โลกการตลาดดิจิทัลหมุนเร็วจนน่าตกใจ จากวันที่เราคุ้นเคยกับการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้ติดอันดับบน Google วันนี้กลับมีคำศัพท์ใหม่ๆ อย่าง AEO และ GEO เกิดขึ้นมาสร้างความสงสัยว่ามันคืออะไร? ต่างกันอย่างไร? และเราจำเป็นต้องทำทั้งหมดเลยหรือไม่?

ในฐานะเอเจนซี่ที่ทำงานในแวดวง SEO ทุกวัน จากประสบการณ์ของ ANGA เราเข้าใจความท้าทายนี้ดี บทความนี้จึงตั้งใจจะไขทุกข้อสงสัย สรุปความแตกต่างของ GEO vs SEO vs AEO ให้คุณเข้าใจง่าย ๆ และนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์ของธุรกิจได้ทันที พร้อมฟังความคิดเห็นและมุมมองจาก SEO Specialist ของ ANGA (แองก้า) กัน

GEO vs SEO vs AEO คืออะไร แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

SEO (Search Engine Optimization) ยังสำคัญอยู่?

ก่อนจะไปทำความรู้จักกับคำศัพท์ใหม่ เรามาทบทวนพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุดกันก่อน SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้งในด้านเทคนิค เนื้อหา และความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ Search Engine เช่น Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคำค้นหา (Keyword) นั้นๆ และจัดอันดับลิงก์สีน้ำเงิน (Blue Link) ให้เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดบนหน้าผลการค้นหา

คำถามคือ SEO ยังสำคัญอยู่ไหม? คำตอบคือ "สำคัญมากและเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้" เพราะหากไม่มีพื้นฐาน SEO ที่ดี ทั้ง AEO และ GEO ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนการสร้างตึกสูงที่ต้องมีฐานรากที่แข็งแรงนั่นเอง

ก้าวต่อไปของ Search คือ AEO (Answer Engine Optimization)

AEO (Answer Engine Optimization) คือการปรับกลยุทธ์ไปอีกขั้น เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของ Search Engine ที่เปลี่ยนจาก "เครื่องมือค้นหา" ไปเป็น "เครื่องมือหาคำตอบ"

หลักการทำงาน เมื่อ AI คือผู้ตอบคำถามแทน Blue Link

ลองนึกภาพตาม เมื่อก่อนเป้าหมายของ SEO คือการทำให้คน "คลิก" ลิงก์สีน้ำเงิน (Blue Link) เข้ามาหาคำตอบในเว็บของเรา แต่ในยุค AEO เป้าหมายคือการปรับแต่งเนื้อหาให้ดีและชัดเจนพอที่ AI ของ Google (เช่นในฟีเจอร์ AI Overviews) จะดึงเนื้อหาของเราไป "ตอบคำถาม" ของผู้ใช้ได้ทันที โดยที่พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องคลิกเข้ามาในเว็บด้วยซ้ำ

วิธีทำให้ติด AI Overviews ที่ ANGA พบคือเว็บไซต์ที่สามารถคาดเดาคำถามของผู้ใช้และสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามนั้นได้อย่างตรงไปตรงมาและรวดเร็วที่สุด

เทรนด์ใหม่มาแรง GEO (Generative Engine Optimization)

GEO (Generative Engine Optimization) คือแนวคิดที่ใหม่ล่าสุดในวงการ Search Engine มันคือการปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้พร้อมสำหรับยุคของ Generative AI อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น Gemini ของ Google หรือ ChatGPT ก็ตาม

สำคัญ! GEO นี้ไม่ใช่ GEO ที่แปลว่าพื้นที่ (Geographic)

ข้อผิดพลาดที่หลายคนเข้าใจผิด หลายคนสับสนระหว่าง Generative Engine Optimization กับ Geographic Optimization (ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Local SEO) ต้องขอย้ำตรงนี้ว่า GEO ในบริบทนี้หมายถึงการปรับเว็บให้เป็นมิตรต่อ "AI ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่" ไม่ใช่การปรับเว็บตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์

หลักการทำงานของ GEO ที่ทำให้ AI นำข้อมูลเราไปใช้

ในขณะที่ AEO คือการทำให้ AI เลือกคำตอบของเราไปแสดงผล แต่ GEO คือการทำให้ AI เลือกข้อมูลของเราไปเป็นวัตถุดิบในการ "สังเคราะห์และสร้างสรรค์" เป็นคำตอบชุดใหม่ที่สมบูรณ์และมีมิติยิ่งขึ้น ซึ่งหมายความว่าเนื้อหาของคุณต้องไม่ใช่แค่ถูกต้อง แต่ต้องมีข้อมูลเชิงลึก มีเอกลักษณ์ และมีคุณภาพสูงพอที่ AI จะมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลชั้นยอดที่ควรนำไปใช้ต่อยอด

เปรียบเทียบ SEO vs AEO vs GEO ต่างกันตรงไหน

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของ AEO vs SEO และ GEO vs SEO ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

(Aspect)SEO (Search Engine Optimization)AEO (Answer Engine Optimization)GEO (Generative Engine Optimization)
เป้าหมายหลักติดอันดับสูงๆ บนหน้าค้นหา (Ranking) เพื่อให้เกิดการคลิก (Traffic)ถูก AI เลือกไปแสดงผลเป็นคำตอบโดยตรง (Featured Snippets, AI Overviews)ถูก AI เลือกใช้เป็นแหล่งข้อมูลเพื่อสร้างสรรค์คำตอบชุดใหม่ (Source for Generative AI)
รูปแบบคอนเทนต์บทความยาว ครอบคลุมหัวข้อ (Pillar Page), การทำ On-Pageเนื้อหาแบบถาม-ตอบ (Q&A), FAQ, How-to, คำจำกัดความที่ชัดเจนบทวิเคราะห์เชิงลึก, รายงานผลวิจัย (Case Study), ข้อมูลสถิติที่เป็น Original, Unique Data
วิธีวัดผลอันดับ (Rank), จำนวนผู้เข้าชม (Traffic), Conversion Rateการแสดงผลใน AI Features, การถูกอ้างอิง (Mentions), Share of Voiceการถูกอ้างอิงในคำตอบของ AI, การเพิ่มขึ้นของ Brand Authority และ Digital Trust
ตัวอย่างที่ชัดเจนเว็บไซต์ติดอันดับ 1-3 ในหน้าผลการค้นหาแบบปกติคำตอบที่ปรากฏในกล่อง "People also ask" หรือ "AI Overviews"AI อ้างอิงข้อมูลจาก Case Study ของคุณเพื่อตอบคำถามที่ซับซ้อน
หัวใจสำคัญการทำ Keyword Research, Technical SEO, การสร้าง Backlinkการเข้าใจ User Intent, การใช้ภาษาธรรมชาติ, การทำ Schema Markupการสร้างข้อมูลที่มีเอกลักษณ์ (Originality), ความเชี่ยวชาญเชิงลึก (Expertise), E-E-A-T

โดยสรุป ความแตกต่างของ GEO vs SEO vs AEO คือการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย จากการทำให้ "คนเห็น" (SEO) สู่การทำให้ "AI ตอบ" (AEO) และท้ายที่สุดคือการทำให้ "AI นำไปสร้างสรรค์" (GEO)

SEO, AEO และ GEO ทำงานร่วมกันได้อย่างไร

โดย Piyawat Supsindumrong | SEO Specialist at ANGA Bangkok 

ในมุมมองของผมที่ทำงานด้าน SEO การมาของ AEO และ GEO ไม่ได้ทำให้ SEO หายไปไหน แต่เป็นการบังคับให้เราต้องทำ SEO ให้มีคุณภาพสูงขึ้นกว่าเดิม เพราะมันคือรากฐานที่ค้ำจุนทุกอย่างไว้ ถ้าฐานไม่ดี การต่อยอดไปสู่ AEO หรือ GEO ก็เป็นไปได้ยากมาก การทำงานร่วมกันของทั้งสามสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตในยุค AI Search”

1.เปลี่ยน Workflow จากคีย์เวิร์ด สู่คำตอบที่ AI เลือกใช้

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองดูสถานการณ์จำลองของธุรกิจ "บริษัทรับทำบัญชี" ที่ต้องการลูกค้ากลุ่ม SME

  • งานของ SEO : ทีมจะเริ่มจากการทำ Keyword Research หาคำว่า "รับทำบัญชีรายเดือน", "ปิดงบประจำปี SME", "ภาษีนิติบุคคล" จากนั้นก็ปรับปรุงหน้า Service Page ให้โหลดเร็วตามหลัก Core Web Vitals และสร้าง Backlink คุณภาพจากเว็บไซต์ข่าวธุรกิจที่น่าเชื่อถือ
  • งานของ AEO : บนหน้า Service Page เดียวกันนั้น ทีมจะสร้างส่วน FAQ ที่ตอบคำถามตรงๆ ที่ลูกค้ามักจะสงสัย เช่น "ทำบัญชีรายเดือน ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่?", "SME ที่เพิ่งจดทะเบียนต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่?", "เอกสารที่ต้องใช้ในการปิดงบมีอะไรบ้าง?" เพื่อให้ Google สามารถดึงไปตอบในส่วน People Also Ask และ AI Overviews ได้ทันที
  • งานของ GEO : ทีมจะสร้างบทความ Pillar Page ชิ้นสำคัญในหัวข้อ "คู่มือบัญชีและภาษีฉบับสมบูรณ์สำหรับ SME ปี 2025" ซึ่งในบทความนี้จะรวบรวมคำตอบจากส่วน AEO เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมเสริมด้วย Case Study ของลูกค้าที่เคยดูแล, ตารางเปรียบเทียบโปรแกรมบัญชี, และ Checklist ปลายปีให้ดาวน์โหลดฟรี เนื้อหาลักษณะนี้ไม่ได้แค่ "ตอบคำถาม" แต่เป็นการ "มอบโซลูชันครบวงจร" ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ Generative AI จะเลือกนำไปอ้างอิงเพื่อสร้างเป็นคำตอบที่ละเอียดและมีคุณภาพที่สุด

2. รากฐาน Technical SEO คือโครงสร้างสำคัญ

โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) และการเชื่อมโยงลิงก์ภายใน (Internal Linking) ที่ดี ไม่เพียงช่วยให้ Googlebot เข้าใจเว็บของคุณ (SEO) แต่ยังช่วยให้ AI สามารถค้นหา "คำตอบ" ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว (AEO) และเข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งหมดในเว็บไซต์ของคุณ (GEO) ได้อีกด้วย เว็บไซต์ที่ใช้งานยากหรือโครงสร้างสับสน ต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหน AI ก็อาจมองข้ามไปได้

สร้าง Digital Trust ที่ทำให้ AI เลือกเราก่อนใคร

หัวใจสำคัญของการทำทั้งสามสิ่งนี้คือการสร้าง "ความไว้วางใจในโลกดิจิทัล" (Digital Trust) เมื่อ SEO, AEO, และ GEO ทำงานประสานกัน มันจะส่งสัญญาณที่ทรงพลังไปยัง AI ทุกรูปแบบว่า "เว็บไซต์นี้คือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือที่สุดในเรื่องนี้" และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกแหล่งข้อมูลเพื่อนำไปตอบคำถามหรือสร้างสรรค์คำตอบ เว็บไซต์ของคุณก็จะเป็นตัวเลือกแรกเสมอ

โดย เกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน - Managing Director at ANGA (คลิกประวัติ)

จากที่ทำ SEO มา 6-7 ปี รู้สึกตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงของการตลาด Search มาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น GEO หรือ AEO ล้วนเป็นขั้นตอนที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดพยายามจะปรับเปลี่ยนเพื่อตอบโจทย์ Online Touchpoint ใหม่ๆ ในอนาคต คำแนะนำของผมสำหรับ SEO Specialist คือจะต้องปรับตัวและเข้าใจว่าพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของคำค้นหาที่ยาวขึ้น (Long-tailed & Questionnary) ดูเป็นเชิง Conversation แบบถามตอบมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อย

1. สรุปแล้ว GEO กับ AEO จะมาแทนที่ SEO ทั้งหมดเลยใช่ไหม?

ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นการทำงานร่วมกัน SEO คือรากฐานที่แข็งแกร่ง ส่วน AEO และ GEO คือการต่อยอดคอนเทนต์บนรากฐานนั้นเพื่อคว้าโอกาสในยุค AI ดังนั้น SEO ที่ดีจะยิ่งส่งผลให้การทำ AEO และ GEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ธุรกิจขนาดเล็ก ควรเริ่มจากอะไรก่อนดีระหว่าง 3 อย่างนี้?

ควรเริ่มจาก SEO พื้นฐานที่แข็งแกร่ง ก่อนเสมอ จากนั้นให้ต่อยอดไปที่ AEO โดยเน้นสร้างคอนเทนต์ตอบคำถามที่ลูกค้าถามบ่อยๆ เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลได้เร็ว ส่วน GEO อาจเป็นลำดับถัดไปเมื่อคุณพร้อมสำหรับกลยุทธ์ระยะยาว

3. เราจะวัดผลความสำเร็จของ AEO กับ GEO ได้อย่างไร ในเมื่ออาจไม่มีคนคลิกเข้าเว็บ?

เราต้องเปลี่ยนมุมมองการวัดผลจาก "Traffic" ไปสู่ "Visibility" และ "Influence" เช่น การติดตามว่าแบรนด์ของเราถูกอ้างอิง (Mention) ใน AI Overviews บ่อยแค่ไหน (Share of Voice) หรือการเพิ่มขึ้นของ Branded Search

4. เราสามารถทำ AEO และ GEO เองได้ไหม หรือจำเป็นต้องจ้างเอเจนซี่?

สามารถเริ่มต้นทำเองได้ในเบื้องต้น แต่การทำในระดับสูงที่ต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การปรับโครงสร้างทางเทคนิค และการวางกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประหยัดเวลาและทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่า

5. คอนเทนต์ประเภทไหนที่ได้ผลดีที่สุดกับ AEO และ GEO?

คอนเทนต์ที่ตอบคำถามโดยตรงและให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น บทความ How-to, บทความเปรียบเทียบ (X vs Y), Checklist, และบทความที่รวบรวมข้อมูลสถิติหรือ Case Study ที่เป็น Original Content ของแบรนด์เอง

6. ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลจากการทำ AEO และ GEO?

คล้ายกับการทำ SEO คือเป็นการลงทุนระยะยาว การปรับโครงสร้างทางเทคนิคอาจเห็นผลในไม่กี่สัปดาห์ แต่การที่จะให้ AI "เชื่อใจ" และเลือกคอนเทนต์ของเราไปตอบอย่างสม่ำเสมอ อาจต้องใช้เวลา 3-6 เดือนขึ้นไป

7. การทำ SEO, AEO, GEO จะส่งผลต่อการตลาดช่องทางอื่น ๆ เช่น Google Ads หรือ Social Media หรือไม่?

ส่งผลดีอย่างมาก เมื่อแบรนด์ของคุณปรากฏเป็นคำตอบที่น่าเชื่อถือบน Search Engine ความไว้วางใจ (Trust) ของลูกค้าก็จะสูงขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นโฆษณาหรือโพสต์ของคุณ ก็จะมีแนวโน้มที่จะสนใจและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

บทสรุป

อนาคตของการตลาดไม่ใช่การแข่งขันว่าใครจะอยู่อันดับสูงสุด แต่คือการปรับตัวเพื่อเป็น "คำตอบที่ดีที่สุด" ในสายตาของผู้ใช้งานและ AI การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของ GEO vs SEO vs AEO และนำมาปรับใช้ คือกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจดูซับซ้อน แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสมหาศาลสำหรับธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนใคร หากคุณไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นอย่างไร หรือต้องการพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญ สามารถปรึกษาเราได้ที่ LINE @ANGA หรือโทร 080-054-9199 ผู้เชี่ยวชาญ (SEO Specialist) พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ