
การทำ SEM คืออะไร ย่อมาจากอะไร และต่างจาก SEO อย่างไร
สำหรับคนที่ทำงานในด้านของธุรกิจ B2C (ธุรกิจที่ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง) คงจะคุ้นเคยกับการทำการตลาดผ่าน Social Media และแพลตฟอร์ม E-commerce เป็นอย่างดี แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามีอีกหนึ่งช่องทางที่ควรค่าแก่การลงไปทำการตลาดอย่างมาก เพราะช่องทางนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณน่าเชื่อถือ แข็งแกร่ง และเติบโตไปอีกระดับอย่างยั่งยืน นั่นก็คือการทำการตลาดผ่านเครื่องมือการค้นหา หรือ SEM นั่นเอง!
SEM ไม่เพียงแค่ส่งผลลัพธ์ในทางที่ดีให้แก่ธุรกิจ B2C เท่านั้น ในส่วนของธุรกิจ B2B (ธุรกิจที่ทำการซื้อขายกับบริษัทด้วยกันเอง) ก็มีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับคำว่า “SEM” ไม่รู้ว่า SEM คืออะไร อยากรู้ว่า SEM ย่อมาจากอะไร แตกต่างจากการทำ SEO ไหม ฯลฯ สามารถมาหาคำตอบในเรื่องเหล่านี้ที่บทความนี้กับ ANGA ได้เลย
SEM คืออะไร และ ย่อมาจากอะไร
SEM คือการทำการตลาดผ่าน Search Engine หรือเครื่องมือการค้นหา ยกตัวอย่างเช่น Google, Yahoo, Bing, Yandex หรืออื่น ๆ ที่มีช่องค้นหาให้เราใส่ข้อความเพื่อหาข้อมูลได้ ซึ่งในบทความนี้เราจะเน้นการทำการตลาดผ่าน Google อันเป็น Search Engine ที่มีผู้ใช้งานสูงที่สุดในโลก และในปีที่ 2023 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเองก็มีจำนวนการค้นหามากกว่า 2.5 พันล้านครั้งต่อวันเลยทีเดียว โดย SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing
เป้าหมายของการทำ SEM คืออะไร?
เป้าหมายของการทำ SEM คือการทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP : Search Engine Results Page) ในตำแหน่งที่ดีที่สุด ซึ่งตำแหน่งที่ดีที่สุดบน SERP คืออันดับ 1-10 เพราะเป็นตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดที่สุด แต่ SERP ก็ไม่ได้แสดงผลเพียงแค่ 10 อันดับเท่านั้น ยังไล่เรียงไปถึง 100 อันดับเลย แสดงว่าคุณจะต้องแข่งขันกับเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีอยู่นับไม่ถ้วน เพื่อให้ติดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหา
พื้นที่อันดับต้น ๆ บน SERP สำคัญขนาดไหน?
การทำ SEM จะอาศัยสิ่งที่เรียกว่า Keyword (คีย์เวิร์ด) มาเป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับการสร้างถนน ที่คอยนำทางให้ผู้ที่ค้นหา Keyword (ลูกค้า, กลุ่มเป้าหมาย, ผู้ใช้งานเว็บไซต์) เจอกับเว็บไซต์ของเรา ถ้าถามว่าพื้นที่อันดับต้น ๆ บน SERP มันสำคัญขนาดไหน? บอกได้เลยว่าสำคัญมาก เพราะมันเหมือนกับคุณได้เปิดหน้าร้านอยู่ในทำเลทองหรือย่านที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวัน ยิ่งเว็บไซต์ติดอันดับสูงมากแค่ไหน ก็แปลว่าจะมีคนเห็นมากเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าคุณมีโอกาสขายสินค้าได้มากกว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับอื่น ๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหา นี่แหละคือความสำคัญของการครองพื้นที่ดี ๆ บน Search Engine
Keyword คืออะไร?
Keyword คือคำ, วลี หรือประโยค ที่ผู้บริโภคใช้ในการค้นหาสิ่งต่าง ๆ บน Search Engine โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามลักษณะหรือจุดประสงค์ของการค้นหา เรามาดูตัวอย่างของ Keyword ในแต่ละธุรกิจกันดีกว่า
- ธุรกิจเอเจนซี่ : “รับทำ SEO”, “จ้างทำการตลาด”, “ยิงแอด”, “บริษัทรับทำ SEO” ฯลฯ
- ธุรกิจเครื่องนอน : “ฟูกที่นอน”, “เตียงนอนแบบไหนดี”, “หมอนขนเป็ด”, “ที่นอน 3.5 ฟุต” ฯลฯ
- ธุรกิจอสังหาฯ : “คอนโด ลาดพร้าว”, “ ซื้อบ้านมือสอง”, “คอนโด พร้อมอยู่”, “บ้านเดี่ยวสองชั้น” ฯลฯ
- ธุรกิจคลินิกความงาม : “ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี”, “ดริปวิตามิน”, “คลินิกทำจมูก”, “ดูดไขมันดีไหม” ฯลฯ
- ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ : “โซฟาปรับนอน”, “เฟอร์นิเจอร์ไม้”, “ตู้เสื้อผ้าติดผนังยี่ห้อไหนดี” ฯลฯ
Google SEM มีกี่ประเภท

Google SEM แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ SEO การทำการตลาดผ่าน Search Engine แบบ Organic และ PPC การทำการตลาดผ่าน Search Engine แบบเสียค่าใช้จ่าย (โฆษณา) ซึ่ง Google SEM ทั้ง 2 ประเภทนี้ ก็จะมีวิธีการและระยะเวลาในการแสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
SEO (Search Engine Optimization)
SEO คือ กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด และทำให้เว็บไซต์เป็นที่เตะตาต้องใจของ Google จนถูกนำไปจัดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหาแบบ Organic (Search Engine จัดอันดับให้เองตามธรรมชาติ โดยดูจากหลาย ๆ ปัจจัยบนเว็บไซต์ของเราประกอบกัน ไม่สามารถซื้อตำแหน่งให้แสดงผลได้)
จุดเด่นของการทำ SEO คือเห็นผลลัพธ์ในระยะยาว ไม่ต้องเสียเงินประมูล Keyword และจ่ายเงินซื้อพื้นที่โฆษณาแบบการทำ PPC แต่ก็ใช้ระยะเวลานานหลายเดือนกว่าจะติดอันดับ ทั้งนี้ ถ้าคุณอยากติดอันดับ SEO คุณจะต้องปรับปรุงองค์ประกอบทั้ง 3 ของ SEO ให้ออกมาดีที่สุด และจะต้องปรับปรุงเว็บไซต์ตามการอัปเดต Algorithm ที่ Google มีการปล่อยออกมาอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่ง SEO จะประกอบไปด้วย 3 สิ่งนี้
- On-Page SEO : การทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณเอง เช่น การเขียนบทความ SEO, เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ, Internal Linking, Title Tags, Meta Description, Alt Text และ Heading Tags เป็นต้น
- Off-Page SEO : การทำ SEO บนเว็บไซต์ภายนอกและทำการส่งพลังมาที่เว็บไซต์ของคุณ เช่น การทำ Backlink, การแชร์ลิงก์เว็บไซต์บน Social Media ฯลฯ
- Technical SEO : การทำ SEO ทางเทคนิค เช่น การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว, การวางโครงสร้างเว็บไซต์, การติดตั้งปลั๊กอิน, แก้ไขลิงก์เสีย, XML Sitemaps, Robot.txt และอื่น ๆ
PPC (Pay Per Click)
PPC คือ การจ่ายเงินค่าโฆษณาเพื่อทำให้เว็บไซต์ไปแสดงผลบน Search Engine โดยจะแสดงผลอยู่ด้านบนสุดเหนืออันดับแบบ Organic (SEO) และจะมีคำว่า “AD” หรือ “Sponsored” กำกับไว้ที่หน้า URL เว็บไซต์ ซึ่งการทำ PPC หรือ Pay Per Click ก็มีเรื่องของอันดับในการแสดงผลมาเกี่ยวข้องเช่นกัน ซึ่งคุณจะต้องทำการประมูล Keyword แข่งกับเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณได้พื้นที่แรกสุด (ค้นหาแล้วเจอทันที ไม่ต้องเลื่อนเมาส์ลงไปไกล ๆ ถึงจะเจอ)
ทั้งนี้ Keyword แต่ละคำที่ใช้ในการยิงโฆษณา PPC หรือ Google Ads นี้ จะมีราคาประมูลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการแข่งขันและปริมาณการค้นหา จุดเด่นของการทำ PPC คือไม่จำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์ที่มีหลาย ๆ หน้าแบบ SEO มีเพียง Landing Page ก็เพียงพอแล้ว, จ่ายเงินค่าโฆษณาแบบราย Click มีคนคลิกถึงจะจ่าย ถ้าไม่คลิกก็ไม่ต้องจ่าย, เห็นผลรวดเร็ว และได้ Conversion ทันใจ แต่ถ้าคุณไม่จ่ายเงิน โฆษณาก็จะหยุดวิ่ง และไม่เกิดผลลัพธ์ใด ๆ ต่อ
หมายเหตุ : เอเจนซี่แต่ละแห่งและแหล่งข้อมูลแต่ละที่ อาจจะเรียกการยิงโฆษณาผ่าน Google ด้วยคำต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากคำว่า PPC ได้ เช่น Google Ads, Paid Search หรือเรียกว่า SEM ไปเลยก็มีเช่นกัน ดังนั้น ถ้าคุณกำลังจะจ้างบริษัทไหนทำ SEM, SEO หรือ PPC คุณต้องสอบถามรายละเอียดตรงนี้ให้ดีก่อน ไม่เช่นนั้น อาจจะได้รับบริการที่ไม่ตรงกับที่ต้องการได้
สรุปบทความเกี่ยวกับ SEM คืออะไร
จบไปแล้วกับบทความเรื่อง “SEM คืออะไร ต่างจาก SEO อย่างไรบ้าง” แองก้าขอสรุปเนื้อหาในบทความให้คุณเข้าใจอีกครั้งแบบสั้น ๆ โดย Google SEM คือการทำการตลาดผ่านเครื่องมือการค้นหา เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในตำแหน่งต้น ๆ ของหน้าแสดงผลการค้นหา ซึ่ง SEM ประกอบไปด้วย SEO (Organic ไม่เสียเงินแลกอันดับ) และ PPC (Advertising เสียเงินแลกอันดับ) และสำหรับใครที่สงสัยว่า “SEM ต่างจาก SEO อย่างไร” คำตอบคือ SEO เป็นประเภทหนึ่งของ SEM นั่นเอง
บทความที่เกี่ยวข้อง

30 วิธีทำ SEO WordPress 2025 ที่ถูกต้อง จากประสบการณ์เอเจนซี่
