1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. Storytelling คืออะไร ดีต่อแบรนด์อย่างไร และวิธีทำที่เห็นผลจริง
Storytelling คือ
เผยแพร่เมื่อ: มกราคม 28, 2025

Storytelling คืออะไร ดีต่อแบรนด์อย่างไร และวิธีทำที่เห็นผลจริง

Table Of Contents

เรื่องราว (Story) ของแบรนด์สามารถทำให้แบรนด์ดูโดดเด่น น่าสนใจ และมีความแตกต่างจากคู่แข่งในทางที่ดีในสายตาของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้เป็นอย่างดี จนเปลี่ยนสถานะจากคนรู้จักมาเป็นลูกค้าในท้ายที่สุด ถ้าคุณอยากให้แบรนด์ของคุณมีเรื่องราวอันน่าประทับใจจนสามารถมัดใจลูกค้าได้อย่างอยู่หมัด กลยุทธ์ Storytelling คือคำตอบ เพราะ Storytelling คือการที่แบรนด์นำเสนอคุณค่าและตัวตนผ่านเรื่องเล่าที่สามารถสร้างความรู้สึกร่วมและเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อนำมาผสมผสานเข้ากับกลยุทธ์ Content Marketing ที่เหมาะสมอย่างการทำ SEO ด้วยแล้ว ผู้บริโภคจะไม่ได้หยุดอยู่ที่การเป็นลูกค้าธรรมดา แต่มีโอกาสเลื่อนขั้นไปเป็น Loyalty Customer (ลูกค้าผู้ภักดีต่อแบรนด์) ด้วย มารู้จักกลยุทธ์ Storytelling ให้มากขึ้น และเรียนรู้วิธีการสร้าง Storytelling อย่างยั่งยืนได้ในบทความนี้กับ ANGA

Storytelling คืออะไร

Storytelling คือการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจและมีความรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวนั้น Storytelling เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ได้ผลดีไม่แพ้กลยุทธ์อื่น ๆ เนื่องจากมีการสอดแทรกเรื่องราวความเป็นมา ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เล่าลงไปด้วย อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ สิ่งที่ทำให้เกิดเป็นสินค้าหรือบริการนี้ขึ้นมา หรืออื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ Storytelling จึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกเชื่อมั่น กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยมัดใจและเชื่อมโยงผู้บริโภคให้เข้ากับแบรนด์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

Storytelling คือ


ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ cambridge

Storytelling ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

Storytelling ที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน ลงตัว และสอดคล้องกัน โดยองค์ประกอบแต่ละส่วนจะช่วยส่งเสริมกันและทำให้ Storytelling สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Storytelling ที่ดีประกอบไปด้วย 5 ส่วนสำคัญ คือ

  1. Character หรือตัวละคร คือผู้ขับเคลื่อนเรื่องราวที่จะพาผู้ชมดำดิ่งไปในโลกของแบรนด์ ตัวละครที่สร้างขึ้นควรมีตัวตน มีความฝัน มีปมในใจ และมีเรื่องราวที่ทำให้ผู้ชมเชื่อมโยงตัวเองกับพวกเขาได้
  2. Plot หรือโครงเรื่อง เป็นเหมือนแผนที่ที่จะพาเรื่องราวเดินทางไปสู่จุดหมาย ตั้งแต่การปูพื้นฐานให้ผู้ชมรู้จักตัวละคร ไปจนถึงการพัฒนาเหตุการณ์และคลี่คลายปมต่างๆ  จนจบเรื่อง
  3. Conflict หรือความขัดแย้ง เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เรื่องราวน่าติดตาม อาจเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข อุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน หรือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวละคร
  4. Theme หรือแก่นเรื่อง คือสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร อาจเป็นคุณค่า ความเชื่อ หรือแนวคิดที่จะฝากไว้ในใจผู้ชม เช่น ความพยายามนำมาซึ่งความสำเร็จ หรือความฝันเป็นจริงได้ถ้าไม่ยอมแพ้
  5. Setting หรือฉาก ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่รวมถึงยุคสมัย บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมที่จะช่วยให้เรื่องราวสมจริงและน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของเรื่องราวนั้นจริง ๆ

Storytelling มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร

  • สร้างความแตกต่างให้แบรนด์ เรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าจดจำและนึกถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้น แม้จะอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ การเล่าเรื่องที่จริงใจและสมจริงช่วยสร้างความไว้วางใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจปัญหาและความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง
  • ระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เรื่องราวที่สร้างอารมณ์ร่วมสามารถโน้มน้าวใจและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่าการนำเสนอข้อมูลสินค้าแบบตรง ๆ
  • สร้างฐานลูกค้าที่ภักดี เมื่อลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวของแบรนด์ พวกเขามักจะกลายเป็นลูกค้าประจำและพร้อมแนะนำแบรนด์ให้กับคนรอบข้างต่อ ๆ ไป
  • เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ เรื่องราวที่น่าสนใจมักถูกแชร์ต่อในโลกออนไลน์ ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้มากขึ้น

ประเภทของ Storytelling

Storytelling มีหลากหลายรูปแบบ แต่ละประเภทมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ต้องการสื่อสารกับใคร ผ่านช่องทางไหน และต้องการสร้างผลลัพธ์อะไร ANGA จะพาคุณไปรู้จักกับประเภทของ Storytelling ที่แบรนด์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับกลยุทธ์การสื่อสารของตัวเองได้

1. Brand Storytelling

การถ่ายทอดตัวตน คุณค่า และความเชื่อของแบรนด์ผ่านเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ โดยเน้นสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เช่น Dyson ที่เล่าเรื่องราว “5,127 ต้นแบบ” ของเครื่องดูดฝุ่นรุ่นแรก สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน

2. Business Storytelling

การเล่าเรื่องที่มุ่งสื่อสารวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งพนักงาน นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจในการร่วมขับเคลื่อนองค์กร เช่น Patagonia ที่เล่าเรื่องราวพันธกิจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านแคมเปญ “Worn Wear” ที่ส่งเสริมการซ่อมแซมเสื้อผ้าแทนการซื้อใหม่

3. Digital Storytelling

การผสมผสานศิลปะการเล่าเรื่องเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งภาพ เสียง และวิดีโอ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Airbnb ที่สร้างซีรีส์ “Made Possible by Hosts” บน Instagram เล่าเรื่องราวประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างแขกกับโฮสต์

4. Personal Storytelling

การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านมุมมองและประสบการณ์ส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจ บทเรียนชีวิต หรือเส้นทางสู่ความสำเร็จ รูปแบบนี้มักสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและความเชื่อมโยงกับผู้ชมได้ง่าย เพราะทุกคนสามารถมองเห็นตัวเองในเรื่องราวนั้นได้ เช่น TOMS Shoes ที่เล่าเรื่องราวของ Blake Mycoskie ผู้ก่อตั้งที่เริ่มธุรกิจจากการเดินทางไปอาสาสมัครและพบว่าเด็กๆ ในประเทศด้อยพัฒนาไม่มีรองเท้าใส่

Storytelling


ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ secomapp

แจกเทคนิคสร้าง Storytelling ให้มัดใจลูกค้า

มาดูกันว่า 5 เทคนิคสร้าง Storytelling มัดใจลูกค้าฉบับ ANGA จะมีอะไรกันบ้าง

1. รู้จักเป้าหมาย

ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง ต้องรู้ก่อนว่ากำลังจะเล่าให้ใครฟัง เพราะแต่ละกลุ่มมีความสนใจและความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น เด็กรุ่นใหม่อาจชอบเรื่องสั้นกระชับ มีมุกตลก แต่คนทำงานอาจต้องการเรื่องที่ให้แง่คิดและประสบการณ์ที่นำไปใช้ได้จริง เช่น แบรนด์ Ben & Jerry’s ที่เล่าเรื่องราวการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านรสชาติไอศกรีมใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม

2. แก่นของเรื่องต้องชัดเจน

เรื่องเล่าที่ดีต้องมีแก่นความคิดที่ชัดเจน และสื่อสารออกมาให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อนจนงง ไม่วกวนจนหลงประเด็น เช่น แบรนด์ TOMS รองเท้าที่มีแก่นเรื่องคือ “ซื้อหนึ่งคู่ ให้หนึ่งคู่” – เรื่องราวของการแบ่งปันที่เข้าใจง่ายและจดจำได้ทันที

3. เรื่องราวต้องน่าติดตาม

สร้างโครงเรื่องที่มีจุดพลิกผันน่าสนใจ ชวนให้ลุ้น อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป โดยเฉพาะช่วงที่ตัวละครเจอปัญหาและต้องหาทางแก้ไข เช่น Method สบู่ธรรมชาติที่เล่าถึงการต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ด้วยแนวคิดการทำความสะอาดที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

4. เลือกช่องทางให้เหมาะสม

แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นต่างกัน TikTok เหมาะกับคลิปสั้นสนุก ๆ LinkedIn เหมาะกับเรื่องราวเชิงธุรกิจ Podcast เหมาะกับการพูดคุยเชิงลึก ต้องเลือกให้เหมาะกับเนื้อหาและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น Warby Parker แบรนด์แว่นตาที่เลือกเล่าเรื่องผ่าน Instagram ด้วยภาพถ่ายสวย ๆ และแคปชั่นที่มีสไตล์ เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักแฟชั่น

5. ติดตามผลและปรับแต่ง

วัดผลตอบรับจากการปล่อย Storytelling แต่ละครั้ง ดูว่าผู้ฟังชอบหรือไม่ชอบตรงไหน แล้วนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป อาจดูจากยอดไลก์ คอมเมนต์ หรือการแชร์ต่อ เช่น Glossier แบรนด์เครื่องสำอางที่ปรับการเล่าเรื่องให้เน้นรีวิวจากลูกค้าจริงมากขึ้น หลังจากเห็นว่าคอนเทนต์แบบนี้ได้รับความนิยมสูง

บทสรุป

ในตอนนี้ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งจนสามารถสู้และเอาชนะคู่แข่งได้ ไม่ใช่แค่การพัฒนาคุณภาพของสินค้าหรือการบริการให้ดีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูกค้าผ่านเรื่องราวด้วย Storytelling คือกลยุทธ์ที่จะช่วยบอกเล่าเรื่องราวและตัวตนของแบรนด์ไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกเข้าใจและอยากเดินทางไปร่วมกับแบรนด์ เมื่อคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายและเข้าใจความต้องการของพวกเขาแล้ว ต่อมาคือการคิดสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจและเลือกวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม แบรนด์ก็จะสามารถสร้าง Storytelling ที่ทรงพลังและสร้างประโยชน์ให้แก่ธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ANGA เปิดรับสมัคร AMC รุ่น 2 (2025)

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องกับโครงการ AMC (ANGA Management Candidates) รุ่น 2 ที่ใคร ๆ หลายคนต่างรอคอย หลังจากที่โครงการ AMC รุ่น 1 ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมาก  เพราะเป็นโครงการที
88

Demand Gen คือโฆษณารูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญโฆษณา Google Ads พร้อมเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าด้วย Demand Gen คือรูปแบบโฆษณาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Discovery Ads โดยการดึงเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้งาน พร้
101

DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด

อย่างที่เรารู้กันว่า Google เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แล้วรู้ไหมว่าใครคืออันดับสอง? คำตอบคือ DuckDuckGo นั่นเอง ซึ่ง DuckDuckGo คือ​ Search Engine ที่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยท
96
th