ปัจจุบันพฤติกรรมการค้นหาใน Google ไม่ได้มีแค่การพิมพ์ข้อความเท่านั้น แต่ Google Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ กลายเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาสินค้า หรือหาข้อมูลเฉพาะทางที่เห็นภาพแล้วเข้าใจง่ายกว่า หลายธุรกิจที่เน้นการสื่อสารด้วยภาพ (Visual Content) จึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้าง Landing Page สำหรับรูปภาพสำคัญๆ เช่น ธุรกิจที่ต้องการโชว์ผลงาน (Portfolio), ธุรกิจที่ต้องการขาย Storytelling ผ่านรูปภาพ หรือแม้แต่ธุรกิจบริการที่ต้องการโชว์ Case Study ผ่านรูป Before & After
คุณธีรวัชร เกียรติธีราภิวัฒน์ - SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า
"เวลาลูกค้าเสิร์ช Google อาจไม่ได้เจอหน้า Home หน้าสินค้าหรือบริการของเราเสมอไป แต่พวกเขาอาจเจอรูปภาพจาก Google Image Search แล้วคลิกเข้ามาก็ได้ครับ หากเว็บของคุณมีรูปภาพที่ไม่ซ้ำใคร และภาพนั้นมีความสำคัญต่อธุรกิจมากๆ นอกจากจะช่วยเพิ่มผู้เข้าชมเว็บ ธุรกิจของคุณอาจได้ลูกค้าจากช่องทางนี้เพิ่มเข้ามาก็ได้ครับ”
ทำไมต้องสร้าง Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ
หลายคนอาจคิดว่า ก็ทำ Alt Text รูปภาพในบทความแล้ว ยังไม่พอหรอ? บอกเลยว่ายังไม่พอครับ เพราะถ้าเราวางแผนสร้าง Landing Page ให้รูปภาพสำคัญๆ ก็อาจทำให้ธุรกิจของเราปรากฏในทุกช่องทางการค้นหาก่อนคู่แข่งได้ นอกจากนี้การสร้าง Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ ยังส่งผลดีต่อการทำ SEO มากกว่าที่คิด
- เพิ่มการมองเห็นใน Google Image Search
การที่เรามีหน้าแกลเลอรีเอาไว้รวมรูปหลายๆ รูป Google Bot อาจจะยังไม่เข้าใจว่าแต่ละรูปต้องการสื่อถึงเรื่องอะไรได้แบบเฉพาะเจาะจง ดังนั้น การสร้างหน้า Landing Page ให้รูปที่มีความสำคัญกับธุรกิจของคุณ Google จะเข้าใจบริบทของภาพได้ชัดเจนกว่า และมีโอกาสดันรูปนั้นให้ติดอันดับสูงๆ ใน Image Search มากขึ้นครับ - เพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Organic Traffic) จากรูปภาพ
ลองนึกภาพตามว่าลูกค้าเสิร์ชหา "แบบห้องทำงาน" แล้วเจอรูปห้องทำงานสวยๆ ที่เป็นผลงานการออกแบบของคุณโดยเฉพาะ พอกดเข้าไปแทนที่จะเด้งไปหน้าแกลเลอรีรวมที่มีรูปอื่นเต็มไปหมด แต่การสร้างหน้า Landing Page ให้กับรูปภาพ "แบบห้องทำงาน" โดยเฉพาะ มีคำอธิบายเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นภาพมากขึ้น เป็นการสร้างทราฟฟิกคุณภาพที่มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าจริงได้เลยครับ - เป็นช่องทางในการสร้าง Backlink คุณภาพ
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการนำรูปเราไปใช้แล้วให้เครดิตและแปะลิงก์กลับมา (Backlink) ถ้าลิงก์ชี้มาที่หน้า Landing Page เฉพาะของรูปนั้นโดยตรง หน้าเว็บนั้นก็จะได้รับ Link Juice เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านลิงก์ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Authority ให้กับเว็บเราในระยะยาว ดีกว่าลิงก์ที่ชี้กลับมาหน้าแกลเลอรีรวมเยอะเลยครับ - เพิ่มความน่าเชื่อถือ (E-E-A-T) ในเชิง Visual Content
แนวคิด E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ไม่ได้มีแค่ในบทความนะครับ การที่เรามีหน้า Landing Page ที่อธิบายรายละเอียดของรูปภาพนั้นๆ อย่างชัดเจน ถือเป็นการโชว์ความเชี่ยวชาญ (Expertise) และความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) ในเรื่องนั้นๆ ให้ Google เห็นว่าเราคือตัวจริงในอุตสาหกรรมนี้ได้เหมือนกันครับ
ธุรกิจแบบไหนที่ควรสร้าง Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ
ผมคิดว่า ทุกธุรกิจที่ใช้รูปภาพเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้า ยกตัวอย่างที่หลายเว็บไซต์อาจจะทำอยู่ คือ
- เว็บทั่วไปที่สร้างหน้าแกลเลอรีเอาไว้รวมรูป: มีการใช้ JavaScript โหลดแบบ Lightbox ที่รูปเด้งขึ้นมาบนหน้าเดิม ไม่มีคำอธิบายแต่ละภาพ หรือมีก็เป็นคำสั้นๆ ซ้ำๆ กัน ผลลัพธ์คือ Google งง ไม่รู้จะดันรูปไหนดี อาจมองว่ารูปทั้งหมดเป็นแค่ส่วนประกอบของหน้านั้น
- เว็บที่วางกลยุทธ์ Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ: อาจมีการเลือกรูปที่สำคัญที่สุดมาสร้าง 10 URL ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า มี Alt Text ชัดเจน และมีคำอธิบายโปรเจกต์นั้นๆ โดยเฉพาะ อาจมีการใส่ CTA (Call to action) กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจเข้าไปด้วยก็ได้ ผลลัพธ์คือ Google เข้าใจทันทีว่าหน้านี้มีรูปภาพที่เกี่ยวกับอะไร เพิ่มโอกาสที่ Google จะดันรูปใน Image Search มากขึ้นครับ
เทคนิคสร้าง Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ
Google ได้แนะนำอย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถปรับแต่งรูปภาพของคุณให้ปรากฏในผลการค้นหาของ Google ได้ โดยการปรับแต่งหน้า Landing Page ของรูปภาพนั้นๆ”
1. โครงสร้าง HTML ที่ Google เข้าใจได้
นี่คือพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เราต้องไม่ลืมว่า Google Bot ไม่ได้เห็นรูปภาพสวยๆ เหมือนที่เราเห็น แต่มันจะอ่านโค้ด HTML ที่อยู่บนเว็บไซต์ทั้งหมด ถ้ามีการใช้โค้ด HTML ถูกต้อง มันก็จะเข้าใจทันทีว่า ตรงนี้คือรูปภาพและรูปนี้เกี่ยวกับอะไร
- ใช้แท็ก <img> แบบมาตรฐาน
<img src="...">
แท็กภาษา HTML มาตรฐานสากลที่ทุกเบราว์เซอร์และ Google Bot เข้าใจตรงกัน เป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการบอก Google ว่าตรงนี้เป็นรูปภาพ เมื่อมันวิ่งมาเจอแท็ก <img> นี้ ก็จะรู้ทันทีว่านี่คือรูปภาพและจะพยายามเก็บข้อมูลรูปนี้ไปจัดอันดับ (Index)
- ใส่ Alt Text หรือคำอธิบายรูปที่สื่อความหมายจริงๆ
<img src="..." alt="...">
Alt Text ย่อมาจาก Alternative Text คือส่วนที่ใช้อธิบายรูปภาพนั้นๆ เพื่อให้ Google เข้าใจบริบทของรูปภาพชัดเจนว่าคือรูปอะไร และรู้ว่าควรจัดอันดับรูปนี้ในคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำว่าอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นควรแทรกคีย์เวิร์ดหลัก (Focus Keyword) เข้าไปในส่วนของ Alt Text อย่างเป็นธรรมชาติด้วยนะครับ
- หลีกเลี่ยงการโหลดภาพด้วย JavaScript
หลายเว็บไซต์มักใช้เทคนิคอย่าง Lazy Loading ที่รูปค่อยๆ โหลดตามมาทีหลัง หรือแกลเลอรีแบบ Lightbox ที่พอกดแล้วรูปเด้งขึ้นมากลางจอ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้มักใช้ JavaScript ในการเรียกรูปภาพ ปัญหาคือ Google Bot ที่เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเรา อาจจะรัน JavaScript พวกนี้ไม่สำเร็จ ทำให้มองไม่เห็นรูปภาพที่ซ่อนไว้ในสคริปต์เหล่านั้น และเมื่อ Google มองไม่เห็น รูปของเราก็จะไม่ถูกนำไปจัดอันดับใน Google Image Search นั่นเอง
ตัวอย่าง: การใช้โค้ด JavaScript โหลดแกลเลอรี Lightbox
<script>
// Open the Modal
function openModal() {
document.getElementById("myModal").style.display = "block";
}
</script>
- อย่าใช้ CSS Background ถ้าภาพนั้นสำคัญ
การใส่รูปในเว็บมี 2 วิธีหลักๆ คือ การใส่ใน HTML ด้วยแท็ก <img> และการใส่ใน CSS ด้วยคำสั่ง background-image เป็นการบอกว่ารูปนี้เป็นภาพพื้นหลัง ถ้าคุณเอารูปสินค้าที่สำคัญที่สุด, รูปผลงานโปรเจกต์สำคัญ, หรือรูป Infographic ที่มีข้อมูลแน่นๆ ไปใส่เป็น background-image เพื่อให้มันแสดงเป็นพื้นหลังสวยๆ Google bot จะมองข้ามรูปนั้นไปทันทีครับ
2. เขียนคำอธิบายให้แต่ละภาพ
หัวใจสำคัญของการสร้าง Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ คือ บริบท (Context) ในแต่ละหน้าควรมีข้อความอธิบายภาพอย่างละเอียด ไม่ใช่มีแต่รูปภาพลอยๆ การเขียนคำอธิบายควรระบุให้ชัดเจนว่า ภาพนั้นคืออะไร ต้องการนำเสนออะไรเกี่ยวกับภาพนี้ เพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญหรือความแตกต่างจากภาพอื่นๆ
ตัวอย่างคำอธิบายภาพ: "ภาพนี้แสดงตัวอย่าง การออกแบบห้องทำงานสไตล์มินิมอล (Minimal Workspace Design) ที่ผสมผสานความเรียบง่ายกับความอบอุ่นจากโทนไม้ธรรมชาติที่ลูกค้าชื่นชอบ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายเมื่อต้องการพักผ่อน"

ข้อความลักษณะนี้จะช่วยให้ Google เข้าใจได้ทันทีว่า ภาพดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ “การออกแบบห้องทำงาน” ข้อควรระวังคือ ห้าม Copy คำอธิบายจากหน้าอื่นมาแปะเด็ดขาด เนื้อหาในแต่ละ Landing Page ของรูปต้องไม่ซ้ำกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา Duplicate Content ซึ่งอาจลดโอกาสในการจัดอันดับทั้งภาพและหน้าเว็บนั้นได้ครับ
3. ใส่ Focus Keyword อย่างเป็นธรรมชาติ
ใส่คีย์เวิร์ดหลัก (Focus Keyword) เข้าไปในโครงสร้างบทความตามวิธีการทำ SEO โดยเฉพาะในส่วน Title และ Meta Tag เพราะเวลาเสิร์ชรูปภาพใน Google ระบบจะแสดงภาพพร้อม Title ขึ้นมาให้เห็นแบบนี้ หากเราเขียน Title ที่ทั้งน่าสนใจและมีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ในนั้น จะช่วยเพิ่มโอกาสให้รูปภาพของเราปรากฏในผลการค้นหาได้มากขึ้น และยังช่วยดึงดูดสายตาและความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายให้คลิกเข้าเว็บเราได้ด้วยครับ

และนอกจาก Title และ Meta Tag ควรใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ในส่วนสำคัญๆ เหล่านี้ด้วย
- H1: หัวข้อหลักของหน้าต้องมีคีย์เวิร์ดหลักที่ควรสอดคล้องกับ Title
- H2, H3…: หัวข้อรองลงมาก็ควรมีคีย์เวิร์ดหลักแทรกอยู่บ้าง เป็นการอธิบายประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อหลัก
- เนื้อหาในย่อหน้าแรก (First Paragraph): ควรใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ในย่อหน้าเกริ่นนำก่อนเข้าเรื่องเสมอ
- คำบรรยายใต้ภาพ (Image Caption): หากมีการใช้ Caption (ข้อความใต้ภาพ) การใส่คีย์เวิร์ดในส่วนนี้จะช่วยย้ำให้ทั้งผู้อ่านและ Google เข้าใจรูปภาพสำคัญๆ ของเราได้ดียิ่งขึ้น
- Alt Text: คำอธิบายรูปภาพที่ใช้อธิบาย Google Bot โดยเฉพาะว่าภาพนั้นคืออะไร เป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับ Image SEO
- Filenames: ควรตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาอังกฤษที่มีความหมาย สื่อถึงรูปนั้นๆ ได้อย่างเข้าใจ เช่น office design.jpg แทนการตั้งชื่อไฟล์ว่า image1.jpg
สิ่งสำคัญคือ การเลือกใช้คีย์เวิร์ดในแต่ละ Landing Page ต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่ต้องการจะเขียนด้วย ไม่พยายามยัดคีย์เวิร์ดจนอ่านแล้วรู้สึกขัด เพราะ Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้เป็นอย่างมากครับ
4. ติด Schema Markup สำหรับรูปภาพ
เมื่อมีการใช้โค้ด HTML อย่างถูกต้องตามข้อ 1 การติด Schema Markup (Structured Data) เป็นโค้ดที่ทำให้ Google bot เข้าใจได้ทันทีว่าภาพนั้นเกี่ยวกับอะไร ซึ่งการจะเลือกใช้ประเภท Schema ต้องดูว่า Landing Page ของรูปนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรด้วย เช่น
- Product Schema สำหรับหน้าขายสินค้า
- Recipe Schema สำหรับหน้าสูตรอาหารต่างๆ
- Article หรือ News Article สำหรับเว็บ Blog, ข่าว, บทความรีวิว
- ImageObject Schema ใช้ได้กับทุกรูปภาพเลยครับ ถ้าเรามีหน้า Landing Page ที่สร้างมาเพื่อโชว์รูปนั้นโดยเฉพาะ อย่างน้อยที่สุดแนะนำให้ใส่ ImageObject Schema เป็นการย้ำกับ Google ว่ารูปนี้คือเนื้อหาหลักของหน้านี้นะ
สำหรับมือใหม่ไม่ต้องตกใจว่าแล้วต้องไปเขียนโค้ดยังไง? เพราะปัจจุบัน Plugin SEO อย่าง Yoast SEO, Rank Math บน WordPress มีเครื่องมือช่วยสร้าง Schema พวกนี้ให้เราง่ายๆ ครับ
สร้าง Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ อาจเปลี่ยนรูปธรรมดาให้เป็นยอดผู้เข้าชมได้
สรุปง่ายๆ ก็คือ Google ไม่ได้ดูแค่รูปแล้วเข้าใจได้เลยว่ารูปนั้นคืออะไร แต่ Google bot จะอ่านสิ่งที่อยู่รอบๆ นั้นด้วยทั้งตัวหนังสือและชุดโค้ดต่างๆ และเมื่อรูปของเราอยู่บน Landing Page ที่เนื้อหาทั้งหมดพูดเกี่ยวกับรูปนั้น เช่น รูปภาพการออกแบบห้องทำงานอยู่ในหน้าที่พูดถึงการออกแบบห้องทำงานผู้บริหาร Google ก็จะยิ่งมั่นใจและเข้าใจบริบทของภาพได้ดีกว่าการที่รูปนั้นไปอยู่ในหน้าแกลเลอรีรวมนั่นเองครับ
การสร้าง Landing Page ให้รูปภาพสำคัญ อาจจะต้องใช้เวลากว่าการโยนรูปทั้งหมดลงไปในหน้าแกลเลอรีทีเดียว แต่ผมมองว่าการสร้าง Landing Page ให้แต่ละรูปภาพ นอกจากจะยกระดับจากการทำ Image SEO แบบเดิมๆ ที่เน้นแค่การใส่ Alt Text เทคนิคนี้ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวมาก โดยเฉพาะธุรกิจที่มักจะปิดการขายส่วนใหญ่ผ่านรูปภาพ
ลองกลับไปสำรวจเว็บของคุณอีกครั้งว่า มีรูปไหนที่สำคัญกับธุรกิจ แต่กลับถูกซ่อนอยู่ในแกลเลอรีรวมบ้าง? นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของทราฟฟิกใหม่ๆ ที่คุณมองข้ามไปก็ได้ครับ






