รู้จัก SEO Tracking เครื่องมือวัดผล SEO Performance
จะรู้ได้อย่างไรว่ากลยุทธ์ SEO ที่เราทำไปนั้น เห็นผลจริงและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้แก่ธุรกิจได้หรือไม่? คำตอบคือการใช้เครื่องมือ SEO Tracking เข้ามาช่วยตรวจสอบ ติดตาม และวัดประสิทธิภาพของการทำ SEO นั่นเอง สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า SEO Tracking คืออะไร? ต้องใช้เครื่องมืออะไรในการทำ SEO Tracking และอยากรู้ว่าตัวชี้วัด (KPI) ที่ควรนำมาตรวจวัด SEO Performance คืออะไร สามารถติดตามอ่านรายละเอียดและหาคำตอบในบทความนี้ได้เลย เพราะ ANGA ได้รวบรวมข้อมูลมาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
SEO Tracking คืออะไร
SEO Tracking คือการติดตามผลลัพธ์ด้าน SEO (Search Engine Optimization) หลังจากที่คุณได้เริ่มต้นทำเว็บไซต์และใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ SEO ไป เพื่อวัดผลและวิเคราะห์ว่าวิธีการ เทคนิค หรือกลยุทธ์ที่คุณนำไปใช้ในการทำ SEO มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพมากเพียงใด พร้อมกับชี้จุดบกพร่องและชี้แนะแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ บนเว็บไซต์ เพื่อให้ประสิทธิภาพของการทำ SEO ของคุณดีขึ้น จนอยู่ในระดับที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ รวมถึงการบรรลุเป้าหมายที่คุณต้องการด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, สร้างการรับรู้, หา Lead หรือเพิ่มยอดขายก็ตาม
ประโยชน์ของ SEO Tracking
- วิเคราะห์จุดแข็งและจุดด้อยของ SEO บนเว็บไซต์คุณ
- ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของ SEO
- ทดสอบกลยุทธ์ SEO ที่เป็นรูปแบบใหม่ ๆ
- เปรียบเทียบกลยุทธ์ SEO ของคุณกับคู่แข่ง
- รู้ว่าจุดบกพร่องอยู่ตรงไหนและข้อผิดพลาดเกิดจากอะไร
- ปรับปรุงประสิทธิภาพของการทำ SEO ให้ดีขึ้น
- ดันอันดับของเว็บไซต์บนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP)
8 KPI ที่ใช้วัด SEO Performance
SEO สามารถวัดผลได้หลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และเป้าหมายในการทำ SEO แต่ก็จะมี KPI ที่ใช้วัด SEO Performance อยู่หลัก ๆ ประมาณ 8 อย่าง ได้แก่ Keyword Ranking, Organic Impressions, Click-through Rate, Organic Conversions, Average Session Duration, Bounce Rate และ Page Speed ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. Keyword Ranking
Keyword Ranking คืออันดับของคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่แสดงอยู่บนหน้าแสดงผลการค้นหา หลังจากที่ผู้คนได้ทำการค้นหาข้อมูลบน Google หรือ Search Engine อื่น ๆ ซึ่ง Keyword Ranking จะแสดงผลตั้งแต่ 1-100 โดยตำแหน่งที่ดีที่สุดคืออันดับ 1-10 เพราะมีโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะมองเห็นมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ เมื่ออันดับคีย์เวิร์ดดี อันดับเว็บไซต์สูง ยอด Impression, Traffic, Conversion, CTR หรืออื่น ๆ ที่เป็นตัวชี้วัด SEO Performance ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
คีย์เวิร์ดที่ดีและสร้างโอกาสให้แก่ธุรกิจได้มาก มักจะเป็นคีย์เวิร์ดที่ได้มาจากการทำ Keyword Research และมีการวางแผนการใช้คีย์เวิร์ดเป็นอย่างดีว่าจะเขียนลงไปในหน้าไหนของเว็บไซต์ หรือเอาไปเขียนบทความ SEO ในด้านใด นอกจากนี้ เว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและมีการอัปเดตอยู่เสมอ ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยดัน Keyword Ranking ได้ดีเหมือนกัน
2. Organic Impressions
Organic Impressions คือจำนวนการแสดงผลของเว็บไซต์ที่มาจากการทำ SEO ซึ่ง Impression เป็นตัวบ่งบอกว่ามีผู้คนเห็นเว็บไซต์ของคุณผ่านตามากแค่ไหน (นับแค่เห็นเท่านั้น) และ Impression จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ Keyword Ranking เป็นสำคัญ ดังนั้น ถ้าอันดับคีย์เวิร์ดดี ก็แปลว่า Organic Impressions ย่อมดีด้วย
3. Organic Traffic
Organic Traffic เป็นตัวชี้วัดว่าหน้าเว็บไซต์ของคุณที่แสดงอยู่บน Search Engine น่าสนใจมากแค่ไหนหลังจากที่กลุ่มเป้าหมายมองเห็นแล้ว ซึ่ง Organic Traffic จะถูกนับก็ต่อเมื่อมีคน “คลิก” เข้ามาบนเว็บไซต์ (ถ้ามองเห็นอย่างเดียวจะถูกนับแค่ Organic Impressions) และนอกจาก Organic Traffic จะได้มาจากการแสดงผลบนหน้าการค้นหาแล้ว Organic Traffic ยังเกิดจากการคลิกเข้ามาจากเว็บไซต์หรือช่องทางอื่น ๆ โดยที่คุณไม่ได้ยิงโฆษณาอีกด้วย
4. Click-through Rate (CTR)
Click-through Rate (CTR) คืออัตราการคลิกต่อการแสดงผล ซึ่งจะเป็นการเอา Click กับ Impression ที่เกิดขึ้นมาคำนวณเพื่อหา % ที่ถูกต้อง และประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ SEO โดยการใช้สูตร (Click ÷ Impression) x 100 = CTR (%) เช่น หน้าเว็บไซต์ของคุณมีการแสดงผลไปทั้งสิ้น 1,000 ครั้ง มีคนคลิกทั้งหมด 300 ครั้ง แปลว่า CTR ของหน้านี้อยู่ที่ 30% เป็นต้น
5. Organic Conversions
Organic Conversions คือการบรรลุเป้าหมายที่ได้มาจากการทำ SEO ซึ่ง Conversion เป็นเหมือนเป้าหมายที่คุณสามารถกำหนดได้ว่าอยากให้กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ใช้งานเว็บไซต์เข้ามาทำอะไร เช่น สั่งซื้อสินค้า, ดาวน์โหลดไฟล์ eBook, กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน, กดปุ่ม CTA เพิ่มเพื่อน LINE ฯลฯ โดยยอด Organic Conversions จะแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ SEO ของคุณทำให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายได้แค่ไหน
6. Average Session Duration
Average Session Duration เป็นค่าเฉลี่ยของระยะเวลาในการใช้งานเว็บไซต์ต่อ 1 เซสชัน ที่บ่งบอกว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาน่าสนใจพอให้ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์นาน ๆ ไหม ถ้า Average Session Duration สูง หมายความว่าเว็บไซต์ของคุณทำออกมาได้ดีแล้ว แต่ถ้า Average Session Duration ต่ำ แปลว่าเนื้อหาและการจัดวางเนื้อหาไม่มีประสิทธิภาพที่ดีพอในสายตาของผู้ใช้งาน
7. Bounce Rate
Bounce Rate หรืออัตราการตีกลับ จะเป็น % ที่แสดงค่าเฉลี่ยของผู้ใช้งานที่เข้ามาบนเว็บไซต์ และกดออกไปจากเว็บไซต์ โดยที่ไม่ได้มีการคลิกเข้าไปดูที่หน้าอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่ง Bounce Rate เป็นอีกหนึ่ง KPI ที่ถูกนำมาใช้วัดในการคุณภาพของเนื้อหาและเทคนิคในการทำ SEO เช่นกัน สำหรับวิธีลด Bounce Rate ที่ง่ายที่สุด คือการสอดแทรก Internal Link ลงไปในเนื้อหานั่นเอง
8. Page Speed
Page Speed (ความเร็วในการแสดงผลของหน้าเว็บไซต์) เป็นค่าที่ใช้บอกว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วหรือโหลดช้า ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ได้จากเครื่องมือ PageSpeed Insights โดยเว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งาน และทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์มีประสิทธิภาพ ช่วยดัน Keyword Ranking, เพิ่ม Traffic, กระตุ้น Conversion และช่วยลด Bounce Rate ได้
แนะนำเครื่องมือ SEO Tracking
วิธีทำ SEO Tracking จะต้องอาศัยเครื่องมือ SEO เข้ามาช่วย จึงจะสามารถตรวจสอบตัวชี้วัดและวัดผลค่าต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน เพราะเครื่องมือเหล่านี้มีระบบที่ซับซ้อน สามารถเชื่อมต่อกับเว็บไซต์และเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งยังมีความแม่นยำสูงอีกด้วย
SEO Tracking Tool ในปัจจุบันมีให้เลือกใช้งานเป็นจำนวนมาก (ระดับหลักสิบ-หลักร้อยเครื่องมือ) ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องใช้ทุกเครื่องมือ สามารถเลือกใช้เฉพาะเครื่องมือที่ตอบโจทย์การใช้งานในแต่ละด้านได้เลย เนื่องจากเครื่องมือ SEO Tracking แต่ละตัวจะมีฟังก์ชันที่โดดเด่นไม่เหมือนกัน บางเครื่องมืออาจจะแม่นยำในด้านของ Ranking ส่วนบางเครื่องมืออาจจะแม่นยำในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลมากกว่า เป็นต้น ลองมาดูกันว่ามีเครื่องใดบ้างที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมในหมู่นักทำ SEO มากที่สุด
Google Analytics 4 (GA4)
Google Analytics 4 หรือ GA4 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานบนเว็บไซต์เวอร์ชันใหม่ล่าสุดจาก Google คุณสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่าผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณเป็นใคร, มีพฤติกรรมอย่างไร, มีจำนวนเท่าไหร่, เข้ามาจากหน้าไหนมากที่สุด และอื่น ๆ นอกจาก GA4 จะเป็นเครื่องมือ SEO Tracking ที่ดีแล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่คุณสามารถนำไปติดตามผลและวัดประสิทธิภาพของการยิงโฆษณา Google Ads ได้อีกด้วย
Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีจากทาง Google ที่ตอบโจทย์คนทำเว็บไซต์และ SEO เป็นอย่างยิ่ง เพราะคุณสามารถติดตามผล วิเคราะห์ประสิทธิภาพ ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก ปรับปรุงและแก้ไขเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ SEO ได้แบบครบครัน เช่น Keyword Ranking, Traffic, Core Web Vitals, Indexing, URL Inspection, หน้าที่มี Impression มากที่สุด, คีย์เวิร์ดที่สร้าง Traffic ได้ดีที่สุด และอื่น ๆ อีกมากมาย
Semrush
Semrush เป็นเครื่องมือที่คุณสามารถใช้ในการทำ SEO Tracking ได้และได้รับความนิยมด้วย เพราะ Semrush มีฟีเจอร์การใช้งานที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกด้านในการทำ SEO ทั้งการวิเคราะห์คู่แข่ง, วิเคราะห์คีย์เวิร์ด, เช็ก Keyword Ranking, ทำ Keyword Research, ดู Backlink, ทำ SEO Technical Audit ฯลฯ
Ahrefs
SEO Tracking Tool ตัวสุดท้ายได้แก่ Ahrefs เป็นเครื่องมือที่สาย SEO รู้จักกันดี เพราะตอบโจทย์การใช้งานและติดตามผลของการทำ SEO อย่างมาก ตั้งแต่ On-Page SEO, Off-Page SEO ยัน Technical SEO เลย ถ้าคุณมีงบประมาณในระดับหนึ่ง ต้องไม่พลาด Ahrefs เลย
บทสรุป
ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO การยิงโฆษณา หรือการทำการตลาดออนไลน์ด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม ล้วนต้องการผลลัพธ์หรือการตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งการทำ SEO Tracking เป็นเครื่องมือหรือกระบวนการที่สำคัญ อันประกอบไปด้วยการติดตาม ตรวจสอบ วัดผล และปรับปรุง เพื่อให้กลยุทธ์การทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุด จนสามารถบรรลุ KPI สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเว็บไซต์ของใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาอันดับตก, ไม่ติดอันดับสักที, Traffic น้อย ฯลฯ แนะนำให้เริ่มต้นทำ SEO Tracking ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่เราได้แนะนำไปได้เลย โดยอาจจะเริ่มต้นจากเครื่องมือฟรีอย่าง Google Analytics 4 และ Google Search Console ก่อนก็ได้ เมื่อไหร่ที่ต้องการการวัดผลแบบเจาะลึกค่อยเสียเงินซื้อเครื่องมือที่ดีกว่ามาใช้งานสุดท้ายนี้ถ้าคุณกำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO ที่การันตีผลลัพธ์ใน 90 วัน และรับทำ SEO ครบวงจร ANGA (แองก้า) ยินดีให้คำปรึกษาฟรี 02-023-8899