เริ่มจากอะไรดี? Facebook Ads หรือ Google Ads
การยิงโฆษณา (Advertising) อย่าง Facebook Ads หรือ Google Ads เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่หลาย ๆ ธุรกิจหันมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะการยิงโฆษณาออนไลน์ช่วยทำให้เกิด “ยอดขาย” และ “กำไร” ได้มหาศาล ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องการมากที่สุดจากการทำธุรกิจนั่นเอง หากไม่มียอดขายก็จะไม่เกิดกำไร หากไม่มีกำไรก็จะไม่มีเงินมาพัฒนาธุรกิจให้เติบโตและเดินหน้าต่อไปได้ มาทำความเข้าใจเรื่องการยิงโฆษณาออนไลน์ และหาคำตอบว่าจะเริ่มต้นทำอะไรก่อนดีระหว่าง Facebook Ads หรือ Google Ad ที่บทความนี้
ทำความรู้จักการยิง Ads หรือโฆษณาออนไลน์
การยิงโฆษณาออนไลน์คือการโปรโมตธุรกิจ สินค้า หรือบริการให้เป็นที่รู้จักและกระตุ้นให้เกิดยอดขาย โดยการซื้อพื้นที่โฆษณาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ เช่น Google Ads, TikTok Ads, Facebook Ads, YouTube Ads, Instagram Ads ฯลฯ ซึ่งมีอยู่หลากหลายแพลตฟอร์มมาก โดยแต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีกลุ่มผู้ใช้งาน, รูปแบบของโฆษณา, จุดเด่น, ข้อดี ข้อเสีย และเหมาะกับธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป ส่วนการโพสต์คอนเทนต์หรือเนื้อหาใด ๆ ในช่องทางของตัวเอง โดยไม่ได้จ่ายเงินให้แพลตฟอร์ม จะเรียกว่าการตลาดแบบ Organic ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นการโฆษณาแต่อย่างใด
การยิงโฆษณา Facebook Ads คืออะไร
Facebook Ads คือการซื้อพื้นที่โฆษณาผ่านแพลตฟอร์ม Facebook ซึ่งเป็น Social Media ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี 2004 ก็ได้ขยับขยายฐานผู้ใช้งานออกไปทั่วโลก จนกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานสูงที่สุด
Facebook Ads เหมาะกับธุรกิจแบบไหน
Facebook Ads เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ในทุกอุตสาหกรรม อย่างธุรกิจการค้าปลีก, ธุรกิจด้านบริการ, คลินิกเสริมความงาม, ธุรกิจ e-Commerce, ธุรกิจร้านอาหาร หรือธุรกิจการศึกษา ที่มีเป้าหมายในการสร้าง Brand Awareness ปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง, กระตุ้นยอดขายทางแพลตฟอร์ม Facebook และธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ใน Facebook
ประเภทของโฆษณา Facebook Ads
- Image Ads : โฆษณารูปภาพเดี่ยวที่คุณสามารถพบเห็นได้ทุกวันผ่านหน้า Feed
- Video Ads : การยิงโฆษณาด้วยวิดีโอ เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
- Carousel Ads : โฆษณาที่ประกอบไปด้วยรูปภาพหลาย ๆ รูปในโพสต์เดียว
- Collection Ads : โฆษณาแบบแค็ตตาล็อก ที่เริ่มต้นด้วยวิดีโอหรือภาพปก และตามด้วยภาพสินค้าหลาย ๆ ภาพ
- Dynamic Ads : การโฆษณาที่กลุ่มเป้าหมายเคยเข้าชมอีกตั้ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ
- Lead Ads : โฆษณาที่มุ่งเน้นการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ที่มีแนวโน้มในการเป็นกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของคุณมากที่สุด อาทิ การเก็บข้อมูลติดต่อ อีเมล หรือชื่อ เป็นต้น
- Stories Ads : โฆษณาที่แสดงผลผ่าน Stories บน Facebook
- Instant Experience : โฆษณาแบบเต็มหน้าจอที่คุณสามารถปรับแต่งองค์ประกอบ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่กลุ่มเป้าหมายได้ เช่น รูปภาพ วิดีโอ ข้อความ หรือ ปุ่ม CTA (Call to Action)
วิธีวัดผลลัพธ์ของ Facebook Ads
- ROAS (Return on Ads Spend) : รายรับที่ได้จากการซื้อโฆษณา
- Reach : จำนวนผู้ใช้งานที่มองเห็นโฆษณา Facebook Ads
- Impressions : จำนวนครั้งที่มีคนมองเห็นโฆษณา Facebook Ads
- Click Through Rate : อัตราการคลิกต่อการมองเห็นโฆษณา
- Cost Per Click : ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อ 1 คลิก
- Cost Per Conversion : ค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่าย ต่อ 1 Conversion
- Conversion Rate : เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานที่มองเห็นโฆษณาของคุณ ได้กระทำสิ่งต่าง ๆ จนเกิดเป็น Conversion
กลยุทธ์การทำ Facebook Ads
- ออกแบบรูปภาพให้น่าสนใจและดึงดูดสายตา
- ออกแบบวิดีโอให้น่าติดตามตั้งแต่ 3 วินาทีแรก
- ศึกษาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายว่าพวกเขาต้องการอะไร
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ละเอียดที่สุด เพื่อความแม่นยำ
- ใช้ข้อความประกอบที่สั้น กระชับ และวางในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย
- กำหนดเป้าหมายของแคมเปญให้ชัดเจนว่าต้องการผลลัพธ์ในด้านใด
- เลือกประเภทของโฆษณา Facebook Ads ให้เหมาะกับแคมเปญ
- ติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องและปรับแต่งแคมเปญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา
การยิงโฆษณา Google Ads คืออะไร
Google Ads คือเครื่องมือโฆษณาของ Google หรือ Search Engine เจ้าดังที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว โดยจะทำงานแบบ Pay Per Click (PPC) เสียเงินตามยอดคลิกที่เกิดขึ้นจริง หากกลุ่มเป้าหมายมองเห็นโฆษณาแต่ไม่ได้คลิก ผู้ลงโฆษณาก็จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการยิงโฆษณาได้ ปรับแต่งแคมเปญได้อย่างอิสระ รวมทั้งยังมีรูปแบบและประเภทของโฆษณาให้เลือกมากมายตามความต้องการ
Google Ads เหมาะกับธุรกิจใด
Google Ads เหมาะกับทุกประเภท ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็ก-ใหญ่, ธุรกิจ B2B (Business to Business), ธุรกิจ B2C (Business to Customer) และธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ที่ต้องการให้ธุรกิจของตัวเองเข้าไปอยู่ในสายตาของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อทำ Lead Generation, เพิ่ม Website Traffic, สร้าง Brand Awareness, สร้าง Conversion, ผลักดันยอดขาย ฯลฯ
ประเภทของโฆษณา Google Ads
- Google Search Ads : การยิงโฆษณาผ่าน Search Engine ด้วยการใช้เว็บไซต์ หรือ Landing Page
- Google Display Network : การยิงโฆษณาไปยังช่องทางต่าง ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของ Google
- Google Shopping : การโฆษณาสินค้าแบบ Shopping Card ที่มีการแสดงรายละเอียด รีวิว ราคา และผู้จัดจำหน่ายของสินค้าด้วย
- Google Video Ads : การยิงโฆษณาในรูปแบบวิดีโอ หรือ YouTube Ads
- Google Discovery Ads : โฆษณาที่แสดงผลผ่าน Discover Feed ของ Google
- Performance Max : แคมเปญโฆษณารูปแบบใหม่ที่จะทำให้โฆษณาของคุณไปแสดงผลตามช่องทาง (Placements) ต่าง ๆ ของ Google
- Google Smart Campaigns : แคมเปญโฆษณาแบบอัจฉริยะที่ใช้ AI ข้ามาช่วยคุณเลือกเป้าหมาย กำหนดเวลา หรืองบประมาณแบบอัตโนมัติ พื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
วิธีวัดผลลัพธ์ของ Google Ads
- Cost Per Click : ค่าโฆษณาที่ต้องจ่ายเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณา 1 ครั้ง
- Click Through Rate : อัตราการคลิกต่อการมองเห็นโฆษณา
- Cost Per Conversion : ค่าใช้จ่ายของโฆษณาต่อการได้มา 1 Conversion
- Conversion Rate : อัตราการแปลงของผู้ใช้งาน หรือเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานที่ทำ Conversion ตามที่คุณต้องการ
- Click : จำนวนผู้ใช้ที่คลิกโฆษณา Google Ads
- Impression : จำนวนครั้งที่มีคนเห็นโฆษณา
กลยุทธ์การทำ Google Ads
- เลือกคีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาจริง มีปริมาณการค้นหาสูง และสามารถสร้างยอดขายได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ Broad Match Keyword เพราะไม่ค่อยแม่นยำเท่าไหร่นัก
- ควรใช้ Phrase Match Keyword หรือ Exact Match Keyword แทน
- ติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงประสิทธิภาพของ Landing Page อยู่เสมอ
- เขียน Headline ให้น่าสนใจ เน้นคำที่เป็น Pain Point หรือประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
- ทำ Negative Keyword เพื่อคัดกรองคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ หรือธุรกิจออกไป
- ใช้กลยุทธ์การเสนอราคาอัตโนมัติด้วย AI ของ Google หรือ Smart Bidding
สรุป ควรเริ่มต้นจากอะไรดี Facebook Ads หรือ Google Ads
สำหรับเจ้าของธุรกิจที่กำลังจะหันมาลุยตลาดออนไลน์และเกิดคำถามว่า “Facebook Ads หรือ Google Ads ควรเริ่มต้นยิงโฆษณาผ่านช่องทางไหนก่อน?” จริง ๆ คุณจะเริ่มต้นยิงโฆษณาด้วยช่องทางใดก่อนก็ได้ ไม่มีผิด แต่การเลือกช่องทางที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายของธุรกิจได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งแองก้า (ANGA) ขอแนะนำว่าสำหรับธุรกิจค้าปลีกแบบซื้อมาขายไป หรือธุรกิจ B2C แนะนำให้เริ่มยิงโฆษณา Facebook Ads ก่อน เพราะไม่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือมากนัก เน้นไปที่การสร้างการรับรู้และดึงดูดความสนใจ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นน้อย เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้าง Landing Page แบบ Google Ads ด้วย ส่วนธุรกิจ B2B ที่ต้องใช้ความน่าเชื่อถือและต้องอาศัยระยะเวลาในการตัดสินใจนาน ๆ แนะนำให้เริ่มต้นจาก Google Ads ก่อน แล้วค่อยขยับขยายมาสร้างการรับรู้ผ่านการทำ Facebook Ads ทีหลังก็ย่อมได้