ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในแทบทุกวงการ รวมถึงการทำ SEO และการตลาดออนไลน์ด้วย เพราะการใช้ AI Tools ต่างๆ ช่วยให้เขียนบทความได้เร็วขึ้นแบบหลายเท่าตัว แต่คำถามต่อมาคือ “ให้ AI เขียนบทความ จะส่งผลเสียต่อการทำ SEO ในระยะยาวมั้ย?” แองก้าจะมาแชร์จากประสบการณ์ตรงว่า ทำยังไงให้ Google ไม่แบนคอนเทนต์ AI และยังทำให้ติดอันดับบนหน้าแรก Google ด้วย
คุณธีรวัชร เกียรติธีราภิวัฒน์ - SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) แชร์เกี่ยวกับการให้ AI เขียนบทความ SEO ว่า“ผมมองว่า AI คือผู้ช่วยที่ดีในการหาไอเดียและคิดโครงเรื่องว่า ถ้าเราอยากทำคอนเทนต์เรื่องนี้ ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์สูงสุด แต่สุดท้ายแล้ว การจะทำให้บทความนั้นมีคุณภาพและตอบโจทย์ Search Intent จริงๆ ยังไงก็ต้องผ่านมือคนที่มีความเชี่ยวชาญด้าน SEO และมีความรู้ในเรื่องที่เขียนอยู่ดีครับ เพราะ AI แค่ช่วยให้เราทำงานในบางส่วนได้เร็วขึ้น แต่คนทำคอนเทนต์เนี่ยแหละ ที่จะทำให้เนื้อหาออกมามีคุณภาพจริงๆ"
Google ยืนยัน การใช้ AI เขียนบทความไม่ได้ผิดกฎ
การใช้ AI ช่วยเขียนบทความไม่ได้ผิดกฎ Google และไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าจะใช้คนหรือใช้ AI เขียนด้วย แต่อยู่ที่คุณภาพของเนื้อหาเป็นหลัก ตามที่ Google Search Ceantral แนะนำว่าเนื้อหาจะต้องสร้างประโยชน์ให้ผู้อ่านจริงๆ และมีคุณภาพตามหลัก E-E-A-T หรือเป็นเนื้อหาที่ผ่านการเล่าเรื่องอย่างคนมีประสบการณ์ (Experience) มีความเชี่ยวชาญ (Expertise) มีความน่าเชื่อถือ (Authoritativeness) และทำให้ผู้อ่านเชื่อมั่นได้ (Trustworthiness) ซึ่งเป็นสิ่งที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพของเว็บไซต์มาโดยตลอด
สรุปแล้วบทความที่ใช้ AI เขียนก็ติดอันดับบนหน้าแรก Google ได้เหมือนกันครับ หากเนื้อหามีคุณภาพตามหลัก E-E-A-T ไม่ใช่แค่ใช้ AI สร้างเนื้อหามาเยอะๆ เพื่อหวังจะปั่นอันดับเท่านั้น
เว็บที่ใช้ AI เขียนบทความ มีการเติบโตของทราฟฟิกสูงกว่าเว็บที่ไม่ได้ใช้
Ahrefs เครื่องมือที่ชาว SEO รู้จักกันดี ได้ลองใช้ Ahrefs API เพื่อดูการเติบโตของ Organic Traffic โดเมนของผู้ตอบแบบสอบถาม พบข้อมูลที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งว่า
- เว็บไซต์ที่ใช้ AI ช่วยเขียนบทความ มีอัตราการเติบโตของทราฟฟิกเฉลี่ย 29.08% ต่อปี
- เว็บไซต์ที่ไม่ได้ใช้ AI มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 24.21% ต่อปี
จะเห็นว่ากลุ่มที่ใช้ AI เติบโตเร็วกว่าประมาณ 5% ส่วนหนึ่งอาจมาจากการผลิตคอนเทนต์ได้เยอะกว่า แต่ในฐานะนักการตลาดอย่างเรา ต้องมองให้ลึกกว่านั้นว่ามันอาจเป็นผลลัพธ์ระยะสั้นที่มาจากการเพิ่มปริมาณคอนเทนต์อย่างรวดเร็ว ซึ่งการจะติดอันดับบน Google ในระยะยาว เราไม่ได้วัดกันแค่ปริมาณ แต่หัวใจสำคัญคือคุณภาพของบทความนั่นเองครับ
วิธีใช้ AI ช่วยเขียนบทความ SEO ให้ติดอันดับบน Google
เมื่อ Google ไม่ได้แบนคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI ดังนั้น ถ้าเราใช้ AI อย่างถูกวิธีและสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้จริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แองก้าจึงได้สรุปวิธีการเขียนบทความโดยใช้ AI ยังไงให้ติดหน้าแรก Google และยังติดบน AI Overviews ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหาอีกด้วยตัวอย่างบทความของแองก้าที่ใช้ AI ช่วยคิดโครงเรื่องและปรับเนื้อหาบางส่วนที่เขียนไป เพื่อให้ผู้อ่านทุกกลุ่มเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น ซึ่งทีม SEO ของเรา ได้มีการตรวจสอบเนื้อหาให้เป็นไปตามหลัก E-E-A-T ทุกครั้งจนทำให้บทความ AI Search คืออะไร ของแองก้า ติดอันดับ 1 บน Google และ AI ยังเลือกไปแสดงผลบน AI Overviews เมื่อเสิร์ชคำว่า “AI Search คือ” อีกด้วยครับ

1. ใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้เขียนทั้งหมด
เราสามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วยได้ในหลายขั้นตอน ตั้งแต่ช่วยหาไอเดียบทความ, หาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง, วางโครงเรื่อง (Outline), ไปจนถึงการร่างเนื้อหาในเบื้องต้น และยังช่วยปรับโทนภาษาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย แต่ขั้นตอนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO และผู้ที่มีความรู้ในเรื่องที่เขียน หากต้องการให้บทความติดอันดับบน Google ในระยะยาว
สิ่งที่เราต้องทำคือ
- อ่านทบทวนและแก้ไข: ตรวจสอบความลื่นไหลของภาษา สำนวน และโครงสร้างโดยรวมที่ AI สร้างขึ้น ให้ดูเป็นธรรมชาติตามหลักภาษาไทย
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล: ยืนยันอีกครั้งว่าข้อมูล สถิติ หรือข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ AI นำเสนอ มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
- เพิ่มมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับเนื้อหานั้น: ใส่กรณีศึกษา (Case Study), ความคิดเห็นจากประสบการณ์ตรง, หรือข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่ AI ไม่สามารถให้ได้ เพื่อสร้างความแตกต่างและความน่าเชื่อถือ
- ปรับเนื้อหาให้ตรงตาม Search Intent: วิเคราะห์ว่าคนที่ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนี้ต้องการคำตอบแบบไหน แล้วปรับเนื้อหาให้ตอบคำถามนั้นได้ดีที่สุด
2. เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
ถึงแม้ AI ช่วยเขียนบทความให้ได้วันละ 10 ตัว แต่บทความคุณภาพเพียง 1 บทความ อาจสร้าง Organic Traffic และยอดขายให้ธุรกิจได้มากกว่า 10 บทความนั้นรวมกันก็ได้ครับ บทความที่ถูกอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์ของเราก็คล้ายกับคอนเทนต์บน Social Media ซึ่งมีตัวที่ตรงและไม่ตรงใจกับผู้อ่าน
สิ่งที่เราต้องทำคือ
- ตั้งเป้าหมายให้บทความดีกว่าคู่แข่ง: ก่อนจะเขียนลองดูว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1-5 เขาเขียนอะไรบ้าง แล้วใช้ AI ช่วยหาข้อมูลเพื่อสร้างบทความที่ดีกว่า, ละเอียดกว่า และมีประโยชน์มากกว่าของคู่แข่ง
- ใช้ AI ช่วยพัฒนาบทความเก่าๆ: ลองใช้ AI ช่วยวิเคราะห์บทความเก่าๆ ของเราว่ายังขาดหรือเพิ่มส่วนไหนได้อีกบ้าง เพื่อให้เนื้อหาครอบคลุมสิ่งที่ผู้ใช้อยากอ่าน และเพื่ออัปเดตเนื้อหาให้มีความสดใหม่ เป็นปัจจุบันมากที่สุด
3. ใส่ประสบการณ์ตรงลงไปในบทความ
นี่คือสิ่งที่ AI ทำแทนเราไม่ได้แน่นอนครับ และ Google กำลังให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์ตรงมากขึ้นเรื่อยๆ บอกเลยว่าการทำ SEO ในยุคนี้ ใครก็อยากติด AI Overviews การใส่ประสบการณ์ส่วนตัวลงไป เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้คอนเทนต์ถูก AI เลือกไปแสดงผลบนสุดของหน้าการค้นหา
สิ่งที่เราต้องทำคือ
- ใส่ Case Study ที่มีข้อมูลจริงและผลลัพธ์ที่วัดผลได้
- ยกตัวอย่างการทำงานจริง
- บทสัมภาษณ์ บทรีวิวที่น่าเชื่อถือ
- ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในองค์กรของคุณ
4. สร้างคอนเทนต์ตามหลัก SEO On-page
ต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหน แต่ถ้าโครงสร้างเว็บไซต์ทั้งหมดไม่เป็นไปตามหลัก SEO On-page ก็ยากที่จะติดอันดับบน Google ได้เหมือนกันครับ
สิ่งที่เราต้องทำคือ
- ตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานให้ครบ: Title, Meta Description, การใช้ Heading (H1, H2, H3) ที่ถูกต้อง, และการทำ Internal Link ไปยังบทความที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์
- อย่าลืมใส่ Schema Markup: Schema Markup เป็นชุดโค้ดที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นป้ายกำกับเพื่อบอก Google ว่า "ข้อมูลส่วนนี้คืออะไร" ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาเราได้ง่ายขึ้น เช่น FAQ Schema เนื้อหาส่วนนี้เกี่ยวกับคำถามที่พบบ่อย, How-To Schema เนื้อหาส่วนนี้เกี่ยวกับวิธีการทำสิ่งต่างๆ
- คำนึงถึง Multi-modal: คำนึงถึงองค์ประกอบที่หลากหลายในหน้าเพจ ไม่ใช่มีแค่ตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นภาพประกอบ วีดีโอที่เกี่ยวข้อง ภาพอินโฟกราฟฟิก รวมไปถึงไฟล์มีเดียอื่นๆ ที่ช่วยให้เนื้อหาสมบูรณ์ขึ้น และตอบโจทย์สิ่งที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราตามหา
ข้อดีของการใช้ AI ช่วยเขียนบทความ
- สร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น: AI จะช่วยร่างเนื้อหาส่วนต่างๆ เสร็จภายในไม่กี่นาที จึงช่วยลดเวลาในการคิดคำหรือเรียบเรียงประโยคสวยๆ ให้เราใช้เวลาไปกับการตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหาแทน
- ช่วยหาไอเดียและมุมมองใหม่ๆ: AI จะช่วยระดมไอเดีย, คิดหัวข้อที่น่าสนใจ, หรือเสนอแนะมุมมองที่แตกต่างออกไป เพื่อทำให้เนื้อหาของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
- ช่วยหา LSI Keywords: นี่คือข้อได้เปรียบสำคัญของการใช้ AI ช่วยเขียนบทความ LSI Keywords คือคีย์เวิร์ดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก AI จะช่วยวิเคราะห์และเสนอคำที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใส่ในบทความอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้งว่าบทความนี้ครอบคลุมหัวข้ออะไรบ้าง
- ช่วยสะกดคำและเกลาภาษา: AI ยังเป็นเครื่องมือช่วยตรวจคำผิด, แก้ไขไวยากรณ์, และเสนอคำหรือประโยคที่ดีกว่าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บทความอ่านง่ายและมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ข้อเสียและข้อควรระวังในการใช้ AI เขียนบทความ
- ขาดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ: AI ไม่เคยมีประสบการณ์ (Experience) หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Expertise) ในเรื่องนั้นจริงๆ เนื้อหาที่ได้จึงขาดข้อมูลเชิงลึก, การอธิบายจากมุมมองเฉพาะตัว, หรือกรณีศึกษาที่มาจากประสบการณ์ตรง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของหลักการ E-E-A-T ที่ Google ให้ความสำคัญ
- ข้อมูลอาจไม่อัปเดตหรือผิดพลาด: AI สร้างเนื้อหาจากข้อมูลที่มันเรียนรู้มา ซึ่งอาจไม่ใช่ข้อมูลล่าสุดเสมอไป และบางครั้ง AI อาจสร้างข้อมูลขึ้นมาเองได้ ดังนั้น การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้งจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นหากใช้ AI เขียน Content
- ขาดน้ำเสียงและเอกลักษณ์ของแบรนด์: หากใช้ AI เขียน Content โดยไม่ผ่านการแก้ไขจากคนจริงๆ อีกรอบ อาจทำให้ภาษาดูไม่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างที่ต้องการ
แนะนำเครื่องมือ AI ช่วยเขียนบทความที่นิยมใช้
1. ChatGPT (by OpenAI)
เหมาะกับคอนเทนต์ประเภทไหน?
- บทความ Blog ทั่วไป: เหมาะมากสำหรับการร่างบทความแรกในหัวข้อที่ไม่ซับซ้อนมาก ช่วยให้มีโครงเรื่องและเนื้อหาในเบื้องต้นไปอธิบายต่อยอดได้เร็วขึ้น
- คอนเทนต์โซเชียลมีเดีย: คิดแคปชั่น, ไอเดียโพสต์, หรือสคริปต์วิดีโอสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็วและสร้างสรรค์
- อีเมลการตลาด: ช่วยร่างหัวข้ออีเมล หรือเนื้อหาโปรโมชั่นที่ต้องการความน่าสนใจ
- การระดมสมอง: เหมาะสำหรับการโยนไอเดียกว้างๆ แล้วให้ ChatGPT ช่วยแตกความคิดออกมาเป็นหัวข้อย่อยๆ ได้อย่างน่าสนใจ
จุดเด่น: มีความคิดสร้างสรรค์สูง ปรับเปลี่ยนโทนการเขียนได้หลากหลายเหมือนคุยกับคนจริงๆ แต่ข้อมูลอาจไม่ Real-time เท่า Gemini ต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเสมอ
2. Gemini (by Google)
เหมาะกับคอนเทนต์ประเภทไหน?
- บทความที่ต้องการข้อมูลล่าสุด: เช่น ข่าวสาร, อัปเดตเทรนด์, หรือบทความที่ต้องอ้างอิงข้อมูลในปัจจุบัน เพราะ Gemini สามารถดึงข้อมูลจาก Google มาใช้ได้ทันที
- สรุปและวิเคราะห์ข้อมูล: สามารถสรุปเนื้อหาจาก Google Docs, อีเมลใน Gmail หรือข้อมูลจาก Google Sheets เพื่อนำมาสร้างเป็นคอนเทนต์ได้ (ในเวอร์ชันที่เชื่อมต่อกับ Workspace)
- คอนเทนต์ท่องเที่ยวและการวางแผน: วางแผนการเดินทาง, แนะนำร้านอาหาร, หรือเขียนบทความรีวิวสถานที่ต่างๆ โดยใช้ข้อมูลล่าสุดจาก Google Maps
- บทความเชิงเปรียบเทียบ: เช่น เปรียบเทียบสินค้า, บริการ หรือสถิติต่างๆ ที่ต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
จุดเด่น: เชื่อมต่อกับบริการของ Google ทำให้ได้ข้อมูลที่สดใหม่และแม่นยำสูง เก่งในเรื่องการให้เหตุผลและสรุปข้อมูล
3. Claude.ai (by Anthropic)
เหมาะกับคอนเทนต์ประเภทไหน?
- สรุปเอกสารยาวๆ: จุดแข็งที่สุดของ Claude คือสามารถอ่านและสรุปไฟล์เอกสารขนาดยาว เช่น PDF รายงานวิจัย, หนังสือ E-book ได้อย่างแม่นยำ เหมาะกับการนำข้อมูลเชิงลึกมาสร้างเป็นบทความ
- คอนเทนต์เชิงวิชาการ: ใช้เป็น AI เขียน Content ที่ต้องการความถูกต้องสูง เช่น เนื้อหาทางกฎหมาย, การเงิน, หรือวิทยาศาสตร์
- การปรับแก้และเรียบเรียง: หากคุณมีบทความเก่าที่ยาวและซับซ้อน สามารถโยนให้ Claude ช่วยเรียบเรียงภาษาใหม่ให้สละสลวยและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
- การเขียนที่ต้องการความเป็นกลาง: Claude มักจะให้คำตอบที่มีความเป็นกลาง เหมาะกับคอนเทนต์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง
จุดเด่น: AI แต่ละตัวจะมีขนาด Context Window หรือขนาดความจำที่ไม่เท่ากัน ซึ่ง Claude.ai มี Context Window ใหญ่มาก ทำให้เข้าใจและจดจำเนื้อหาที่เราป้อนเข้าไปได้เยอะ จึงเหมาะกับการทำงานกับข้อมูลจำนวนมาก
ใช้ AI ช่วยเขียนบทความถูกวิธี ไม่ส่งผลเสียต่อการทำ SEO
ย้ำอีกครั้งว่า Google ไม่ได้ลงโทษหรือแบนเว็บไซต์เพียงเพราะใช้ AI เขียน Content แต่จะลงโทษ Low-quality content หรือคอนเทนต์คุณภาพต่ำต่างหาก การใช้ AI ปั่นบทความแล้วเผยแพร่โดยไม่มีการกลั่นกรองจากผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็น
- Thin Content: เนื้อหาสั้นๆ ที่ไม่มีประโยชน์กับผู้อ่านเลย
- Keyword Stuffing: การยัดคีย์เวิร์ดเข้าไปในบทความมากเกินไปจนอ่านไม่เป็นธรรมชาติ
- Lack of E-E-A-T: เนื้อหาขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีประสบการณ์จริงมายืนยัน
สุดท้ายแล้ว อย่าลืมว่าสัญญาณสำคัญที่บอก Google ว่าคอนเทนต์ของเรามีคุณภาพหรือไม่ ก็คือพฤติกรรมของผู้ใช้นั่นเองครับ ทั้งค่า CTR, Dwell Time และ Bounce Rate ถ้าคนเข้ามาแล้วกดออกทันทีเพราะเนื้อหาไม่ดี ต่อให้ใช้ทางลัดหรือเทคนิคอะไรมาเสริม อันดับก็ร่วงอยู่ดีครับ ดังนั้น ผมแนะนำให้ใช้ AI เป็นผู้ช่วย และให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญที่คอยตรวจสอบคุณภาพการทำงานของ AI เพื่อให้บทความ SEO ติดหน้าแรก Google ได้ในระยะยาวครับ