1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. Bounce Rate คืออะไร คะแนนสูง-ต่ำ ส่งผลต่อ SEO อย่างไรบ้าง
Bounce Rate คือ
เผยแพร่เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2025

Bounce Rate คืออะไร คะแนนสูง-ต่ำ ส่งผลต่อ SEO อย่างไรบ้าง

Table Of Contents

ความสำเร็จของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่การติดอันดับ (Ranking) บนหน้าแรกของ Search Engine อย่าง Google หรือปริมาณ Traffic เท่านั้น แต่ยังสามารถวัดผลได้จากหลากหลายอย่าง ซึ่ง Bounce Rate ก็คือหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงจะพาคุณไปทำความรู้จักกว่า Bouce Rate คืออะไร ใช้วัดอะไรด้าน SEO ได้บ้าง และ Bouce Rate สูงหรือต่ำมันส่งผลอย่างไร ควรมี Bounce Rate อยู่ที่เท่าไหร่ เป็นต้น

Bounce Rate คืออะไร

Bounce Rate คืออัตราการตีกลับ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของผลลัพธ์การปรับปรุงเว็บไซต์และ SEO โดย Bounce Rate จะแสดงเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่คลิกเข้ามาในเว็บไซต์แล้วออกไปทันทีโดยไม่มีการโต้ตอบใด ๆ เช่น ไม่คลิกเมนู ไม่กดลิงก์ไปหน้าอื่น หรือไม่กรอกฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้เวลาอ่านเนื้อหานานเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่มีการคลิกต่อ ก็จะถูกนับเป็น Bounce ทั้งหมด

ค่า Bounce Rate ที่สูงบ่งบอกว่าเว็บไซต์อาจมีปัญหาหลายด้าน เช่น เนื้อหาไม่น่าสนใจ,  เนื้อหาไม่ตรงกับ  Meta Tags ที่ปรากฏบน Google Search, การออกแบบเว็บไซต์ที่ใช้งานยาก หรือเว็บไซต์โหลดช้าเกินไป ทำให้ผู้ใช้ไม่อยากอยู่ต่อหรือคลิกดูส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์อีกแล้ว ในทางกลับกันค่า Bounce Rate ที่ต่ำแสดงว่าเว็บไซต์สามารถดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมได้ดี

Bounce Rate คิดยังไง คำนวณอย่างไร

การคำนวณ Bounce Rate ใช้สูตรที่ไม่ซับซ้อน โดยสามารถนำจำนวนผู้เข้าชมที่ดูเพียงหน้าเดียว มาหารด้วยจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด แล้วคูณด้วย 100 เพื่อแสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ได้เลย ตัวอย่างเช่น ถ้าเว็บไซต์มีคนเข้าชม 1,000 ครั้ง และมี 300 ครั้งที่ผู้ใช้ดูเพียงหน้าเดียว ค่า Bounce Rate จะเท่ากับ (300/1,000) × 100 = 30% ทั้งนี้ ตามมาตรฐานของ SEMrush (เครื่องมือ SEO ยอดนิยม) เว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพดีควรมี Bounce Rate ไม่เกิน 40% หากสูงกว่านี้ควรพิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ 

Bounce Rate (อัตราตีกลับ) สำคัญอย่างไร

Bounce Rate คือสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณภาพและประสิทธิภาพของเว็บไซต์คุณเป็นอย่างไร การวิเคราะห์ Bounce Rate จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้ได้ดีขึ้น เช่น ทำไมผู้เข้าชมถึงไม่คลิกดูหน้าอื่น ๆ หรือทำไมไม่มีการกรอกฟอร์มหรือซื้อสินค้าเลย ข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น อีกทั้ง Bounce Rate ยังส่งผลโดยตรงต่อการทำ SEO ด้วย เนื่องจาก Google ใช้ค่านี้เป็นหนึ่งในปัจจัยจัดอันดับการค้นหา เว็บไซต์ที่มี Bounce Rate สูงมักถูกมองว่ามีคุณภาพต่ำและอาจถูกลดอันดับลง ส่งผลให้โอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายลดลงตามไปด้วย

Bounce Rate สูง-ต่ำหมายถึงอะไร แบบไหนดีกว่ากัน

ค่า Bounce Rate บ่งบอกประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นสองระดับหลัก ๆ คือ ระดับสูงและระดับต่ำ เมื่อค่า Bounce Rate สูง แสดงว่าผู้เข้าชมส่วนใหญ่ดูเพียงหน้าเดียวแล้วออกไปทันที ซึ่งอาจเกิดจากเนื้อหาไม่ตรงความต้องการ การออกแบบไม่น่าสนใจ หรือเว็บไซต์โหลดช้า ในทางตรงกันข้าม ค่า Bounce Rate ต่ำสะท้อนว่าผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์มากขึ้น เช่น คลิกอ่านหน้าอื่นต่อ หรือทำกิจกรรมบางอย่างบนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในทาง SEO

  • Bounce Rate 26-40% = อยู่ในเกณฑ์ดี
  • Bounce Rate 41-55% = อยู่ในระดับปานกลาง
  • Bounce Rate 56-70% = เริ่มน่ากังวล ควรเริ่มวางแผนปรับปรุง
  • Bounce Rate มากกว่า 70% = ถือว่าวิกฤต ต้องแก้ไขด่วน

ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ

  • เว็บไซต์ทั่วไป ควรมี Bounce Rate อยู่ที่ 30-55%
  • เว็บไซต์ Ecommerce ควรมี Bounce Rate อยู่ที่ 20-45%
  • เว็บไซต์ธุรกิจ B2B ควรมี Bounce Rate อยู่ที่ 25-55%
  • เว็บไซต์คอนเทนต์ ควรมี Bounce Rate อยู่ที่ 35-60%
  • หน้า Landing Page ควรมี Bounce Rate อยู่ที่ 60-90%

อยากเช็ก Bounce Rate ต้องทำอย่างไร

  1. เข้าไปที่ Google Analytics 4
  2. คลิกที่เมนู Reports > Engagement และดูข้อมูลในส่วน Engagement Overview
  3. ปรับช่วงวันที่ต้องการดูข้อมูลและดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง
  4. สำหรับการวิเคราะห์แยกตามหน้าเว็บ ให้เลือกดูรายงานแบบ Page/Screen
  5. ดู Bounce Rate แยกตามช่องทาง เปรียบเทียบระหว่าง Organic, Paid, Social

วิธีลด Bounce Rate เพิ่มประสิทธิภาพ SEO

การปรับปรุง Bounce Rate ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขที่ต้องทำให้ต่ำลง แต่เป็นการยกระดับคุณภาพเว็บไซต์โดยรวมให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งการปรับปรุงในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อทั้งผู้ใช้งานและอันดับ SEO เมื่อผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี พวกเขาจะอยู่กับเว็บไซต์นานขึ้น มีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น และอาจกลับมาเยี่ยมชมอีกในอนาคต

ออกแบบ UX/UI ให้ใช้งานง่าย

การจัดวางองค์ประกอบบนหน้าเว็บไซต์ควรคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่น ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย จัดวางเมนูให้เป็นระเบียบ และมีการแบ่งหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ไม่หลงทางหรือสับสนระหว่างใช้งาน

รองรับการใช้งานบนมือถือ

เว็บไซต์ต้องแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะอุปกรณสมาร์ตโฟนเพราะมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ต้องปรับขนาดตัวอักษร รูปภาพ และปุ่มกดต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับหน้าจอเล็ก เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอ่านและคลิกได้สะดวก

สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ

เนื้อหาต้องตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และอ่านเข้าใจง่าย ควรเพิ่มรูปภาพ ตาราง หรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เนื้อหาน่าสนใจมากขึ้น รวมถึงแบ่งย่อหน้าให้เหมาะสมไม่ยาวจนเกินไป (แนะนำให้เขียนเนื้อหาตาม E-E-A-T Factor)

เพิ่มความเร็วการโหลดหน้าเว็บ

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (PageSpeed) คือปัจจัยแรกที่ผู้ใช้สัมผัสได้ทันที เว็บที่โหลดช้าแม้เพียง 2-3 วินาทีก็อาจทำให้ผู้ใช้กดปิดไปแล้ว ควรปรับปรุงโดยบีบอัดรูปภาพให้มีขนาดเล็กลง ลดการใช้สคริปต์ที่ไม่จำเป็น และเลือกใช้เว็บโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพ

สร้างการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์

การเพิ่มลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง หรือ Internal Link ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น แต่ต้องวางลิงก์อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดจนเกินไป และต้องแน่ใจว่าลิงก์นั้นนำไปสู่เนื้อหาที่มีประโยชน์จริงๆ

บทสรุป

Bounce Rate คือตัวช่วยสำคัญที่จะบอกคุณว่าเว็บไซต์กำลังไปได้สวยหรือกำลังมีปัญหา เปรียบเสมือนเทอร์โมมิเตอร์วัดสุขภาพเว็บไซต์ ถ้าคนเข้ามาแล้วออกไปเร็วเกินไป นั่นอาจหมายถึงเว็บโหลดช้า ใช้งานยาก หรือเนื้อหาไม่น่าสนใจได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อ SEO และอันดับเว็บไซต์บน Google ด้วย แต่ด้วยเครื่องมืออย่าง Google Analytics 4 และเทคนิคการปรับปรุงที่เราแนะนำไป รวมถึงการทำ SEO ด้วยวิธีที่ถูกต้อง รับรองว่าคุณสามารถทำให้เว็บไซต์กลับมาแข็งแรง และติดอันดับได้ดีกว่าเดิมแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Organic Traffic คืออะไร พร้อมวิธีเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์

Web Traffic คือผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่มีความสำคัญมาในการทำให้เว็บไซต์เติบโตและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Traffic มาได้จากหลายช่องทาง อาทิ Paid, Direct, Social Media, Referral และ Organic Traffic แต่ Traf
50

Breadcrumb Navigation ป้ายนำทางบนเว็บไซต์ ที่ส่งผลดีต่อ SEO

เว็บไซต์ส่วนใหญ่มีหน้าเว็บและข้อมูลเยอะมาก อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรู้สึกสับสนและหลงทางได้ การมีตัวช่วยนำทางบนเว็บไซต์หรือ Breadcrumb Navigation ติดตั้งไว้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับ
46

รู้จัก DeepSeek AI เอไอสัญชาติจีนที่กำลังมาแรงในตอนนี้

ต้องบอกว่าในปี 2025 นี้ แพลตฟอร์ม AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลายด้านได้อีกด้วย คุณสามารถใช้ AI ในการทำงานแทน อย่างเขียนบทความ สรุปข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ค้นหาข้อมูล เขี
50
th