1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. รู้จัก FOMO คืออะไร พร้อมแนวทางการทำ FOMO Marketing ในปี 2025
FOMO คือ
เผยแพร่เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2025

รู้จัก FOMO คืออะไร พร้อมแนวทางการทำ FOMO Marketing ในปี 2025

Table Of Contents

รู้หรือไม่ว่าความกลัวพลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิต หรือ FOMO สามารถนำมาใช้เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลังได้? FOMO คือพฤติกรรมที่พบเห็นได้บ่อยในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับ Social Media ซึ่งพวกเขามักรู้สึกกังวลเมื่อเห็นเพื่อน ๆ ในโซเซียลได้ลองร้านเปิดใหม่ หรือซื้อสินค้าคอลเลกชันพิเศษที่มีจำนวนจำกัดกัน ดังนั้น ANGA จึงอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับพฤติกรรมนี้ ว่า FOMO คืออะไรกันแน่ มีพฤติกรรมอย่างไร และ FOMO กับ JOMO แตกต่างกันอย่างไร พร้อมเรียนรู้วิธีนำ FOMO Marketing มาใช้กับธุรกิจออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพในปี 2025

FOMO คือ

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Mozartcultures

FOMO คืออะไร 

FOMO คือความรู้สึกกลัวที่จะพลาดโอกาสหรือพลาดประสบการณ์บางอย่างไป คุณอาจเคยรู้สึกแบบนี้ เช่น เมื่อเห็นแบรนด์โปรดจัด Flash Sale ลดราคาสินค้าที่อยากได้ ก็รีบกดสั่งซื้อทันทีเพราะกลัวของหมด หรือเห็นร้านอาหารเปิดใหม่มีโปรโมชันลด 50% สำหรับ 100 ท่านแรก ก็รีบไปต่อคิวตั้งแต่เช้าเพราะกลัวจะไม่ได้ส่วนลด ซึ่งพฤติกรรม FOMO มักเกิดจากการเห็นโพสต์ในโซเชียลมีเดียที่คนอื่นได้ลองหรือมีประสบการณ์กับสิ่งที่น่าสนใจ เช่น เห็นเพื่อนโพสต์รูปกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่มีขายเฉพาะที่ญี่ปุ่น ก็รู้สึกอยากได้และกลัวว่าถ้าไม่รีบซื้อตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ หรือเห็นรีวิวสกินแคร์ตัวใหม่ที่กำลังเป็นกระแสว่าใช้แล้วดีมาก ก็รีบซื้อมาลองตามกระแสทันที

ซึ่งความกลัวที่จะพลาดโอกาสหรือ FOMO นี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นของกลยุทธ์การตลาดแบบใหม่ที่เรียกว่า FOMO Marketing จากการใช้ประโยชน์ของอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภค มาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เราจะไปทำความเข้าใจว่า FOMO Marketing คืออะไร ขออธิบายก่อนว่า FOMO ต่างกับ JOMO อย่างไร เพราะมีคนจำนวนมากที่ยังเข้าใจผิดอยู่ว่าทั้งสองสิ่งนี้เหมือนกัน

FOMO ต่างกับ JOMO อย่างไร

FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out คือความรู้สึกกลัวพลาดโอกาสและพยายามตามกระแสให้ทัน ในขณะที่ JOMO (Joy of Missing Out) คือความสุขที่ได้เลือกพลาดบางสิ่งและใช้ชีวิตตามจังหวะของตัวเอง เช่น ไม่รู้สึกเดือดร้อนที่ไม่ได้ไปลองคาเฟ่เปิดใหม่ที่คนแห่ไปถ่ายรูป หรือไม่รู้สึกว่าต้องรีบซื้อกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่เพื่อน ๆ กำลังตามหา แต่เลือกใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบจริง ๆ เช่น อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ หรือทำกิจกรรมกับครอบครัว โดยไม่สนใจว่าจะกำลังพลาดอะไรไปบ้าง

FOMO vs JOMO

FOMO (Fear of Missing Out)

  • อัปเดตข่าวสาร ตามทันเทรนด์ และไม่พลาดโอกาสดี ๆ
  • เข้าสังคมง่ายเพราะรู้เรื่องที่คนอื่นพูดถึงกัน
  • ได้ลองประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
  • ได้รับสิทธิพิเศษและดีลดี ๆ จากการติดตามข่าวสาร

JOMO (Joy of Missing Out)

  • มีเวลาคุณภาพให้ตัวเองและครอบครัว
  • มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ
  • ประหยัดเงินเพราะไม่ซื้อตามกระแส
  • มีความเครียดและความกังวลลดลง

FOMO Marketing คืออะไร

FOMO Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ใช้จิตวิทยาความกลัวพลาดโอกาส (Fear of Missing Out) มากระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระแสหรือประสบการณ์นั้น ๆ เช่น การจำกัดจำนวนสินค้า การลดราคาในระยะเวลาสั้น ๆ หรือการสร้างคอลเลกชันพิเศษที่มีเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น นักการตลาดมักใช้เทคนิค FOMO Marketing ผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การแสดงจำนวนคนที่กำลังดูสินค้า (มีผู้สนใจกำลังดูสินค้านี้ 457 คน), การแจ้งเตือนสต๊อกคงเหลือ (เหลือเพียง 5 ชิ้นสุดท้าย) หรือการใช้ตัวนับเวลาถอยหลัง (เหลือเวลาโปรโมชันอีก 1 ชั่วโมง) เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องรีบตัดสินใจก่อนจะพลาดโอกาส

ตัวอย่าง FOMO Marketing ที่พบเห็นได้บ่อย

  • แคมเปญ Flash Sale ลดราคาพิเศษเพียง 1 ชั่วโมง
  • คอลเลกชันพิเศษที่ร่วมมือกับศิลปินหรือแบรนด์ดัง
  • คอลเลกชันเฉพาะวันเทศกาลสำคัญ อย่างวาเลนไทน์
  • โปรโมชันหรือสินค้าแถมสำหรับลูกค้า 100 ท่านแรกเท่านั้น
  • ส่วนลดพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีน
  • แคมเปญสะสมแต้มแลกของรางวัลมูลค่าสูง
FOMO Marketing

5 แนวทางการทำ FOMO Marketing ในปี 2025

อยากทำ FOMO Marketing เอาชนะคนผู้บริโภคกลุ่ม FOMO ให้ได้ผลต้องเข้าใจจิตวิทยาของลูกค้าที่กลัวพลาดโอกาสดี ๆ และอยากเป็นคนแรก ๆ ที่ได้ลองสิ่งใหม่ นักการตลาดสามารถใช้หลายเทคนิคผสมผสานกันเพื่อสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างอิสระ แต่ก็ต้องคำนึงถึงความถูกต้องและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ต่อผู้รับสารด้วย

1. กำหนดเวลาจำกัดเพื่อเร่งการตัดสินใจ

การจำกัดเวลาเป็นเทคนิคที่ได้ผลดีที่สุดในการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น เช่น จัด Flash Sale ลดกระหน่ำ 24 ชั่วโมง หรือส่งฟรีเฉพาะสัปดาห์นี้เท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องรักษาคำพูด ไม่ขยายเวลาเพิ่มเพราะจะทำให้แบรนด์เสียความน่าเชื่อถือได้ ลองยิงโฆษณา Facebook Ads ที่มีการจำกัดเวลาร่วม เพื่อเร่งยอดขายให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

2. เลือกใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์

การเลือกใช้คำที่กระตุ้นความรู้สึกเร่งด่วนและสร้างความรู้สึกพิเศษเป็นสิ่งสำคัญในการทำ FOMO Marketing เช่น “เหลือเพียง 5 ชิ้นสุดท้าย!” “ด่วน! วันนี้วันเดียวเท่านั้น” “พิเศษสุดสำหรับ 50 คนแรก” แต่ต้องระวังไม่ใช้คำที่เกินจริงหรือหลอกลวง เพราะจะทำให้แบรนด์เสียความน่าเชื่อถือ ควรทำ A/B Testing กับโฆษณาเพื่อทดสอบว่าการใช้คำแบบไหนได้ผลตอบรับดีที่สุด และปรับแต่งข้อความให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป

3. แสดงให้เห็นว่าคนอื่นกำลังสนใจ

การแสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากกำลังสนใจหรือซื้อสินค้าของคุณจะกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อตาม เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่อยากพลาดสิ่งที่คนอื่นกำลังพูดถึง ลองแสดงจำนวนคนที่กำลังดูสินค้าแบบเรียลไทม์ “มีผู้สนใจกำลังดูสินค้านี้ 284 คน” หรือแสดงรีวิวจากลูกค้าจริงที่ใช้สินค้าแล้วประทับใจ รวมถึงให้อินฟลูเอนเซอร์มารีวิวเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ควรทำ SEO ให้รีวิวเหล่านี้ขึ้นหน้าแรก Google เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ด้วย

4. สร้างคอนเทนต์ที่หมดอายุเร็ว

การสร้างคอนเทนต์แบบชั่วคราวอย่าง Instagram Stories หรือ Facebook Live ที่มีอายุเพียง 24 ชั่วโมง จะกระตุ้นให้คนรีบดูเพราะกลัวพลาดข้อมูลสำคัญ ลองไลฟ์สดเปิดตัวสินค้าใหม่พร้อมโปรโมชันพิเศษเฉพาะคนดูไลฟ์ หรือแจกโค้ดส่วนลดผ่านสตอรี่ที่หมดอายุในวันนั้น เทคนิคนี้จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและความรู้สึกเร่งด่วนได้ดี เพราะผู้ชมต้องตัดสินใจทันทีว่าจะใช้สิทธิ์หรือไม่ นอกจากนี้ ถ้าคุณเป็นธุรกิจ B2B หรือสินค้าของคุณต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อ ควรทำบทความ SEO บนเว็บไซต์ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในภายหลัง

5. ใช้เทคนิค Countdown Timer

การแสดงเวลานับถอยหลังบนเว็บไซต์หรือในโฆษณาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทรงพลังในการสร้างความรู้สึกเร่งด่วน โดยอาจใช้ตัวนับเวลาถอยหลังในหน้าสินค้า แสดงระยะเวลาที่เหลือของโปรโมชัน หรือเวลาที่เหลือก่อนหมดสิทธิ์จอง ควรใส่ตัวนับเวลาในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดและใช้สีที่โดดเด่น อาจเพิ่มข้อความกระตุ้นเร่งด่วนเมื่อเวลาใกล้หมด และทำให้ตัวนับเวลาปรากฏในทุกหน้าที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญนั้น ๆ

บทสรุป

FOMO คือปรากฏการณ์ทางพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวพลาดโอกาสของผู้บริโภคยุคดิจิทัล ซึ่งนักการตลาดอย่างเราสามารถนำมาใช้ปรากฏการณ์มาช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจได้ ผ่านการทำ FOMO Marketing ตามแนวทางที่เราได้แนะนำไป ซึ่งคุณก็จะเห็นได้ว่า FOMO Marketing สามารถนำมาใช้ร่วมกับกลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการยิงโฆษณา TikTok Ads, Facebook Ads, Google Ads หรือ Instagram Ads และการทำ SEO เพื่อกระตุ้นยอดขายและ Conversion Rate บนเว็บไซต์ก็ตาม สุดท้ายนี้ ควรรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นยอดขายและการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วย จึงจะสามารถนำพาธุรกิจให้เติบโตเหนือคู่แข่งได้อย่างยั่งยืน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Organic Traffic คืออะไร พร้อมวิธีเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์

Web Traffic คือผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่มีความสำคัญมาในการทำให้เว็บไซต์เติบโตและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Traffic มาได้จากหลายช่องทาง อาทิ Paid, Direct, Social Media, Referral และ Organic Traffic แต่ Traf
50

Breadcrumb Navigation ป้ายนำทางบนเว็บไซต์ ที่ส่งผลดีต่อ SEO

เว็บไซต์ส่วนใหญ่มีหน้าเว็บและข้อมูลเยอะมาก อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรู้สึกสับสนและหลงทางได้ การมีตัวช่วยนำทางบนเว็บไซต์หรือ Breadcrumb Navigation ติดตั้งไว้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับ
46

รู้จัก DeepSeek AI เอไอสัญชาติจีนที่กำลังมาแรงในตอนนี้

ต้องบอกว่าในปี 2025 นี้ แพลตฟอร์ม AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลายด้านได้อีกด้วย คุณสามารถใช้ AI ในการทำงานแทน อย่างเขียนบทความ สรุปข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ค้นหาข้อมูล เขี
50
th