1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. UTM คืออะไร ? เครื่องมือวัดผลการทำการตลาดออนไลน์ที่ห้ามพลาด
UTM คืออะไร
เผยแพร่เมื่อ: มีนาคม 28, 2023 | แก้ไขเมื่อ: กรกฎาคม 30, 2024

UTM คืออะไร ? เครื่องมือวัดผลการทำการตลาดออนไลน์ที่ห้ามพลาด

Table Of Contents

สิ่งสำคัญของการทำการตลาดออนไลน์ คือ สามารถวัดผลได้ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร เพื่อให้ทราบว่าวิธีไหนที่โดนตากลุ่มเป้าหมายจนช่วยเพิ่ม Traffic ของเว็บไซต์เราได้ดีที่สุด  แน่นอนว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับเครื่องมือที่นิยมใช้ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น Google Analytics หรือ Google Search Console แต่วันนี้เราจะมาแนะนำเครื่องมือที่ช่วยวัดผลได้แม่นยำขึ้น นั่นก็คือการติด UTM Tracking ในบทความนี้จะพาไปรู้จักว่า UTM คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรกับธุรกิจของเรา

UTM คืออะไร?

UTM ย่อมาจาก Urchin Tracking Module คือเครื่องมือการตลาดที่ใช้สำหรับระบุช่องทางการเข้าถึงเว็บไซต์ (Website Traffic) โดยใส่ตัวแปรต่าง ๆ ลงไปต่อท้ายลิงก์ URL ของหน้าเว็บ เพื่อให้เราทราบที่มาของ Traffic ว่ามาอย่างไร มาจากที่ใด ช่วยวัดผลทางการตลาดและคัดเลือกว่าช่องทางใดที่ได้ผลดีกับธุรกิจของเรา ซึ่งจะช่วยให้เราวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ตัวอย่างลิงก์ที่ยังไม่ได้ติด UTM : https://www.anga.com/product/
  • ตัวอย่างลิงก์ที่ติด UTM : https://www.anga.com/product/?utm_source=little&utm_medium=banner&utm_campaign=mid-year-sale-product

เมื่อติด UTM จะทำให้ลิงก์ของเรายาวขึ้น มองดูไม่สวยงาม แนะนำให้นำลิงก์ไปที่เว็บสำหรับย่อลิ้งก์ (Shorten URL) เพื่อย่อให้สั้นลง ก่อนจะนำไปใช้งาน

องค์ประกอบของ UTM

รู้จัก 5 องค์ประกอบของ UTM

องค์ประกอบของ UTM จะแบ่งเป็น 5 ส่วน แต่โดยพื้นฐานสามารถใช้เพียง 3 ส่วนหลัก  คือ source medium และ campaign ก็ทำให้เราสามารถติดตามวัดผลแคมเปญได้แล้ว และอีก 2 ส่วน คือ Term และ Content สามารถเลือกใช้เสริมได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบแคมเปญของเรา

Source

Source หรือ utm_source คือส่วนที่ใช้บอกแหล่งที่มาของ Traffic ในเว็บไซต์ของเราว่ามาจากที่ไหน (Where) ไม่ว่าจะเป็น Facebook Twitter Instagram หรือเว็บไซต์ที่เราไปฝากให้ช่วยโปรโมท เช่น เราให้เว็บไซต์ little.com ช่วยโปรโมทหน้า Product  ของเว็บไซต์เรา เราจะระบุ utm ว่า utm_source=little นั่นเอง

Medium

Medium หรือ utm_medium คือส่วนที่บอกว่าผู้ชมเว็บไซต์ของเราเข้ามาด้วยวิธีไหน ช่วยให้แบ่งแยกวิธีที่คนคลิกได้ โดยสามารถเป็นได้ทั้งการคลิกแบนเนอร์ คลิกลิงก์ คลิกโฆษณา หรือสิ่งอื่น ๆ ที่เชื่อมมายังเว็บไซต์ของเรา เช่น เราให้เว็บไซต์ little.com โปรโมทหน้า Product  โดยการขึ้นแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของเขา เพื่อให้คนคลิกแบนเนอร์แล้วมาที่เว็บไซต์ของเรา เราจะใช้ utm_medium ว่า utm_medium=banner

Campaign

Campaign หรือ utm_campaign เป็นส่วนที่ใช้ระบุแคปเปญที่เราทำ เพราะในบางครั้งอาจมีการโปรโมทหลายแคมเปญในช่วงเวลาเดียวกัน การใส่ utm_campaign จะทำให้เราแยกได้ว่า Traffic มาจากแคมเปญใด ยกตัวอย่างชื่อแคมเปญว่า midyearsaleproduct จะระบุ utm_campaign ว่า utm_campaign=mid-year-sale-product

เมื่อได้ 3 องค์ประกอบของ UTM จะนำแต่ละส่วนมาเชื่อมกันด้วยเครื่องหมาย & และใส่ต่อท้าย URL ของเรา ก็จะได้ออกมาหน้าตาประมาณนี้ : 

https://www.anga.com/product/?utm_source=little&utm_medium=banner&utm_campaign=mid-year-sale-product

นอกจาก 3 องค์ประกอบข้างต้นแล้วยังมีอีก 2 องค์ประกอบที่เหลือ คือ Term และ Content ซึ่งจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการวัดผล

Term

Term หรือ utm_term ใช้สำหรับแคมเปญที่มีการใช้ Google Ads และมีการซื้อ Keyword ซึ่ง Term จะเป็นส่วนที่บอกว่าผู้ชมเว็บไซต์มาจาก Keyword ใดมากที่สุด

Content

Content หรือ utm_content คือส่วนที่ใช้บอกเนื้อหาที่แตกต่างกันในแคมเปญนั้น ๆ เพื่อแยกว่าคนเข้ามาจากคอนเทนต์ไหนมากที่สุด เช่น ใน 1 แคมเปญทำรูปภาพแบนเนอร์หลายรูป สามารถใส่ utm_content เข้าไปเพิ่มเพื่อวัดภาพว่ารูปภาพใดที่คนคลิกมากที่สุด

UTM ประโยชน์

UTM มีประโยชน์อย่างไรทำไมจึงควรติดเครื่องมือนี้ไว้

การทำแคมเปญเพื่อโปรโมทธุรกิจ สินค้า หรือบริการ เราย่อมอยากรู้ผลลัพธ์ของแคมเปญ ช่องทางการโปรโมทไหนทำแล้วรุ่ง ช่องทางไหนทำแล้วดูน่าจะไม่รอด การทำ UTM จึงเป็นตัวช่วยทำจะทำให้คุณมองเห็น Performance ของการตลาดที่ทำอยู่ในมิติที่กว้างกว่าเดิม

ระบุที่มาของ Traffic ได้อย่างแม่นยำ

การติด UTM ท้าย URL จะช่วยให้เราทราบแหล่งที่มาของ Traffic ที่แน่ชัด ทำให้เราสามารถเปิดช่องทางที่ช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ได้

วัดผลแคมเปญการตลาดออนไลน์ได้แม่นยำ

ในบางครั้งบริษัทอาจมีการทำแคมเปญหลาย ๆ แคมเปญในช่วงเวลาเดียวกัน แล้วแคมเปญไหนดีที่สุด ใช้เป็นแนวทางการตลาดในอนาคตการใส่ utm_campaign จึงเข้ามาช่วยหาคำตอบให้กับคุณว่าแต่ละแคมเปญมี Performance เป็นอย่างไร Traffic ที่เข้ามาเว็บไซต์ของเรามาจากแคมเปญใดมากที่สุด

ใช้เป็นแนวทางการตลาดในอนาคต

แทนที่จะหว่านแหทำการตลาดทุกช่องทาง เช่น ฝากเว็บไซต์ชื่อดังโปรโมทโดยใช้แบนเนอร์ ฝากให้ influencer A โพสต์โปรโมทบน Instagram และซื้อโฆษณา Google Ads ด้วยตัวเอง แต่เมื่อติดตั้ง UTM จะทำให้เราวัดผลการทำแคมเปญหรือการทำการตลาดออนไลน์ได้ มองเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าช่องทางไหนได้ผลจริง หากช่องทางไหนผลลัพธ์ไม่ดีก็ยกเลิกไปเลย ช่วยลดค่าใช้และสามารถนำข้อมูลไปวางแผนการตลาดในอนาคตให้เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

วิธีสร้าง UTM ง่าย ๆ ที่คุณก็ทำได้

การสร้าง UTM สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงใช้ Campaign URL Builder ของ Google Analytics แล้วใส่แต่ละส่วนตามช่องต่าง  ๆ จะได้ URL ที่มีการใส่ UTM แล้ว สามารถ Copy ลิงก์ไปใช้งานได้เลย

เรียกได้ว่าการติด UTM เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดออนไลน์ทั้งหลายไม่ควรมองข้าม นอกจากจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำแล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้งานฟรี และสามารถทำได้ง่าย ๆ อย่างที่ ANGA แนะนำ

บทความที่เกี่ยวข้อง

 6 กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารที่เห็นผลจริงในปี 2025

ทุกซอกทุกมุมในประเทศไทยล้วนมีร้านอาหารทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารขนาดเล็กหรือร้านอาหารขนาดใหญ่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ธุรกิจร้านอาหารจึงมีการแข่งขันกันที่ค่อนข้างดุเดือด ยิ่งถ้าคุณเป็นร้านอาหารขนาดเล็กหรื
191

Social Media ที่นิยมใช้มากที่สุดในปี 2025 คืออะไร?

คำพูดที่ว่ายุคนี้คือ “ยุคสังคม” ไม่เกินจริง เพราะไม่ว่าหันไปมองทางไหน ใคร ๆ ก็มีสังคมกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่แตกต่างจากในอดีตคือสังคมสมัยนี้เป็นสังคมบนโลกออนไลน์ ซึ่งสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มีกา
480

ขายออนไลน์อะไรดี มาดูเทรนด์สินค้าที่มีความต้องการสูงประจำปี 2025

สำหรับปี 2025 นี้ ท่านใดที่สงสัยว่าควรขายออนไลน์อะไรดี จึงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ‘ANGA’ จะพามาไขคำตอบให้กระจ่าง สืบเนื่องมาจากปี 2022 จนถึงปัจจุบัน เทรนด์ธุรกิจเรื่องการรักษ์โลก การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้
2287
th