ถ้าคุณเคยลองคุยเล่นกับ ChatGPT, ใช้ Gemini ช่วยหาไอเดีย หรือเริ่มเห็น "กล่องคำตอบ" จาก AI (AI Overviews) ขึ้นมาสรุปข้อมูลให้บนหน้าค้นหาของ Google นั่นหมายความว่าคุณได้สัมผัสกับผลงานของ LLM (Large Language Model) เข้าแล้วโดยไม่รู้ตัว

LLM ถือเป็นเทคโนโลยีหลักของยุคนี้ ที่เข้ามาเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนค้นหาข้อมูลและวิธีที่ Google ใช้จัดอันดับเนื้อหาไปอย่างสิ้นเชิง ในฐานะเจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาด การทำความเข้าใจว่า LLM คืออะไรใน SEO จึงเป็นสิ่งจำเป็น วันนี้ ANGA (แองก้า) จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง พร้อมฟังความคิดเห็นและมุมมองจาก SEO Specialist ของเรากัน

LLM คืออะไร (ฉบับนักการตลาด)

LLM คืออะไร

หากจะให้อธิบายแบบง่ายที่สุด ลองนึกภาพว่า LLM หรือ Large Language Model เป็นเหมือน สมองกลอัจฉริยะที่ได้อ่านหนังสือและบทความทั้งหมดบนโลกอินเทอร์เน็ต มันไม่ใช่แค่โปรแกรมที่จำข้อมูลแล้วส่งออกมา แต่ LLM ถูกฝึกฝนให้สามารถทำความเข้าใจบริบท ความหมายแฝง ไวยากรณ์ และความเชื่อมโยงของคำต่าง ๆ จนสามารถวิเคราะห์ สรุปความ สร้างสรรค์บทสนทนา หรือเขียนเนื้อหาใหม่ ๆ ที่มีความลื่นไหลและเป็นธรรมชาติได้เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง นี่คือเหตุผลที่ทำให้ AI อย่าง ChatGPT หรือ Gemini สามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนและดูเหมือน "เข้าใจ" สิ่งที่เราต้องการจะสื่อสารได้

โดย เกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน - Managing Director at ANGA (คลิกประวัติ)

ถ้าคนทำ SEO มานานอาจจะไม่เคยรู้จักคำว่า LLM เพราะคำนี้ค่อนข้าง Technical แต่ถ้าพูดง่าย ๆ มันคือโมเดลที่ AI ใช้ในการเรียนรู้ภาษา บริบท เนื้อหาขนาดใหญ่ เพื่อปรับปรุงให้ AI แต่ละตัวมีคลังความรู้และคาแรคเตอร์ของตัวเองเวลา Generate คำตอบออกมา ก็น่าสนใจที่ว่าคนทำ SEO จะต้องเข้าใจด้วยว่า LLM ของแต่ละ AI มีลักษณะการทำความเข้าใจเนื้อหายังไง

ทำไม LLM ถึงกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับ SEO?

จากประสบการณ์ด้าน SEO ของ ANGA ที่เราดูธุรกิจมามากกว่า 300 เว็บไซต์ เรามองว่าการมาของ LLM ไม่ใช่แค่การอัปเดตอัลกอริทึมทั่วไป แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงรากฐานของการค้นหาข้อมูล ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักทำ SEO และทุกธุรกิจ ดังนี้

  • จาก Search Engine สู่ Answer Engine : พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทุกวันนี้คนต้องการ "คำตอบ" ที่รวดเร็วและดีที่สุด ไม่ใช่แค่รายชื่อลิงก์ให้ไปเลือกอ่านต่ออีกต่อไป LLM เข้ามาตอบโจทย์นี้โดยตรงด้วยการสรุปคำตอบให้เลยบนหน้าค้นหา
  • AI คือผู้ใช้งานคนใหม่ : ตอนนี้เว็บไซต์ของคุณไม่ได้มีแค่ลูกค้าที่เป็นมนุษย์เข้ามาเยี่ยมชม แต่ยังมี LLM ของ Google (Gemini) กำลังเข้ามาอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด เพื่อประเมินคุณภาพและนำข้อมูลไปสร้างเป็นคำตอบใน AI Search ดังนั้น เราจึงต้องปรับเว็บให้ AI อ่านแล้วเข้าใจง่าย ด้วย
  • โอกาสใหม่ของแบรนด์ : เมื่อ AI ต้องการหาข้อมูลที่ดีที่สุดไปตอบคำถาม นี่คือโอกาสทองของแบรนด์ที่ต้องหาวิธีทำยังไงให้ติด AI Overviews จากการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงจนได้รับความไว้วางใจและถูก AI เลือกไปอ้างอิง เพื่อให้แบรนด์ของคุณกลายเป็นแหล่งข้อมูลหลัก ในสายตา AI 

เปรียบเทียบชัด ๆ SEO แบบเดิม vs. การทำ SEO ในยุค LLM

เพื่อให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น ลองดูตารางเปรียบเทียบวิธีการทำ SEO ที่นักการตลาดต้องปรับตัว

มิติการเปรียบเทียบSEO แบบเดิม (Traditional SEO)การทำ SEO ในยุค LLM
เป้าหมายหลักติดอันดับให้สูงที่สุดบน Blue Link เพื่อให้คนคลิกเข้าเว็บทำให้เนื้อหาของเราถูก AI เลือกไปอ้างอิงใน AI-generated answer
การโฟกัสKeywords แบบเจาะจงและตรงตัวบริบท (Context) และกลุ่มหัวข้อ (Topic) ที่ครอบคลุม
รูปแบบคอนเทนต์บทความยาวๆ ที่ครอบคลุมทุกอย่าง (Long-form)คำตอบที่กระชับ ตรงประเด็น และข้อมูลเชิงลึกเฉพาะทาง
การวัดผลอันดับ (Ranking), ปริมาณผู้เข้าชม (Traffic), และยอดคลิก (Clicks)การถูกกล่าวถึง (Brand Mentions) และสัดส่วนการมองเห็น (Share of Voice)

3 กลยุทธ์สำคัญ ปรับคอนเทนต์ให้โดนใจ LLM จาก ANGA

เมื่อเข้าใจภาพรวมแล้ว คำถามถัดมาคือ แล้วเราต้องทำอย่างไร? จากประสบการณ์ที่ ANGA ได้ปรับกลยุทธ์ SEO ให้กับลูกค้ากว่า 300 แบรนด์ เราสรุป 3 กลยุทธ์สำคัญที่ใช้ได้ผลจริง ได้แก่

1. สร้าง Authority ด้วย E-E-A-T และข้อมูลที่ไม่เหมือนใคร

ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้ AI สร้างคอนเทนต์ได้ สิ่งที่จะทำให้คุณโดดเด่นคือหลักการ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) เพราะ LLM ถูกออกแบบมาให้มองหาสัญญาณเหล่านี้เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือ

เคล็ดลับที่ ANGA พบคือ แทนที่จะเขียนเนื้อหาทั่ว ๆ ไป ให้ใส่ประสบการณ์และข้อมูลเฉพาะของแบรนด์คุณเข้าไป ตัวอย่างเช่น

  • แบบเดิม : การเลือกคลินิกทำฟันเป็นสิ่งสำคัญ
  • แบบใหม่ (E-E-A-T) : จากเคสคนไข้ที่ ANGA ดูแลด้านการตลาดให้ พบว่าคลินิกที่ระบุชื่อและประสบการณ์ของทันตแพทย์อย่างชัดเจน มีอัตราการตัดสินใจนัดหมายสูงกว่าถึง 40% เพราะมันสร้างความน่าเชื่อถือได้ทันที

2. จัดโครงสร้างให้ AI เข้าใจง่ายด้วยภาษาธรรมชาติ

LLM ชอบเนื้อหาที่เขียนเหมือนมนุษย์คุยกัน และมีโครงสร้างที่ชัดเจน อ่านง่าย การจัดวางเนื้อหาแบบคำถาม-คำตอบ (Q&A Format) จึงเป็นมิตรกับ AI อย่างมาก นอกจากนี้ การใช้ Structured Data (Schema Markup) ก็เหมือนกับการติดป้ายบอก AI ว่าข้อมูลส่วนนี้คืออะไร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นมาตรฐานใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น หลายคนเริ่มพูดถึง LLMs.txt คืออะไร ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างไฟล์เพื่อบอกทิศทางให้ AI เข้ามาเก็บข้อมูลโดยเฉพาะ

3. คิดแบบ Topic Cluster ครอบคลุมทุกความสงสัยของลูกค้า

เลิกคิดถึงการทำ SEO แค่สำหรับคีย์เวิร์ดคำเดียว แล้วหันมาสร้างกลุ่มคอนเทนต์ (Topic Cluster) ที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของเรื่องนั้น ๆ เพื่อแสดงให้ AI เห็นว่าคุณคือ "ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง"

ตัวอย่างเช่น  หากคุณขาย "ประกันสุขภาพ"

  • Pillar Page (หน้าหลัก) : ประกันสุขภาพคืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์ 2025
  • Cluster Content (หน้าที่เกี่ยวข้อง) :
    • วิธีเลือกประกันสุขภาพสำหรับฟรีแลนซ์
    • เปรียบเทียบประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายกับแบบแยกค่าใช้จ่าย
    • ลดหย่อนภาษีด้วยประกันสุขภาพทำอย่างไร?
    • 5 โรคร้ายแรงที่ประกันสุขภาพส่วนใหญ่ไม่คุ้มครอง

ข้อควรระวังที่พบบ่อยในการใช้ LLM ทำ SEO

ข้อผิดพลาดที่เราเคยเจอคือ หลายธุรกิจตื่นเต้นกับความสามารถของ LLM จนมองข้ามกับดักสำคัญบางอย่างไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อแบรนด์ในระยะยาว

1. Content without a Soul (คอนเทนต์ไร้วิญญาณ)

การพึ่งพา AI ให้เขียนบทความ 100% อาจทำให้ได้เนื้อหาที่ถูกต้องตามหลักภาษา แต่ขาดมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Perspective) และน้ำเสียงของแบรนด์ (Brand Voice) ไป สุดท้ายคอนเทนต์ของคุณก็จะดูเหมือนกับของคู่แข่งอีกนับสิบราย

2. AI Hallucination (ข้อมูลผิดพลาดที่ AI สร้างขึ้น)

ต้องจำไว้เสมอว่า LLM อาจสร้างข้อมูลที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่มีอยู่จริง (เรียกว่า Hallucination) ได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็น YMYL (Your Money or Your Life) เช่น การเงิน, สุขภาพ การมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์คอยตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-check) ก่อนเผยแพร่จึงเป็นขั้นตอนที่ห้ามละเลยเด็ดขาด

3. การลืมไปว่าเราเขียนให้ คนอ่าน ไม่ใช่ให้ AI อ่าน

เป้าหมายสูงสุดของการทำคอนเทนต์และ SEO คือการมอบประสบการณ์ที่ดีและแก้ปัญหาให้กับลูกค้า ที่เป็นมนุษย์ การหมกมุ่นกับการปรับแต่งเนื้อหาเพื่อเอาใจ AI มากเกินไปจนลืมผู้อ่านที่เป็นคน คือความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. LLM จะเข้ามาแทนที่ SEO ทั้งหมดเลยไหม?

ไม่ใช่การแทนที่ แต่เป็นการต่อยอดและทำงานร่วมกัน พื้นฐานของ SEO ที่แข็งแกร่ง เช่น Technical SEO, การทำความเข้าใจ User Intent ยังคงเป็นรากฐานที่สำคัญ ส่วนการทำ SEO ในยุค LLM คือการปรับกลยุทธ์คอนเทนต์บนรากฐานนั้นให้เฉียบคมยิ่งขึ้น

2. ธุรกิจขนาดเล็กจะแข่งขันกับบริษัทใหญ่ในยุค LLM ได้อย่างไร?

นี่คือโอกาสสำคัญ ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และสร้างคอนเทนต์ที่แสดงถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจริง (E-E-A-T) ได้อย่างลึกซึ้งและจริงใจกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ LLM กำลังมองหาและแบรนด์ใหญ่อาจทำได้ยากกว่า

3. เราจะวัดผลความสำเร็จจากการทำ SEO เพื่อ LLM ได้อย่างไร?

ต้องเปลี่ยนมุมมองจากการวัดผลแค่ยอดคลิก ไปสู่การวัด การมองเห็น (Visibility) มากขึ้น เช่น การติดตามว่าแบรนด์หรือเนื้อหาของเราถูกอ้างอิงใน AI Overviews บ่อยแค่ไหน (Share of Voice), การเพิ่มขึ้นของคำค้นหาที่เป็นชื่อแบรนด์ (Branded Search) หลังจากที่ผู้ใช้เห็นคำตอบจากเรา

บทสรุป

การเข้ามาของ LLM คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ Search Engine ธุรกิจที่ไม่ยอมปรับตัวอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่สำหรับธุรกิจที่พร้อมเรียนรู้และมองเห็นโอกาส นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างความได้เปรียบและก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

การทำความเข้าใจว่า LLM คืออะไร และการปรับกลยุทธ์คอนเทนต์ให้สอดคล้องกับยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การทำเพื่ออันดับที่ดีขึ้น แต่คือการลงทุนเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาของทั้งผู้ใช้งานและ AI ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืน

หากคุณต้องการวางกลยุทธ์ SEO และคอนเทนต์ที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยุคของ AI Search สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ LINE @ANGA หรือโทร 080-054-9199 เราพร้อมที่จะพาธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จบทใหม่