เราอยู่ในยุคที่ AI Search เข้ามามีบทบาทสำคัญบนหน้าผลการค้นหา (SERP) โดยเฉพาะการมาของ AI Overviews (AIO) ที่แสดงผลอยู่บนสุดและอยู่เหนืออันดับ 1 ด้วย ทีนี้คนทำ SEO จะทำยังไงให้กลุ่มเป้าหมายยังคงมองเห็นคอนเทนต์ของเราอยู่ ANGA (แองก้า) พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า การทำ SEO ให้เหนือคู่แข่ง ต้องให้ความสำคัญด้านคุณภาพของคอนเทนต์ ซึ่งคีย์เวิร์ดประเภท Informational Intent เป็นกลุ่มคีย์เวิร์ดหลักที่ AI เลือกไปแสดงผลอย่างมีนัยสำคัญเลยครับ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณมีข้อมูลเชิงลึก ตอบคำถามชัดเจน และเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ โอกาสที่ AI จะเลือกไปแสดงผลบน AIO ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้นครับ
99.2% ของคีย์เวิร์ดที่ติด AI Overviews เน้นการให้ข้อมูล ไม่เน้นขาย
Ahrefs ได้ทำการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดกว่า 300,000 คำ เพื่อทำความเข้าใจว่าคีย์เวิร์ดประเภทไหนที่ AI มักดึงไปแสดงผลบน AI Overviews ข้อมูลส่วนหนึ่งพบว่า 99.2% ของคีย์เวิร์ดที่แสดงผล มีเจตนาเพื่อค้นหาข้อมูล เช่น ทำอย่างไร, คืออะไร และมีไม่ถึง 10% ที่เป็นคีย์เวิร์ดเชิงพาณิชย์ (Commercial Intent) และคีย์เวิร์ดเพื่อการซื้อขาย (Transactional Intent)
คุณเกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน CEO & Managing Director ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า
“จากการศึกษาข้างต้น เห็นได้ชัดว่า Google AI ต้องการข้อมูลคำตอบ และ AI Overviews ไม่ใช่พื้นที่ของการโฆษณาครับ แต่การที่เราวางกลยุทธ์สร้างคอนเทนต์ให้ความรู้ที่แม้จะเป็นข้อมูลทั่วไป แต่สามารถสอดแทรกให้ผู้อ่านรู้จักแบรนด์ของเราในฐานะผู้เชี่ยวชาญได้ เมื่อพวกเขาเชื่อมั่นในข้อมูล โอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่มี Brand Loyalty สูงในอนาคต ก็อาจง่ายกว่าที่คิดครับ”
คีย์เวิร์ดประเภท Informational Intent คืออะไร
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจภาพรวมของเจตนาการค้นหา หรือ Search Intent กันก่อนครับ โดยทั่วไปจะแบ่ง Search Intent ออกเป็น 5 ประเภทหลักๆ คือ
- Informational Intent ต้องการหาข้อมูลบางอย่าง
- Navigational Intent ต้องการไปยังที่หมายที่เจาะจง เช่น Facebook login, Youtube
- Commercial Investigation กำลังหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ หรือเพื่อตัดสินใจซื้อ
- Transactional Intent พร้อมที่จะซื้อหรือทำธุรกรรม เช่น ซื้อ iPhone 17 Pro, สมัครคอร์สเรียน SEO
- Local Intent ต้องการหาสถานที่ในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟ ใกล้ฉัน
Informational Intent Keywords คือ คำค้นหาเมื่อผู้ใช้มีคำถาม หรือต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง วัตถุประสงค์หลักคือการหาข้อมูล ความรู้ หรือวิธีแก้ปัญหา ไม่ได้มีเจตนาที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในทันที ตัวอย่าง

- ผู้ใช้พิมพ์ว่า “วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง” แสดงว่าพวกเขาอาจเป็นคนที่เริ่มต้นทำ SEO ต้องการคอนเทนต์ที่บอกวิธีการทำเป็นขั้นตอน 1, 2, 3… อย่างละเอียด สามารถเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวเอง
ผู้ใช้พิมพ์ว่า "ใช้ AI ช่วยเขียนบทความ SEO ได้ไหม" แสดงว่าพวกเขาอาจเป็นคนทำ SEO ที่กำลังสงสัยว่าการใช้ AI ช่วยเขียนบทความจะเป็นอะไรมั้ย คอนเทนต์ของเราต้องตอบปัญหานี้ได้ทันที พร้อมอธิบายประเด็นอื่นๆ ที่ผู้ใช้คนนี้น่าจะอยากรู้ด้วย
ทำไม Informational Intent แสดงผลบน AI Overviews มากสุด
ต้องเข้าใจว่าเป้าหมายของ AI คือการสรุปคำตอบที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้งานทันที ซึ่งคอนเทนต์ประเภท Informational Intent จะตอบโจทย์ที่สุด เช่น How-to (วิธีทำ...), Definition (...คืออะไร), Tips & Tricks (เคล็ดลับ...), และ Step-by-step Guides (ขั้นตอน...) เพราะมีลักษณะเด่นๆ ดังนี้
- เนื้อหาให้ความรู้เชิงลึก: เน้นให้ข้อมูล อธิบายเหตุผล หรือสรุปแนวคิดตรงกับสิ่งที่ AI ต้องการนำเสนอ เป็นคอนเทนต์ที่สร้างมาเพื่อตอบคำถามโดยเฉพาะ
- เนื้อหามีความเป็นกลาง: เนื้อหาที่เน้นให้ข้อมูล จะไม่เน้น Hard Sell ทำให้ AI มองว่าข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์ทางการขาย
- สะท้อน E-E-A-T ชัดเจน: การเขียนคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึก (Expertise), แชร์ประสบการณ์ตรง (Experience), แสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Authoritativeness), และสร้างความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) คือหัวใจของ E-E-A-T ซึ่ง AI ถูกฝึกมาให้มองหาสิ่งนี้
สรุปคือ AI ชอบคอนเทนต์ที่ให้คุณค่ามากกว่าการขาย เพราะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และสร้างความน่าเชื่อถือให้ AI ของ Google เองด้วย
ตัวอย่างบทความ Informational Intent ที่ติด AI Overviews ของแองก้า

กลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์ให้เหมาะกับ Informational Intent
ขั้นตอนต่อไปคือ การวางกลยุทธ์สร้างคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ Informational Intent เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บติดบน AI Overviews มากขึ้น ซึ่งการเขียนคอนเทต์เชิงให้ความรู้ตามกลยุทธ์ต่อไปนี้ เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ AI มองว่าเว็บของเราเป็นแหล่งข้อมูลคุณภาพที่ควรนำไปอ้างอิง
1. เขียนเชิงอธิบายมากกว่าโน้มน้าว
การใช้ Tone of Voice ที่เป็นกลางสำคัญมากครับ เราต้องเขียนคอนเทนต์ให้ AI มองว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้มากกว่าเน้นขายของ สิ่งที่จะต้องเน้นเลยก็คือ
- ต้องสวมบทเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่เซลส์แมน พยายามนำเสนอข้อมูลด้วยเจตนาให้ความรู้ ไม่ใช่ชักจูงให้ซื้อของอย่างเดียว
- เขียนเพื่อให้ AI เข้าใจ ไม่ใช่แค่ยัดคีย์เวิร์ด เนื้อหาที่มีคุณภาพ อ่านแล้วได้ประโยชน์จริงๆ AI จะมองว่าเป็นข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้
ปัจจุบัน AI ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเนื้อหาไหนมาจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เมื่อคอนเทนต์สะท้อนความเข้าใจเชิงลึกในอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้ มันจะยกระดับความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ และมองว่าแบรนด์ของคุณคือ แหล่งข้อมูลหลักที่น่าเอาไปอ้างอิงเป็นคำตอบบน AI Overviews
2. จัดโครงสร้างข้อมูลให้ชัดเจน
AI ของ Google จะสรุปสาระสำคัญจากหลายแหล่งข้อมูลมารวมเป็นคำตอบเดียว ดังนั้น ถ้าโครงสร้างคอนเทนต์ของเราไม่เป็นระบบระเบียบ AI ก็จะทำงานยาก และอาจมองข้ามเนื้อหาของเราไปได้ ซึ่งแนวทางการจัดโครงสร้างข้อมูลที่ช่วยให้ AI เข้าใจได้ง่ายขึ้นก็คือ
- ใช้ Headings (H1, H2, H3…) เพื่อแยกประเด็นหลัก ประเด็นรองอย่างชัดเจน
- ใช้ Bullet Points เพื่อสรุปข้อมูลสำคัญให้เห็นเด่นชัดในแต่ละหัวข้อ
- เขียนแบบ Step-by-Step (1, 2, 3) สำหรับเนื้อหาที่เป็นกระบวนการหรือขั้นตอน
- เพิ่มรูปแบบ Q&A สั้น กระชับ ตรงประเด็น เป็นรูปแบบที่ AI ดึงไปใช้ใน AI Overviews ได้ทันที
เทคนิคง่ายๆ ที่ผมอยากแนะนำคือ ลองอ่านคอนเทนต์ทั้งหมดแบบกวาดตา ดูว่าเข้าใจภาพรวมได้ง่ายแค่ไหน หากผู้อ่านเข้าใจได้เร็ว AI ก็จะเข้าใจสาระสำคัญของคอนเทนต์ได้เร็วเช่นกัน และยิ่งเพิ่มโอกาสที่เนื้อหาจะถูกดึงไปแสดงผลบน AI Overviews มากขึ้นครับ
3. ใช้ Schema Markup อย่างเหมาะสม
Schema Markup เป็นการติดป้ายบอก AI ว่าส่วนนี้ของเนื้อหาคืออะไร ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง จากนั้น AI ก็จะจัดหมวดหมู่และดึงข้อมูลจากเว็บเราไปใช้สรุปใน AIO ได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างการใช้ Schema ที่ควรมีในเว็บไซต์เลยก็คือ
- FAQPage Schema สำหรับหน้าคำถามคำตอบ เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้าง Q&A ได้อย่างชัดเจน
- HowTo Schema ใช้กับเนื้อหาที่มีขั้นตอนหรือวิธีการทำ ช่วยให้ AI แสดงผลแบบ Step-by-Step ได้ถูกต้อง
- Article Schema ใช้บอกว่าเนื้อหานี้คือบทความ (ไม่ใช่หน้าเว็บประเภทอื่น) เพิ่มความเข้าใจด้านบริบท
4. สร้างเนื้อหาครอบคลุมทุกประเด็น
อย่าตอบคำถามแค่ผิวเผิน เพราะกลยุทธ์สร้างคอนเทนต์ให้เหมาะกับ Informational Intent นั้น ความครบถ้วนของข้อมูลคือสิ่งที่ทำให้คอนเทนต์ของเราโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
หากต้องการเขียนเรื่อง “วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง” ให้ลองคิดต่อว่า คนที่เสิร์ชคำนี้ เขายังอยากรู้เรื่องอะไรอีกบ้าง เช่น
- SEO คืออะไร? เป็นการปูพื้นฐานให้เข้าใจแนวคิดหลัก
- On-page vs Off-page ต่างกันอย่างไร? เป็นการอธิบายองค์ประกอบหลักของ SEO
- ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล? เป็นการตอบข้อสงสัยที่คนมักถามต่อ
เมื่อคอนเทนต์ของเราครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญของหัวข้อหลัก AI ก็จะมองว่าเว็บเราเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้คำตอบครบในที่เดียว ซึ่งเป็นลักษณะของคอนเทนต์ที่ AI ชอบเช่นกัน
5. เสริมความน่าเชื่อถือด้วย Citation
การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล เป็นการยืนยันหลักฐานความถูกต้องของคอนเทนต์ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เสียคะแนน SEO อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด สิ่งที่ควรทำก็คือ
- อ้างอิงแหล่งข้อมูลภายนอก หรือการทำ External Link
ลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น งานวิจัย, หรือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมนั้นๆ เพื่อยืนยันว่าข้อมูลของเรามีหลักฐานรองรับจริง - สร้างลิงก์ภายในเว็บไซต์ หรือการทำ Internal Link
เชื่อมโยงไปยังคอนเทนต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์ของเราเอง เพื่อให้มีโครงสร้างเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันทั้งเว็บ สิ่งนี้สะท้อนให้ AI เห็นว่า เว็บนี้มีความรู้เชิงลึกในหัวข้อนั้นจริง
การทำ External Link และ Internal Link จึงช่วยให้ AI เข้าใจว่าเว็บเราเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และครอบคลุมที่สุดในหมวดหมู่นั้น การอ้างอิงนี้จึงไม่ใช่แค่การให้เครดิตแหล่งข้อมูล แต่เป็นสัญญาณความน่าเชื่อถือที่ช่วยให้ทั้งผู้ใช้และ AI มั่นใจในคุณภาพของคอนเทนต์
การครองพื้นที่ใน AI Overviews เริ่มต้นจากการเข้าใจ Intent
การที่เว็บไซต์จะเข้าไปอยู่ใน AI Overviews ไม่ใช่แค่การไล่ตามอัลกอริทึมของ Google หรือต้องมีเทคนิคอะไรซับซ้อนขนาดนั้น แต่จริงๆ แล้วมาจากการเข้าใจ Intent ของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง เข้าใจว่าถ้าพวกเขามีเจตนาการค้นหาแบบนี้ สิ่งที่ต้องการอ่านน่าจะเป็นเนื้อหาแบบไหน และเมื่อเว็บเราสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ Informational Intent จริงๆ AI ก็จะมองว่าเว็บนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ พูดง่ายๆ ก็คือ มันจะนึกถึงเว็บเราเป็นที่แรกๆ หากมีการเสิร์ชเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของเรา
ดังนั้น การสร้างคอนเทนต์ที่มุ่งให้ความรู้แก่ผู้ใช้งานก่อนการขาย คือกลยุทธ์ SEO ที่สำคัญในยุคAI Search เพราะเมื่อผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีผ่านการอ่านข้อมูลที่มีคุณภาพ อาจเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าที่มี Brand Royalty สูง โดยที่เราแทบจะไม่ต้องพยายามขายอะไรเลยก็ได้ครับ






