Canonical Tag คืออะไร ถ้าอยากดันอันดับ SEO ต้องรู้จักสิ่งนี้
SEO คือสิ่งที่เราต้องทุ่มทั้งแรงทั้งเวลาในการทำ เพื่อให้มันประสบความสำเร็จใน 3-6 เดือนข้างหน้า แตกต่างจากการยิงโฆษณาที่เห็นผลทันทีหลังจากที่ได้ชำระค่าโฆษณาไป แต่โอกาสในความสำเร็จของการทำ SEO อาจจะสะดุดได้ หากเว็บไซต์ของคุณมีการผลิตคอนเทนต์ภายใต้คีย์เวิร์ด (Keyword) เดียวกันออกมามากเกิน หรือเขียนเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันบนหลาย ๆ หน้า เพราะ Google จะเข้าใจว่าคุณมีความตั้งใจมากเกินไป ไม่เป็นธรรมชาติ และเกิดความสับสนว่าควรจะแสดงหน้าไหนขึ้นมาโชว์บนหน้าแสดงผลการค้นหาหรือ SERP ดี
หลังจากที่พบปัญหานี้จำนวนมาก Google จึงได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “Canonical Tag” ขึ้นมา โดยผ่านการอัปเดตของ Broad Core Algorithm Update เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาข้อมูลซ้ำซ้อนที่อยู่บนเว็บไซต์เดียวกัน และยังช่วยคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ไปใช้ตัวอีกด้วย
โดยในบทความนี้ ANGA จะพาคุณมาคลายข้อสงสัยว่า Canonical Tag คืออะไร, มีประโยชน์ต่อการทำ SEO อย่างไร, Canonical Tag สามารถนำไปใช้ในกรณีไหนได้บ้าง, วิธีใส่ Canonical Tag และยังรวมไปถึงวิธีการตรวจสอบการทำงานของ Canonical Tag ด้วยเช่นกัน
Canonical Tag คืออะไร
Canonical Tag คือตัวช่วยที่เราใช้ในการบอกให้ Google หรือ Search Engine รู้ว่าเราต้องการส่งพลังของหน้านี้ไปยังหน้าใด โดยหน้าต้นทาง (หน้าที่เราใส่ Canonical Tag) จะเป็น “หน้ารอง” ที่มีเนื้อหาซ้ำกับหน้าหลัก แต่ไม่ได้มีคุณภาพเทียบเท่ากับหน้าหลัก ส่วนหน้าที่อยู่ปลายทาง (หน้าที่ถูกนำ URL ไปใส่) จะถูกนับว่าเป็น “หน้าหลัก” ที่เราต้องการให้ Google นำไปแสดงผลและจัดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหานั่นเอง ซึ่ง Canonical Tag จะอยู่ในรูปแบบของ Tag หรือโค้ดด้านล่างนี้
<link rel=”canonical” href=”URL ของหน้าหลัก“>
ตัวอย่างเช่น
- หน้าหลัก : https:// abcd . com/seo
- หน้ารอง : https:// abcd . com/what-is-seo
เราจะทำ Canonical Tag จากหน้า /what-is-seo ไปยังหน้า /seo เพื่อให้ Google เข้าใจว่าถ้ามีคนค้นหาคำว่า “SEO” และ Google อยากจะนำเว็บไซต์ของเราไปแสดงผลล่ะก็ ให้เลือกใช้หน้า /seo ไปแสดงผลแทน
ข้อดีของการทำ Canonical Tag คืออะไร
Canonical Tag มีประโยชน์ต่อการทำ SEO อย่างมาก โดยเฉพาะกับเว็บไซต์ที่เปิดมานานแล้วมีข้อมูลอยู่จำนวนมาก รวมไปถึงเว็บไซต์ที่มีการวางแผนการทำคอนเทนต์ที่ไม่ดี จนทำให้เกิดปัญหาเรื่องคอนเทนต์ลอกเลียนแบบกันขึ้น เนื่องจาก Canonical Tag จะทำให้ Google สามารถ Index หน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของเราได้อย่างถูกต้อง และดันอันดับ SEO ของเราให้สูงขึ้นไปพร้อม ๆ กันด้วย
Canonical Tag ถูกนำไปใช้ในกรณีใดบ้าง
ถึงแม้ว่าการใช้งาน Canonical Tag จะเป็นเรื่องดีและควรทำ แต่ไม่ใช่ว่าทุก ๆ หน้าบนเว็บไซต์ควรทำ Canonical Tag เพราะการใส่ Canonical Tag มากเกินไป หรือกำหนด Canonical Tag จากทุกหน้าไปยังหน้าเดียว อาจทำให้เกิดผลเสียต่อเว็บไซต์และการทำ SEO มากกว่าที่คิดได้ แนะนำให้นำ Canonical Tag ไปใช้งานในกรณีที่จำเป็นอย่าง 3 กรณีต่อไปนี้จะเป็นการดีที่สุด
1. Duplicate Content
Duplicate Content คือคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาเหมือนกัน, มีการใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน หรือมีการ Copy เนื้อหาจากหน้าหนึ่งไปใส่ในอีกหน้าหนึ่งแบบเป๊ะ ๆ โดยไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขให้ต่างจากเดิม
2. Similar Content
Similar Content คือคอนเทนต์ที่มีความคล้ายคลึง มักจะพบบ่อยกับในเว็บไซต์ขายของออนไลน์ (e-Commerce) ที่มีสินค้าจำนวนมาก มักจะขายสินค้าประเภทเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างกันแค่รุ่นและราคา จึงทำให้รายละเอียดของสินค้าในแต่ละหน้าคล้ายกันเป็นอย่างมาก
3. URL Parameters
URL Parameters คือ URL ที่มีการกำหนดค่าตัวแปรหรือ UTM (Urchin Tracking Modules) เพื่อติดตามและวัดผลของแคมเปญทางการตลาดที่ทำงานบนเว็บไซต์ อย่างการติดตามแหล่งที่มาของ User เพราะสิ่งนี้จะทำให้เว็บไซต์ของเรามี URL ซ้ำกันเยอะไปหมด มีเนื้อหาเดียวกัน แต่ต่างกันแค่ URL Parameters เท่านั้น
เช่น
- https:// abcd . com/seo/?utm_source=facebook
- https:// abcd . com/seo/?utm_source=twitter
หรือ
- https:// abcd . com/seo/?utm_campaign=midyearsale
- https:// abcd . com/seo/?utm_campaign=valentineday
วิธีการใส่ Canonical Tag บน WordPress
เว็บไซต์ที่เป็น WordPress คุณสามารถสร้าง Canonical Tag ผ่านการใช้งานปลั๊กอิน Yoast SEO ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยการเข้าไปที่ระบบหลังบ้านของหน้ารอง เลื่อนลงมาตรงข้างล่างเนื้อหาจะเจอกับ Yoast SEO จากนั้นคลิกที่แถบ Advanced และใส่ URL หน้าหลักที่ต้องการส่งพลังไป ลงในช่อง Canonical URL ได้เลย
วิธีตรวจสอบการทำงานของ Canonical Tag
วิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบว่า Canonical Tag ที่ทำไปนั้นถูกต้องหรือไม่ คือการตรวจสอบผ่านเครื่องมือ “MozBar” หรือ “SEO META in 1 CLICK” ที่เป็น Extension (ส่วนขยาย) ของ Google Chrome หลังจากที่ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดหน้าเว็บที่ต้องการ และกดไปที่ Extension เพื่อดูสถานะของ Canonical Tag ได้เลย
- MozBar > General Attributes > Rel=”canonical”
- SEO META in 1 CLICK > SUMMARY > Canonical
สิ่งที่ต้องระวังก่อนใช้งาน Canonical Tag
- ไม่ควรทำ Canonical Tag จากหน้า A ไปยังหน้า B ไปยังหน้า C ฯลฯ ต่อกันเป็นลูกโซ่
- อย่าทำ Canonical Tag จากทุกหน้าบนเว็บไซต์ ไปยัง URL เดียว
- ตรวจเช็กไม่ให้มี Canonical Tag มากกว่า 1 Tag ในหน้าเดียว
- ไม่ควรทำ Canonical Tag ด้วย URL แบบย่อ ควรใส่ URL ของเต็ม ๆ หรือ Exact URL ไปเลย
- ตรวจสอบ URL ให้เรียบร้อยก่อนทำ Canonical Tag เพราะอาจทำให้มีปัญหาตามมาได้
บทสรุป
แองก้าขอสรุปอีกครั้งแบบรวบรัดว่า Canonical Tag คือการทำให้ Google สามารถ Index หน้าเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้องและตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด โดยแนะนำให้ทำ Canonical Tag ในกรณีที่มีปัญหาเรื่อง Duplicate Content, Similar Content และ URL Parameters ที่มาจากการทำ UTM เท่านั้น ไม่ควรทำ Canonical Tag มากเกินความจำเป็น
จากข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ทำให้เราพบว่าการวางแผนโครงสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ดี เป็นสิ่งสำคัญและควรลงมือทำตั้งแต่เริ่มสร้างเว็บไซต์เลย ไม่เช่นนั้น อาจจะพบปัญหาเหล่านี้ตามมาได้ ซึ่งการตามแก้ย่อมยากกว่าการทำขึ้นมาใหม่อยู่แล้ว อย่างที่เราทราบกันเป็นอย่างดีสุดท้ายนี้ ถ้าคุณเจอปัญหาเกี่ยวกับการทำ SEO อยู่ ไม่ว่าจะเป็น SEO Technical Audit, เว็บไซต์โหลดช้า, เว็บไซต์ไม่ติดอันดับ หรือแม้แต่การมองหาคนเขียนบทความ SEO อยู่ล่ะก็ สามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของแองก้าได้ที่ 02-023-8899 หรือ LINE @ANGA