SGE คืออะไร? และมีบทบาทต่อการทำ SEO ในอนาคตอย่างไร?
ค้นหาข้อมูลทีไร คนส่วนใหญ่มักจะหันไปพึ่ง Search Engine อย่าง Google ไปซะหมด เพราะมีคำตอบของทุกเรื่องรวมอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว แต่ครั้นจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตอบตรงกับจุดประสงค์ที่คุณต้องการก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย เพราะคุณต้องกดเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมอีกที ด้วยเหตุนี้ Google จึงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Search Generative Experience (SGE) ขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับคำตอบที่ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
และหลังจากที่มีการเปิดตัวมาไม่นาน SGE ทำให้หลาย ๆ คนมีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของการทำ SEO ว่ามันอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่สามารถทำ SEO ด้วยวิธีเดิม ๆ ได้อีกต่อไป รวมทั้งอาจทำให้พฤติกรรมของผู้ใช้งานเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย ซึ่งข่าวลือเหล่านี้จะเป็นจริงหรือไม่ และ SGE คืออะไร? สามารถหาคำตอบกับ ANGA ได้ในบทความนี้เลย!
Search Generative Experience หรือ SGE คืออะไร?
Search Generative Experience หรือ SGE คือฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่เป็นการนำ Generative AI เข้ามาช่วยตอบคำถามผู้ใช้งานบน Google Search ในลักษณะของการพูดคุยโต้ตอบแบบบทสนทนา ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องกดเข้าไปอ่านบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เลย เนื่องจากฟีเจอร์ SGE นี้ จะนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วน อัปเดต พร้อมสรุปประเด็นสำคัญที่คุณควรรู้ ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยข้อมูลโดยสังเขป รูปภาพ วิดีโอ เว็บไซต์อ้างอิงข้อมูล ราคาสินค้า หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังมีการแนะนำคำถามที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมด้วย
เมื่อ Google’s SGE ทำงานแล้ว คุณสามารถกดปุ่ม “Ask a follow up” เพื่อส่งคำถามเพิ่มเติมได้ง่าย ๆ โดย Google’s SGE จะทำการโต้ตอบและใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติกับคุณ เสมือนว่าคุณกำลังพูดคุยกับมนุษย์อยู่เลยก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีการส่งคำถามที่มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพ การเงิน และการใช้ชีวิต (YMYL หรือ Your Money Your Life) ฟีเจอร์ SGE นี้อาจไม่ทำงาน เนื่องจากเป็นประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนนั่นเอง
โดยในก่อนหน้านี้ ทาง Google ได้เปิดทดสอบฟีเจอร์ Search Generative Experience ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว และรองรับการค้นหาในภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ในตอนนี้ได้เปิดโอกาสให้ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ รวม 120 ประเทศทั่วโลกลงทะเบียนเพื่อทดสอบแล้ว พร้อมรองรับภาษาเพิ่มอีก 4 ภาษาด้วยกัน คือเกาหลี อินโดนีเซีย โปรตุเกส และสเปน หากคุณอยากลองใช้งาน Google’s SGE แล้วล่ะก็ สามารถไปลงทะเบียนผ่าน Google Labs ได้เลย!
Search Generative Experience มีการทำงานอย่างไร?
Search Generative Experience คือ ตัวช่วยที่จะทำให้การค้นหาข้อมูลของผู้ใช้งานสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Google’s SGE มีการทำงานโดยใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model, LLM) ในการอ่านข้อมูล ประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากแบบอัตโนมัติ ในเวอร์ชันล่าสุดคือ PaLM2 หรือ Pathways Language Model2 สามารถรองรับภาษาได้มากกว่า 100 ภาษาทั่วโลก สามารถการเรียนรู้และเชื่อมโยงคำที่เป็นธรรมชาติ คล้ายกับภาษาที่มนุษย์ใช้กันจริง ๆ ได้ อีกทั้งยังสามารถเขียนโค้ดได้และแก้โจทย์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย
เมื่อเราเจาะลึกลงไปในการทำงานของ Search Generative Experience จะพบว่า SGE ยังมีฟีเจอร์ย่อยที่น่าสนใจอีกหลายฟีเจอร์เลยทีเดียว และทางแองก้าจะมาแนะนำฟีเจอร์ที่มีความโดนเด่นให้รู้กัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
AI-powered snapshots
AI-powered snapshots เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ SGE แสดงผลลัพธ์อยู่ที่ด้านบนสุดของหน้า Search เสมอ และแสดงข้อมูลได้หลากหลาย ครบถ้วน รวมทั้งระบุแหล่งที่มาหรือลิงก์อ้างอิงด้วย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนั้น ๆ ด้วยตัวเองต่อได้
Vertical experience
Vertical experience เป็นการแสดงข้อมูลแบบแนวตั้ง เพื่อให้ผู้ใช้งานเห็นข้อมูลและรายละเอียดของสินค้ามากขึ้น ทั้งภาพสินค้า คำอธิบายสินค้า คุณสมบัติ ราคา คะแนน รีวิว ฯลฯ โดยจะมีตัวเลือกสินค้าขึ้นมาให้ดูพร้อมกันหลายรายการ เพื่อให้คุณนำไปเปรียบเทียบและพิจารณาตัดสินใจ
Advertisement
จากการยิงโฆษณา Google Ads ทั่วไป ที่แสดงเพียงแค่โฆษณาเท่านั้น ฟีเจอร์นี้ของ SGE จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์กลับไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อหลาย ๆ ธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้ไม่พอ ยังช่วยกระตุ้นยอดขายให้แก่ธุรกิจได้อีกด้วย
Creativity
Search Generative Experience (SGE) ไม่ได้มีดีเพียงการหาคำตอบที่รวดเร็ว แต่ยังสามารถออกไอเดียและสร้างสรรค์ผลงานให้คุณได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับงานเขียนหรือวิธีทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำงานส่วนนี้ไปได้มาก!
User experience
Google ได้ศึกษาและวิจัยพฤติกรรมของผู้ใช้งานมานานหลายปี เพื่อใช้ในการออกแบบ User Interface ของ Search Generative Experience (SGE) โดยมุ่งเน้นให้ Google’s SGE นี้ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้มากที่สุด ทั้งมีประโยชน์และสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย ซึ่งฟีเจอร์ AI-powered snapshots จะเป็นตัวที่ทำให้ Google รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้งานลึกลงไปอีกขั้น เพราะฟีเจอร์นี้มีการดึงสีสันต่าง ๆ มาแสดง และสามารถเปลี่ยนได้แบบไดนามิกอีกด้วย
Google’s SGE ส่งผลต่อการทำ SEO หรือไม่?
Google’s SGE ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO และ Traffic ที่จะเข้ามาบนเว็บไซต์อย่างแน่นอน แต่จะกระทบมากน้อยแค่ไหน ถึงขั้นร้ายแรงหรือไม่ เพราะในขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการทดลองอยู่ เบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่า SGE จะทำให้ Impression Click และ CTR ลดลง เนื่องจาก SGE แสดงผลลัพธ์ขนาดใหญ่อยู่แล้ว หากข้อมูลถูกสรุปจนครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ผู้ใช้งานจะเลื่อนลงมาอ่านเว็บไซต์อื่น ๆ เลย รวมถึงตัว Featured Snippet ก็อาจจะถูกลดความสำคัญลงไปด้วยเช่นกัน
ในขณะนี้ Google’s SGE ยังมีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน เนื่องจากข้อมูลที่ SGE ถนัดและสามารถให้คำตอบได้ดีจะเป็นพวก Information เช่น SEO คืออะไร, พลาสติกผลิตจากอะไร, ประวัติศาสตร์ไทยเป็นมาอย่างไร ฯลฯ แต่ถ้าผู้ใช้งานต้องการคำตอบที่ได้จาก “ประสบการณ์” อย่างพวกรีวิวต่าง ๆ SGE อาจให้คำตอบไม่ได้ เนื่องจาก SGE ไม่ใช่มนุษย์ที่เคยใช้งานสินค้าเหล่านั้นมาก่อน ทั้งนี้ หากมีเว็บไซต์ใดเขียนรีวิวเกี่ยวกับสินค้าที่คุณสนใจ SGE ก็จะนำข้อมูลในส่วนนั้นมาแสดงแทน
สรุปบทความ SGE
Google’s Search Generative Experience หรือ SGE คือสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO ในอนาคตอย่างแน่นอน แต่จะได้รับผลกระทบมากแค่ไหน ต้องปรับตัวอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อการทำโฆษณา Google Ads ด้วยหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไปเมื่อมีการเปิดใช้งาน SGE โดยสมบูรณ์ในประเทศไทยไปได้ระยะหนึ่ง
สุดท้ายนี้ หากคุณไม่อยากตกเทรนด์และรู้เท่าทันคู่แข่งด้วยการทำ Google’s SGE สามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่ ANGA ได้เลย! เราคือเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ที่โดดเด่นเรื่องการทำ SEO เป็นที่สุด มีบริการรับทำ SEO ครบวงจร และแน่นอนว่ารับทำ SGE เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจของคุณด้วยเช่นกัน!