
A/B Testing คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเว็บไซต์ที่คุณทุ่มเทสร้างมาอย่างดี กลับไม่สามารถสร้างยอดขายได้ตามที่คาดหวังไว้หรือบางทีคุณอาจกำลังคิดว่าควรปรับปรุงอะไรบนเว็บไซต์เพื่อให้ลูกค้าสนใจมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน? นี่แหละคือเหตุผลที่ A/B Testing เข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกของการตลาดออนไลน์ วันนี้ ANGA จะพาคุณมารู้จักว่าการทำ A/B Testing คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนโลกออนไลน์ พร้อมแนะนำขั้นตอนการทำ A/B Testing ผ่านบทความนี้
A/B Testing คืออะไร
A/B Testing คือการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างสองเวอร์ชันของหน้าเว็บหรือองค์ประกอบบนเว็บไซต์ เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนทำงานได้ดีกว่ากัน โดยวัดจากการตอบสนองของผู้ใช้งานจริง ไม่ใช่แค่การเดาสุ่มหรือใช้สัญชาตญาณของเจ้าของเว็บ
A/B Testing สำคัญกับธุรกิจบนโลกออนไลน์อย่างไร
ในยุคที่ใคร ๆ ก็ต้องหันมาแย่งชิงความสนใจจากลูกค้าบนโลกออนไลน์ เราจึงไม่สามารถคาดเดาด้วยตัวเองได้ว่าลูกค้าต้องการอะไร หรือชื่นชอบหน้าเว็บไซต์และวิธีการสั่งซื้อสินค้าแบบไหน จนกว่าจะได้ Data จากการติดตามพฤติกรรมของลูกค้าจริง หรือไม่ก็ทำ A/B Testing เพื่อทดสอบความต้องการของพวกเขาก่อน เพราะการที่คุณทำทุกอย่างแบบเดาสุ่ม จะทำให้คุณเสียเวลาและทรัพยากรไปโดยเสียเปล่า เนื่องจากไม่เกิดผลลัพธ์และยอดขายตามที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ การทำ A/B Testing จึงมีความสำคัญมากกับธุรกิจที่มองหาลูกค้าจากโลกออนไลน์
การที่คุณมีลูกค้าเข้ามาใช้งานบนเว็บไซต์ขายของออนไลน์ แต่ลูกค้าดันเข้ามาดูเฉย ๆ และปิดออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าเลยสักชิ้น (Traffic สูง แต่ Coversion ต่ำ) นี่คือสัญญาณว่าเว็บไซต์คุณกำลังมีปัญหาและไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจของลูกค้า ซึ่งการทำ A/B Testing คือสิ่งที่จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ มันไม่ได้มีประโยชน์ต่อยอดขายเท่านั้น ยังช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้นอีกด้วย
- ช่วยให้เรารู้ Insight พฤติกรรมผู้ใช้ เห็นว่าอะไรจูงใจลูกค้าให้คลิกหรือซื้อจริง ๆ
- ทำให้เราสามารถปรับแต่งเว็บไซต์หรือแคมเปญได้ตรงจุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
- AB Testing ช่วยลดความเสี่ยง เพราะเราได้ลองไอเดียใหม่ ๆ ก่อนใช้จริง แบบไม่ต้องเดาสุ่ม
- เราสามารถเพิ่มยอดขายแบบมีหลักการ โดยใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่การคาดเดา
- A/B Testing ช่วยปรับปรุง SEO อย่างแม่นยำ ทำให้เราหาคีย์เวิร์ดหรือเนื้อหาที่ดึงดูดคนจริง ๆ
- ช่วยประหยัดงบประมาณในการยิงโฆษณาและทำการตลาดได้
- ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีมากขึ้นและทำให้พวกเขาประทับใจได้
- ผลลัพธ์หลังจากการทำ A/B Testing มีความชัดเจน วัดผลเป็นตัวเลขได้ พร้อมกับเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการทดสอบได้
- ทำให้เราปรับปรุงกลยุทธ์และปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้ซื้อได้เร็วขึ้น รู้ว่าอะไรควรแก้ไขและอะไรควรทำต่อไป
- A/B Testing ช่วยสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ยังใช้วิธีการแบบเดิม ๆ อยู่ เพราะเราใช้ข้อมูลจริงที่อัปเดตใหม่ล่าสุดมาทำ
A/B Testing ทำงานอย่างไร
การทำงานของ A/B Testing คือการนำสิ่งที่คุณต้องการทดสอบอย่าง Landing Page, แบนเนอร์โฆษณา หรือหน้าเว็บไซต์มาเปรียบเทียบกัน ระหว่างเวอร์ชัน A และเวอร์ชัน B พร้อมกับแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มเท่า ๆ กัน (กลุ่มเป้าหมายทั้งสองกลุ่มจะมองเห็นสิ่งที่เราทดสอบในเวอร์ชันที่ต่างกัน) เมื่อการทดสอบ A/B Testing เสร็จสิ้นเราก็จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติและพิจารณาว่าเวอร์ชันไหนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
การทดสอบเปรียบเทียบระหว่างสองเวอร์ชันของสิ่งที่เราต้องการทดสอบ โดยแบ่งผู้ใช้ออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆ กัน แต่ละกลุ่มจะเห็นเวอร์ชันที่แตกต่างกัน จากนั้นเราวัดผลว่าเวอร์ชันไหนทำงานได้ดีกว่ากันตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ในตอนแรก
ตัวอย่างการทำ A/B Testing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO บนเว็บไซต์
สมมติว่าเว็บไซต์ธุรกิจของคุณเป็นเว็บไซต์จำหน่ายวัตถุดิบอาหารเจ อาทิ พริกแกงเจ หมูกรอบทำจากพืช โปรตีนข้าวสาลี หรือไก่หมักนุ่มจากพืช คุณต้องการให้คีย์เวิร์ดคำว่า “สูตรอาหารเจ” ติดอันดับการค้นหาบน Google คุณจึงทำ A/B Testing ทดสอบดูว่าผู้ใช้งานและ Google ชอบ Meta Tags แบบไหนมากกว่ากัน
เวอร์ชัน A :
- Title : 10 เมนูสูตรอาหารเจ ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน
- Meta description : รวมสูตรอาหารเจ 10 เมนู ทำง่าย อร่อย ได้ประโยชน์ สำหรับมือใหม่
เวอร์ชัน B :
- Title : สูตรอาหารเจ 10 เมนูยอดนิยมสำหรับคนรักสุขภาพ
- Meta description : แนะนำ 10 สูตรอาหารเจสุดฮิต รสชาติอร่อย ทำง่าย พร้อมเคล็ดลับการเลือกวัตถุดิบ
เราจะปล่อยให้ทั้งสองเวอร์ชันทำงานไปได้ระยะหนึ่ง (อาจจะมีการระบุระยะเวลาที่ชัดเจนอย่าง 1 เดือน หรือ 3 เดือนก็ได้) เมื่อถึงเวลาที่กำหนดก็นำ Data มาวิเคราะห์ว่าเวอร์ชันไหนมี Impression, Traffic, Click และสร้าง Conversion Rate ได้มากกว่ากัน เพื่อที่คุณจะได้นำไปปรับปรุงประสิทธิภาพของ SEO ต่อไป
ตัวอย่างการทำ A/B Testing สำหรับ Facebook Ads
สมมติว่าธุรกิจของคุณคือสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ปกติคุณจะสอนแบบ Onsite ที่สถาบันเท่านั้น แต่ตอนนี้คุณได้เปิดคลาสเรียนภาษาอังกฤษแบบ Online เพิ่ม จึงต้องการโปรโมตคลาสนี้ให้เป็นที่รู้จักและมีคนเข้ามาลงทะเบียนเยอะ ๆ โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของคุณจะเป็นผู้ใช้งานบน Facebook ดังนั้น คุณจึงทำ A/B Testing Facebook Ads โดยการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของข้อความโฆษณาที่อยู่ใน Banner Ads
เวอร์ชัน A :
- ข้อความโฆษณา : พูดอังกฤษคล่องใน 30 วัน! สมัครเลย รับส่วนลด 50%
- Call-to-action : สมัครเลย
เวอร์ชัน B :
- ข้อความโฆษณา : เรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษา ตัวต่อตัว เริ่มต้นเพียงวันละ 20 นาที
- Call-to-action : จองคลาสฟรี
A/B Testing ทดสอบอะไรได้บ้าง
- ข้อความในโฆษณา (Ad copy)
- การจัดวางองค์ประกอบบนหน้าเว็บ (Layout)
- รูปแบบฟอร์มกรอกข้อมูล
- รูปแบบและสีของปุ่มกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA buttons)
- เนื้อหา, Title Tags, Meta Description
- ตำแหน่งของโฆษณาบนหน้าเว็บ
- สีพื้นหลังของเว็บไซต์หรือโฆษณา
- โปรโมชันหรือข้อเสนอ
- การใช้วิดีโอ VS รูปภาพ
- ประเภทของ Landing page
- การเลือกใช้ฟอนต์ ขนาดตัวอักษร สีของตัวอักษร
- ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
- ระบบนำทางเว็บไซต์ (Navigation)
- ขั้นตอนการชำระเงิน (Checkout process)
- และอื่น ๆ อีกมากมาย
รูปแบบของการทำ A/B Testing
รูปแบบในการทำ A/B Testing สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ ดังนี้
1. Split URL Testing
Split URL Testing คือการทดสอบแบบแยก URL มีหลักการคือการสร้าง URL ออกเป็น 2 เวอร์ชัน แล้วนำไปทดลองใช้พร้อมกัน จากนั้นจึงวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนมีประสิทธิภาพดีที่สุด เช่น กลุ่มแรกเห็นหน้าเว็บไซต์แบบเดิม ส่วนอีกกลุ่มเห็นหน้าเว็บแบบใหม่ที่เราอยากลอง
2. Multivariate Testing
Multivariate Testing (MVT) คือการทดสอบแบบเปรียบเทียบหลายองค์ประกอบพร้อม ๆ กัน เช่น เปลี่ยนทั้งหัวข้อ, ปุ่ม CTA, รูปภาพ และสีพื้นหลัง โดยการวิเคราะห์ผลลัพธ์จะซับซ้อนกว่า เนื่องจากมีตัวแปรที่ต้องพิจารณาหลายตัว
3. Multipage Testing
Multipage Testing คือการทดสอบแบบหลายหน้า อาจจะทดสอบโดยการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนหน้าเว็บไซต์ หรือจะเปลี่ยนองค์ประกอบแค่บางส่วนก็ได้เช่นกัน
ขั้นตอนการทำ A/B Testing
- กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจน
- รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ และหาจุดที่ต้องการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
- สร้างสมมติฐานและการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้
- ออกแบบการทดสอบเป็นเวอร์ชัน A และเวอร์ชัน B
- กำหนดจำนวนของตัวอย่างการทดสอบ กลุ่มเป้าหมาย และระบุระยะเวลาของการทำ A/B Testing
- เริ่มการทดสอบ A/B Testing โดยแสดงเวอร์ชัน A และ B สลับกันแก่กลุ่มเป้าหมาย
- เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากทั้งสองเวอร์ชันตลอดระยะเวลาการทดสอบ
- วิเคราะห์ผลโดยใช้เครื่องมือทางสถิติที่เหมาะสม เพื่อหาว่าอะไรดีกว่ากัน
- นำข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการทดสอบมาใช้ในการวางแผนการปรับปรุงต่อไป
บทสรุป
A/B Testing คือกระบวนการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างสองเวอร์ชันขององค์ประกอบบนเว็บไซต์หรือแคมเปญการตลาดออนไลน์ เพื่อหาว่าแบบไหนมีประสิทธิภาพที่ดีกว่ากัน โดยใช้ข้อมูลและสถิติของจริงเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่การคาดเดาของนักการตลาดแบบไม่มี Data อะไรมาอ้างอิง ซึ่งการทำ A/B Testing จะช่วยให้เราปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดและเว็บไซต์ รวมถึง SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจะตามมาด้วยโอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ดีขึ้นกว่าเดิม
บทความที่เกี่ยวข้อง

30 วิธีทำ SEO WordPress 2025 ที่ถูกต้อง จากประสบการณ์เอเจนซี่
