1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. Customer Journey คืออะไร? เรื่องสำคัญที่นักการตลาดไม่ควรพลาด
Cover - Customer Journey
เผยแพร่เมื่อ: มีนาคม 17, 2023 | แก้ไขเมื่อ: ตุลาคม 7, 2024

Customer Journey คืออะไร? เรื่องสำคัญที่นักการตลาดไม่ควรพลาด

Table Of Contents

การรู้จักและเข้าใจ Customer Journey เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ เรียกว่าเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างแรกที่คุณควรเรียนรู้เลยก็ได้ เพราะการทำให้คนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักสินค้าของเรามาก่อน หันมาสนใจและตัดสินใจซื้อ รวมถึงกลับมาซื้อซ้ำใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณพลาดไปหนึ่งครั้ง ความพึงพอใจของลูกค้าก็จะถูกลดระดับลงในทันที โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำก็น้อยจนแทบไม่เหลือ 

ดังนั้น เพื่อให้คุณสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าได้ รู้จักใจลูกค้ามากขึ้น และสามารถทำการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุดได้ ANGA จะมาอธิบายให้คุณทราบว่า Customer Journey คืออะไร, Customer Journey มีกี่ขั้นตอน, Customer Journey Map คืออะไร พร้อมแนบตัวอย่าง และแนะนำวิธีสร้าง Customer Journey Map ที่ทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้ครบถ้วนทุก Touchpoint!

Customer Journey คืออะไร? เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อโอกาสทางธุรกิจ

Customer Journey คือเส้นทางการเดินทางของลูกค้า ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการรู้จักสินค้าหรือบริการครั้งแรก การทำความรู้จักแบรนด์ การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า ดูรีวิว สั่งซื้อสินค้า ไปจนถึงการกลับมาซื้อสินค้าซ้ำและการให้คะแนนรีวิวสินค้าด้วย โดย Customer Journey เป็นเหมือนทฤษฎีที่จะช่วยให้นักการตลาดเข้าใจความคิดและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง จนสามารถสร้าง Customer Journey Map (แผนที่การเดินทางของลูกค้า) ขึ้นมาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด จากการวางกลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ และทำให้ลูกค้าไปถึง Touchpoint ตามที่คุณ KPI ที่คุณต้องการได้อย่างครบถ้วน

Customer Journey คือ

ตัวอย่าง Customer Journey ร้านอาหาร

  • ลูกค้าเห็นแบนเนอร์ของร้านอาหาร A ครั้งแรกผ่านโฆษณา Facebook Ads
  • เกิดความสนใจและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมนูอาหารของร้าน A
  • ตัดสินใจสั่งซื้ออาหารมาลองทาน โดยการสั่งผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่
  • อาหารจัดส่งไว รสชาติอาหารถูกปาก เกิดเป็นความประทับใจต่อร้านอาหาร A
  • รีวิวบอกต่อร้านอาหารกับเพื่อน ๆ และคนรู้จัก พร้อมกับกลับไปสั่งอาหารมาทานอีกในอนาคต

Touchpoint คืออะไร?

Touchpoint คือจุดสัมผัสหรือจุดที่ทำให้ปฏิสัมพันธ์ขึ้น ระหว่างลูกค้ากับสินค้าหรือบริการของคุณ อาทิ การมองเห็นป้ายโฆษณาของแบรนด์บนทางด่วน, การเห็นเว็บไซต์ของคุณผ่าน Google Search จากการทำ SEO, การเห็นรูปสินค้าจากแพลตฟอร์ม E-commerce, การเข้าไปที่หน้าร้านของธุรกิจคุณ, การพูดคุยกับพนักงานของคุณ หรือแม้กระทั่งภาพสินค้าที่เพื่อนส่งมาให้ชม ก็ถือว่าเป็น Touchpoint ทั้งสิ้น สิ่งที่คุณควรให้ความสนใจคือจะทำอย่างไรให้ลูกค้ามีความประทับใจต่อคุณในทุก ๆ Touchpoint ซึ่งก็คือกลยุทธ์การวาง Customer Journey ที่ดีนั่นเอง

Customer Journey มีกี่ขั้นตอน? 

Customer Journey​ ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอน ซึ่งสามารถเรียงลำดับขั้นตอน Customer Journey ได้ดังนี้ Awareness, Consideration, Purchase, Retention และ Advocacy แล้วแต่ละขั้นตอนคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? มาดูคำอธิบายกัน

Customer Journey ตัวอย่าง


Customer Journey ตัวอย่างการเดินทางของลูกค้า

1. การสร้างการรับรู้ (Awareness)

ขั้นตอนแรกของ Customer Journey ที่ทำให้เกิด Touchpoint คือการสร้างการรับรู้ (Awareness) เป็นการทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รู้จักกับสินค้าผ่านวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง หรืออื่น ๆ อาทิ การยิงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Social Media, การรับชมผ่านสื่อโทรทัศน์, การอ่านผ่านหนังสือพิมพ์ โปรชัวร์ บิลบอร์ด ฯลฯ ทุกอย่างที่กล่าวไปล้วนเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เกิด Touchpoint ได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการ เจ้าของแบรนด์ และนักการตลาด ต้องให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้เป็นพิเศษ เนื่องจาก First Impression (ความประทับใจแรก) ส่งผลต่อการกระทำของลูกค้าโดยตรง

แนะนำเครื่องมือและกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้

  • Online : Facebook, Instagram, TikTok, YouTube, X (Twitter), Email Marketing, SEO, Content Marketing, Influencer Marketing,  Google Ads ฯลฯ
  • Offline : ใบปลิว, ป้ายโฆษณา, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์, งานสัมมนา, งานอีเวนต์, Merchandising, Word of Mouth ฯลฯ

2. การพิจารณา (Consideration)

ขั้นตอนต่อมาหลังจากที่รับรู้การมีอยู่ของสินค้าและแบรนด์แล้ว ก็จะเกิดความสนใจจนนำไปสู่ขั้นตอนการพิจารณา (Consideration) โดยการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวสินค้า ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เปรียบเทียบคุณสมบัติและราคา หรืออื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการมองหารีวิวสินค้าจากผู้ใช้จริงเป็นหลัก ขั้นตอนการพิจารณานี้จะเป็นการพิจารณาเปรียบเทียบว่าจะซื้อสินค้านี้จากแบรนด์ไหนดี แบรนด์ไหนตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด ทั้งในแง่ของประโยชน์ ราคา และรวมไปถึงภาพลักษณ์ด้วย

3. การซื้อสินค้า/ใช้บริการ (Purchase)

เมื่อผู้บริโภครับรู้และพิจารณาเลือกเราแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการ (Purchase) เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นลูกค้าโดยสมบูรณ์ ขั้นตอนนี้ยังคงสำคัญและไม่ควรปล่อยปละละเลยแต่อย่างใด สิ่งที่คุณควรทำเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า คงไม่พ้นการทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ง่ายที่สุด ด้วยขั้นตอนที่น้องที่สุด รู้สึกสะดวกที่สุด จ่ายง่ายได้ของไว ฯลฯ ถ้าคุณทำให้การสั่งซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการยุ่งยากและซับซ้อนล่ะก็ ลูกค้าก็สามารถเปลี่ยนใจยกเลิกสินค้าของคุณและหันไปซบอกคู่แข่งได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นการสมัครสมาชิกที่ต้องยืนยันตัวตนหลาย ๆ ขั้นตอนก่อน, ระบบการสั่งซื้อสินค้าไม่เสถียร, ระบบชำระเงินไม่รองรับความปลอดภัย, การเชื่อมต่อเว็บไซต์ไม่ดี ค้างบ่อย และอื่น ๆ อีกมากมาย

4. การกลับมาซื้อสินค้า/ใช้บริการซ้ำ (Retention)

ขั้นตอนที่ 4 คือ Retention หรือการกลับมาซื้อสินค้าและใช้บริการซ้ำนั่นเอง ถ้ามีขั้นตอนนี้เกิดขึ้น แปลว่าสิ่งที่คุณได้ดำเนินการมาในขั้นตอนก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จและมัดใจลูกค้าเอาไว้ได้ เช่น ซื้อง่าย ได้ของรวดเร็ว บริการดี สินค้าตรงปก หรือสินค้ามีคุณภาพ เป็นต้น หากอยากให้มีขั้นตอนนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ลูกค้าประจำ ซื้อสินค้าหรือรับบริการตลอด) คุณก็ต้องให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายด้วย เพื่อให้ลูกค้าประทับใจแบรนด์ของคุณมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากได้รับคำติชมให้ขอบคุณและตอบกลับอย่างสุภาพ จากนั้นก็นำคำติชมที่ได้มาพิจารณาวิเคราะห์ว่าจะปรับปรุงสิ่งที่ลูกค้าติให้ดีขึ้นได้อย่างได้ และพัฒนาคำชมให้ดีมากขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ เพื่อให้ลูกค้าอยู่เคียงคู่กับคุณไปนาน ๆ 

5. การบอกต่อ (Advocacy)

เวลาที่เราซื้ออะไรมาแล้วประทับใจ ความสุขมันก็มักจะล้นจนอยากบอกใครต่อใครว่าสิ่งนี้ดี! การบอกต่อ (Advocacy) นี่แหละคือขั้นตอนสุดท้ายของการทำ Customer Journey ที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น! เพราะการบอกต่อเช่นนี้ ไม่เพียงแต่รับประกันได้ว่าลูกค้าคนดังกล่าวชื่นชอบสินค้าของเรามากเพียงอย่างเดียว ยังเป็นการเปิดและสร้างโอกาสให้คนอื่นรับรู้การมีอยู่ของเราด้วย และนำมาซึ่งลูกค้าใหม่และยอดขายที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยการบอกต่อที่ว่านี้อาจจะเป็นการพูดคุยบอกต่อกันแบบปากต่อปาก, การโพสต์รีวิวลงบนโซเชียลมีเดียอย่าง Lemon8 หรือจะเป็นวิธีการอื่น ๆ ก็ได้เช่นกัน

ประโยชน์และความสำคัญของ Customer Journey

Customer Journey จะทำให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของ Journey ของลูกค้าเรา ทำให้เราสามารถควบคุมการนำเสนอประสบการณ์ในการใช้บริการ ณ แต่ละช่วงเวลาของการบริการที่ต่างกันได้ โดยจะต้องสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าของเรา จนถึงที่สุดก็จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเพื่อนำมาวิเคราะห์ผล ซึ่งหากผู้ประกอบการที่ขาดความเข้าเกี่ยวกับ Customer Journey ก็จะไม่สามารถมองเห็นภาพรวมและพัฒนากลยุทธ์ในการให้บริการได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้พัฒนา Customer Journey ที่หลากหลายเลยทีเดียว

Customer Journey Map คืออะไร และมีกี่ขั้นตอน

Customer Journey Map คือแผนที่การเดินทางของลูกค้าตามทฤษฎี Customer Journey ที่จะแสดงลำดับขั้นตอนของกลุ่มเป้าหมายที่จะกลายเป็นลูกค้าในอนาคตว่าจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง โดยจะมีการลำดับและระบุรายละเอียดอย่างชัดเจน เพื่อนำไปปรับปรุงสินค้าและบริการที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าต่อไป ซึ่ง Customer Journey Map ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้


_Customer Journey Map ตัวอย่าง

Customer Journey Map ตัวอย่างแผนผังการเดินทางของลูกค้า

1. ค้นหาเป้าหมายของลูกค้าที่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ

ขั้นตอนแรกของการทำ Customer Journey Mapping คือการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจ เป้าหมายในการทำ Customer Journey คืออะไร? และต้องการสื่อสารกับกลุ่มผู้บริโภคแบบไหน สิ่งเหล่านี้ต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เพื่อความถูกต้องของทิศทางในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดและประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

2. การระบุ Touchpoint 

ขั้นตอนที่ 2 คือการระบุ Touchpoint (จุดที่จะต้องปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า) เป็นการระบุว่าคุณอยากให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าหรือบริการของคุณอย่างไร ผ่านแพลตฟอร์มไหน ด้วยคอนเทนต์อะไร เพื่อให้คุณและทีมสามารถเตรียมข้อมูลและจัดทำคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับ Touchpoint แต่ละจุดได้ เช่น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ได้การระบุ Touchpoint ในขั้นตอนการพิจารณาของลูกค้าไว้ว่าเป็นการเขียนบทความ SEO ให้ความรู้เรื่องเฟอร์นิเจอร์ประเภทต่าง ๆ และการตกแต่งบ้านบนเว็บไซต์ เพราะวิเคราะห์มาแล้วว่าลูกค้ามีพฤติกรรมหาข้อมูลบน Google Search ก่อนตัดสินใจซื้อ เป็นต้น

3. รับรู้และทำความเข้าใจถึงปัญหาและความพึงพอใจของลูกค้า

หนึ่งในจุดสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตและครองใจลูกค้าได้เป็นระยะเวลานาน คือการที่ผู้ประกอบการและนักการตลาดรู้ว่าปัญหาที่ลูกค้าพบมีอะไรบ้าง และปัญหานั้นเกิดจากสาเหตุอะไร รวมถึงอะไรทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจบ้าง เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาในข้อนั้น ๆ ได้อย่างตรงจุด ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในสินค้าและบริการของเรามากที่สุด

4. จำลองสถานการณ์เสมือนตัวเองเป็นลูกค้า

นอกเหนือจากการทำ Customer Journey เราจำเป็นที่จะต้องลองสัมผัสกับประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเองด้วย เพื่อที่คุณจะได้มองเห็นว่าวิธีที่ใช้ในการปรับปรุงแก้ไขนั้นสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้จริงหรือไม่ ถ้าหากได้ลองสัมผัสประสบการณ์ Customer Journey ของธุรกิจด้วยตัวเองแล้วยังเจอสิ่งที่ต้องแก้อยู่ จะทำให้คุณเข้าไปแก้ไขได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น

5. จำลองภาพ Customer Journey Mapping ให้เห็นชัด ๆ 

หลังจากที่ทำ Customer Journey ทุกขั้นตอนแล้ว ก็มาถึงการจำลอง Customer Journey Mapping ขึ้นมาให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเราสามารถมองเห็นภาพรวมทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ก็จะส่งผลให้เราสามารถนำกลยุทธ์ต่าง ๆ มาปรับใช้เพื่อควบคุมการบริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยให้คนในองค์กรสามารถมองเห็นภาพของ Customer Journey ตรงกันกับเราอีกด้วย โดย Customer Journey Mapping จะแบ่งเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

  • การลำดับขั้นข้อมูลของลูกค้า (Phrase)
  • การกระทำของลูกค้าในแต่ละขั้น (Action)
  • สื่อ แผนก หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ (Touch point)
  • ปัญหาที่ลูกค้าพอเจอ (Pain Point)
  • วิธีการแก้ปัญหาให้ลูกค้า (Solution)

บทสรุปเรื่อง Customer Journey

Customer Journey คือเส้นทางการเดินทางของลูกค้าตั้งแต่การมองเห็นครั้งแรกไปจนถึงการซื้อและบอกต่อ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า Customer Journey มีประโยชน์กับธุรกิจอย่างมาก ทั้งทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า เข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เข้าใจความคิดและความรู้สึกของเหล่าผู้บริโภค และเราจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจนก็ต่อเมื่อมี Customer Journey Mapping ที่ดี เพราะเหตุนี้ Customer Journey จึงเป็นตัวช่วยสำคัญให้นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาด เพื่อเจาะใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและแม่นยำที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

 6 กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารที่เห็นผลจริงในปี 2025

ทุกซอกทุกมุมในประเทศไทยล้วนมีร้านอาหารทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารขนาดเล็กหรือร้านอาหารขนาดใหญ่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ธุรกิจร้านอาหารจึงมีการแข่งขันกันที่ค่อนข้างดุเดือด ยิ่งถ้าคุณเป็นร้านอาหารขนาดเล็กหรื
188

Social Media ที่นิยมใช้มากที่สุดในปี 2025 คืออะไร?

คำพูดที่ว่ายุคนี้คือ “ยุคสังคม” ไม่เกินจริง เพราะไม่ว่าหันไปมองทางไหน ใคร ๆ ก็มีสังคมกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่แตกต่างจากในอดีตคือสังคมสมัยนี้เป็นสังคมบนโลกออนไลน์ ซึ่งสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มีกา
474

ขายออนไลน์อะไรดี มาดูเทรนด์สินค้าที่มีความต้องการสูงประจำปี 2025

สำหรับปี 2025 นี้ ท่านใดที่สงสัยว่าควรขายออนไลน์อะไรดี จึงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ‘ANGA’ จะพามาไขคำตอบให้กระจ่าง สืบเนื่องมาจากปี 2022 จนถึงปัจจุบัน เทรนด์ธุรกิจเรื่องการรักษ์โลก การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้
2284
th