
Storytelling คืออะไร ดีต่อแบรนด์อย่างไร และวิธีทำที่เห็นผลจริง
เรื่องราว (Story) ของแบรนด์สามารถทำให้แบรนด์ดูโดดเด่น น่าสนใจ และมีความแตกต่างจากคู่แข่งในทางที่ดีในสายตาของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้เป็นอย่างดี จนเปลี่ยนสถานะจากคนรู้จักมาเป็นลูกค้าในท้ายที่สุด ถ้าคุณอยากให้แบรนด์ของคุณมีเรื่องราวอันน่าประทับใจจนสามารถมัดใจลูกค้าได้อย่างอยู่หมัด กลยุทธ์ Storytelling คือคำตอบ เพราะ Storytelling คือการที่แบรนด์นำเสนอคุณค่าและตัวตนผ่านเรื่องเล่าที่สามารถสร้างความรู้สึกร่วมและเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อนำมาผสมผสานเข้ากับกลยุทธ์ Content Marketing ที่เหมาะสมอย่างการทำ SEO ด้วยแล้ว ผู้บริโภคจะไม่ได้หยุดอยู่ที่การเป็นลูกค้าธรรมดา แต่มีโอกาสเลื่อนขั้นไปเป็น Loyalty Customer (ลูกค้าผู้ภักดีต่อแบรนด์) ด้วย มารู้จักกลยุทธ์ Storytelling ให้มากขึ้น และเรียนรู้วิธีการสร้าง Storytelling อย่างยั่งยืนได้ในบทความนี้กับ ANGA
Storytelling คืออะไร
Storytelling คือการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจและมีความรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวนั้น Storytelling เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ได้ผลดีไม่แพ้กลยุทธ์อื่น ๆ เนื่องจากมีการสอดแทรกเรื่องราวความเป็นมา ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เล่าลงไปด้วย อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ สิ่งที่ทำให้เกิดเป็นสินค้าหรือบริการนี้ขึ้นมา หรืออื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ Storytelling จึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกเชื่อมั่น กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยมัดใจและเชื่อมโยงผู้บริโภคให้เข้ากับแบรนด์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ cambridge
Storytelling ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
Storytelling ที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน ลงตัว และสอดคล้องกัน โดยองค์ประกอบแต่ละส่วนจะช่วยส่งเสริมกันและทำให้ Storytelling สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Storytelling ที่ดีประกอบไปด้วย 5 ส่วนสำคัญ คือ
- Character หรือตัวละคร คือผู้ขับเคลื่อนเรื่องราวที่จะพาผู้ชมดำดิ่งไปในโลกของแบรนด์ ตัวละครที่สร้างขึ้นควรมีตัวตน มีความฝัน มีปมในใจ และมีเรื่องราวที่ทำให้ผู้ชมเชื่อมโยงตัวเองกับพวกเขาได้
- Plot หรือโครงเรื่อง เป็นเหมือนแผนที่ที่จะพาเรื่องราวเดินทางไปสู่จุดหมาย ตั้งแต่การปูพื้นฐานให้ผู้ชมรู้จักตัวละคร ไปจนถึงการพัฒนาเหตุการณ์และคลี่คลายปมต่างๆ จนจบเรื่อง
- Conflict หรือความขัดแย้ง เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เรื่องราวน่าติดตาม อาจเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข อุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน หรือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวละคร
- Theme หรือแก่นเรื่อง คือสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร อาจเป็นคุณค่า ความเชื่อ หรือแนวคิดที่จะฝากไว้ในใจผู้ชม เช่น ความพยายามนำมาซึ่งความสำเร็จ หรือความฝันเป็นจริงได้ถ้าไม่ยอมแพ้
- Setting หรือฉาก ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่รวมถึงยุคสมัย บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมที่จะช่วยให้เรื่องราวสมจริงและน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของเรื่องราวนั้นจริง ๆ
Storytelling มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร
- สร้างความแตกต่างให้แบรนด์ เรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าจดจำและนึกถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้น แม้จะอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ การเล่าเรื่องที่จริงใจและสมจริงช่วยสร้างความไว้วางใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจปัญหาและความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง
- กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เรื่องราวที่สร้างอารมณ์ร่วมสามารถโน้มน้าวใจและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่าการนำเสนอข้อมูลสินค้าแบบตรง ๆ
- สร้างฐานลูกค้าที่ภักดี เมื่อลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวของแบรนด์ พวกเขามักจะกลายเป็นลูกค้าประจำและพร้อมแนะนำแบรนด์ให้กับคนรอบข้างต่อ ๆ ไป
- เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ เรื่องราวที่น่าสนใจมักถูกแชร์ต่อในโลกออนไลน์ ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
ประเภทของ Storytelling
Storytelling มีหลากหลายรูปแบบ แต่ละประเภทมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ต้องการสื่อสารกับใคร ผ่านช่องทางไหน และต้องการสร้างผลลัพธ์อะไร ANGA จะพาคุณไปรู้จักกับประเภทของ Storytelling ที่แบรนด์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับกลยุทธ์การสื่อสารของตัวเองได้
1. Brand Storytelling
การถ่ายทอดตัวตน คุณค่า และความเชื่อของแบรนด์ผ่านเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ โดยเน้นสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เช่น Dyson ที่เล่าเรื่องราว “5,127 ต้นแบบ” ของเครื่องดูดฝุ่นรุ่นแรก สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
2. Business Storytelling
การเล่าเรื่องที่มุ่งสื่อสารวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งพนักงาน นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจในการร่วมขับเคลื่อนองค์กร เช่น Patagonia ที่เล่าเรื่องราวพันธกิจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านแคมเปญ “Worn Wear” ที่ส่งเสริมการซ่อมแซมเสื้อผ้าแทนการซื้อใหม่
3. Digital Storytelling
การผสมผสานศิลปะการเล่าเรื่องเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งภาพ เสียง และวิดีโอ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Airbnb ที่สร้างซีรีส์ “Made Possible by Hosts” บน Instagram เล่าเรื่องราวประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างแขกกับโฮสต์
4. Personal Storytelling
การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านมุมมองและประสบการณ์ส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจ บทเรียนชีวิต หรือเส้นทางสู่ความสำเร็จ รูปแบบนี้มักสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและความเชื่อมโยงกับผู้ชมได้ง่าย เพราะทุกคนสามารถมองเห็นตัวเองในเรื่องราวนั้นได้ เช่น TOMS Shoes ที่เล่าเรื่องราวของ Blake Mycoskie ผู้ก่อตั้งที่เริ่มธุรกิจจากการเดินทางไปอาสาสมัครและพบว่าเด็กๆ ในประเทศด้อยพัฒนาไม่มีรองเท้าใส่

ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ secomapp
แจกเทคนิคสร้าง Storytelling ให้มัดใจลูกค้า
มาดูกันว่า 5 เทคนิคสร้าง Storytelling มัดใจลูกค้าฉบับ ANGA จะมีอะไรกันบ้าง
1. รู้จักเป้าหมาย
ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง ต้องรู้ก่อนว่ากำลังจะเล่าให้ใครฟัง เพราะแต่ละกลุ่มมีความสนใจและความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น เด็กรุ่นใหม่อาจชอบเรื่องสั้นกระชับ มีมุกตลก แต่คนทำงานอาจต้องการเรื่องที่ให้แง่คิดและประสบการณ์ที่นำไปใช้ได้จริง เช่น แบรนด์ Ben & Jerry’s ที่เล่าเรื่องราวการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านรสชาติไอศกรีมใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม
2. แก่นของเรื่องต้องชัดเจน
เรื่องเล่าที่ดีต้องมีแก่นความคิดที่ชัดเจน และสื่อสารออกมาให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อนจนงง ไม่วกวนจนหลงประเด็น เช่น แบรนด์ TOMS รองเท้าที่มีแก่นเรื่องคือ “ซื้อหนึ่งคู่ ให้หนึ่งคู่” – เรื่องราวของการแบ่งปันที่เข้าใจง่ายและจดจำได้ทันที
3. เรื่องราวต้องน่าติดตาม
สร้างโครงเรื่องที่มีจุดพลิกผันน่าสนใจ ชวนให้ลุ้น อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป โดยเฉพาะช่วงที่ตัวละครเจอปัญหาและต้องหาทางแก้ไข เช่น Method สบู่ธรรมชาติที่เล่าถึงการต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ด้วยแนวคิดการทำความสะอาดที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
4. เลือกช่องทางให้เหมาะสม
แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นต่างกัน TikTok เหมาะกับคลิปสั้นสนุก ๆ LinkedIn เหมาะกับเรื่องราวเชิงธุรกิจ Podcast เหมาะกับการพูดคุยเชิงลึก ต้องเลือกให้เหมาะกับเนื้อหาและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น Warby Parker แบรนด์แว่นตาที่เลือกเล่าเรื่องผ่าน Instagram ด้วยภาพถ่ายสวย ๆ และแคปชั่นที่มีสไตล์ เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักแฟชั่น
5. ติดตามผลและปรับแต่ง
วัดผลตอบรับจากการปล่อย Storytelling แต่ละครั้ง ดูว่าผู้ฟังชอบหรือไม่ชอบตรงไหน แล้วนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป อาจดูจากยอดไลก์ คอมเมนต์ หรือการแชร์ต่อ เช่น Glossier แบรนด์เครื่องสำอางที่ปรับการเล่าเรื่องให้เน้นรีวิวจากลูกค้าจริงมากขึ้น หลังจากเห็นว่าคอนเทนต์แบบนี้ได้รับความนิยมสูง
บทสรุป
ในตอนนี้ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งจนสามารถสู้และเอาชนะคู่แข่งได้ ไม่ใช่แค่การพัฒนาคุณภาพของสินค้าหรือการบริการให้ดีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูกค้าผ่านเรื่องราวด้วย Storytelling คือกลยุทธ์ที่จะช่วยบอกเล่าเรื่องราวและตัวตนของแบรนด์ไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกเข้าใจและอยากเดินทางไปร่วมกับแบรนด์ เมื่อคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายและเข้าใจความต้องการของพวกเขาแล้ว ต่อมาคือการคิดสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจและเลือกวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม แบรนด์ก็จะสามารถสร้าง Storytelling ที่ทรงพลังและสร้างประโยชน์ให้แก่ธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ
บทความที่เกี่ยวข้อง

30 วิธีทำ SEO WordPress 2025 ที่ถูกต้อง จากประสบการณ์เอเจนซี่
