเจกต์ ติดตามคีย์เวิร์ดได้ 750 คำ และดูข้อมูลย้อนหลังได้ 6 เดือน ส่วนแพ็กเกจยอดนิยมคือ Standard ราคา $249 ต่อเดือน ที่เพิ่มจำนวนโปรเจกต์เป็น 20 โปรเจกต์ ติดตามคีย์เวิร์ดได้ 2,000 คำ และมีฟีเจอร์เพิ่มเติมอย่าง Content Explorer มาด้วย

สำหรับทีมการตลาดที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง แพ็กเกจ Advanced ราคา $449 ต่อเดือน จะให้คุณสร้างโปรเจกต์ได้มากถึง 50 โปรเจกต์ ติดตามคีย์เวิร์ดได้ 5,000 คำ และดูข้อมูลย้อนหลังได้นานถึง 5 ปี พร้อมฟีเจอร์พิเศษอย่าง Looker Studio integration ส่วนองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการปรับแต่งการใช้งานเฉพาะทีม สามารถเลือกแพ็กเกจ Enterprise ที่เริ่มต้นที่ $1,499 ต่อเดือน ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ครบครันและการสนับสนุนระดับองค์กร
บทสรุป
การทำ SEO ในปัจจุบันจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ซึ่ง Ahrefs คือคำตอบที่ดีที่สุด ในฐานะที่แองก้าเป็นเอเจนซี่รับทำ SEO โดยตรง เรายืนยันได้เลยว่า Ahrefs คือเครื่องมือที่เอเจนซี่ใช้งานจริง ด้วยฟีเจอร์ที่ครอบคลุมการทำงานทุกด้าน ตั้งแต่การวิเคราะห์เว็บไซต์ ค้นหาคีย์เวิร์ด ติดตามอันดับ ไปจนถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพทางเทคนิค พร้อมทีมสนับสนุนที่พร้อมช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้การทำ SEO ของคุณเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ลองเริ่มต้นการเวอร์ชันฟรีก่อน ถ้ารู้สึกว่ามันตอบโจทย์ก็สามารถใช้งานเวอร์ชันเสียค่าใช้จ่ายตามแพ็กเกจที่เหมาะสมได้เลย
บทความที่เกี่ยวข้อง

Organic Traffic คืออะไร พร้อมวิธีเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์
