7Ps Marketing Mix หรือ 7P คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
เชื่อว่าสำหรับหลาย ๆ คนที่เคยเรียนในเรื่องของการตลาด หรือคนที่ไม่เคยเรียนแต่มีโอกาสได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่จะต้องทำการตลาดอาจเคยได้ยินทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด 4P Marketing Mix กันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งคอนเซ็ปต์ 4P เป็นคอนเซ็ปต์ที่ได้รับการยอมรับและใช้งานกันมานานตั้งแต่ปี 1960 และต่อมาก็ได้มีคอนเซ็ปต์ใหม่ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก 4P เพื่อให้เหมาะกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านการตลาดที่มีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม นั่นก็คือ 7Ps Marketing Mix หรือ 7P นั่นเอง
ใครที่ยังไม่เข้าใจว่าส่วนประสมทางการตลาด 7Ps Marketing Mix คืออะไร? องค์ประกอบของ 7P มีอะไรบ้าง และมีความเหมือนหรือแตกต่างจาก 4P Marketing Mix อย่างไร สามารถเข้ามาหาคำตอบและทำความเข้าใจเรื่อง 7Ps Marketing Mix ไปพร้อม ๆ กับ ANGA ในบทความนี้ได้เลย
7Ps Marketing Mix คืออะไร ทำไมนักการตลาดต้องรู้จัก?
7Ps Marketing Mix หรือเรียกสั้น ๆ ว่า 7Ps หรือ 7P คือส่วนประสมทางการตลาดที่จะช่วยให้คุณเข้าใจธุรกิจ เข้าใจสินค้า และเข้าใจผู้บริโภคมากถึง โดยที่ 7P เปรียบเสมือนกลยุทธ์ที่ถูกนำไปใช้ประกอบแผนการตลาด เพื่อให้สินค้าและบริการของคุณตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดมากที่สุด รวมทั้งยังช่วยสร้างข้อได้เปรียบทางการตลาดให้กับธุรกิจของคุณได้อีกด้วย
ย้อนกลับไปในช่วงปี 1960 นักการตลาดชาวอเมริกาชื่อ E. Jerome McCarthy ได้คิดค้นแนวคิด 4P Marketing Mix ขึ้นมา โดยเน้นไปที่การให้ความสำคัญกับตัวสินค้าเป็นหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย Product, Price, Promotion และ Place แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป 4P ก็เริ่มตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มากขึ้นไม่ได้ จึงทำให้ E. Jerome McCarthy พัฒนา 4P และเพิ่มองค์ประกอบเข้าไปอีก 3 อย่าง เพื่อให้ตอบโจทย์กับทุก ๆ ด้านอย่างครอบคลุมมากขึ้น จนกลายมาเป็น 7Ps Marketing Mix นับตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปัจจุบันนี้
กลยุทธ์การตลาด 7P มีอะไรบ้าง มาดูกัน!
ส่วนผสมทางการตลาด 7Ps มีอะไรบ้าง? มีอะไรเพิ่มเข้ามาใหม่จาก 4Ps ? ถ้าอยากรู้แล้วมาเริ่มกันเลย โดย 7Ps Marketing Mix นั้น จะประกอบไปด้วย Product, Price, Promotion และ Place ที่เป็นองค์ประกอบเดิมจาก 4P Marketing Mix และองค์ประกอบใหม่ 3 อย่าง คือ People, Process และ Physical Evidence ซึ่งองค์ประกอบ ของ 7Ps Marketing Mix มีความหมายดังนี้
1. Product (สินค้าหรือบริการ)
คำว่า Product ใน 4P หมายถึงสินค้าหรือบริการที่แบรนด์ต้องการนำเสนอให้แก่ผู้บริโภค แต่คำว่า Product ใน 7P จะมีความหมายมากกว่านั้น ตรงที่ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าหรือบริการ แต่ยังครอบคลุมไปถึงคุณสมบัติของสินค้า, คุณภาพของสินค้า, คุณค่าของสินค้าที่ผู้บริโภคจะได้รับ, วิธีการใช้งาน, ประโยชน์ของสินค้า, ฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบสนองต่อผู้บริโภค และรวมไปถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย
สิ่งที่คุณควรคำนึงถึงในด้านของ Product
- สินค้าและบริการของคุณสามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
- สินค้าและบริการของคุณมีข้อแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร
- สินค้าและบริการของคุณมีข้อได้เปรียบอะไรในการแข่งขันกับคู่แข่ง (จุดแข็ง)
2. Price (ราคา)
Price หมายถึงราคา ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการตั้งราคาสินค้าและบริการ เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภคให้มาซื้อสินค้าในราคาที่คุณต้องการและลูกค้าก็พึงพอใจ โดยการตั้งราคาที่ดีจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมเป็นหลัก เช่น สมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ มีความสอดคล้องกับคุณภาพของสินค้า หรือราคาไม่ได้สูงมากกว่าคู่แข่งจนเกินไป เป็นต้น หากคุณตั้งราคาโดยคำนึงถึงแต่กำไรที่จะได้รับ โดยไม่ได้สนใจความเหมาะสมหรือคุณภาพของสินค้า อาจจะทำให้สินค้าของคุณไม่ได้รับความนิยมและตามไม่ทันคู่แข่งได้
กลยุทธ์การกำหนดราคาสินค้าและบริการ
- ตั้งราคาโดยใช้หลักจิตวิทยา เช่น การตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9
- ตั้งราคาให้แตกต่างกันตามความต้องการซื้อของลูกค้า
- ตั้งราคาจากการคิดคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายของสินค้าทั้งหมด
- ตั้งราคาต่ำกว่าปกติ เพราะเน้นปริมาณการจำหน่ายสินค้าสูง
- ตั้งราคาสูงตามคุณภาพของสินค้า เพราะเน้นมูลค่าของคำสั่งซื้อแต่ละออเดอร์
- ตั้งราคาตามระดับของคุณภาพสินค้า (แบ่งเป็นระดับมาตรฐาน ระดับพรีเมียม)
- ตั้งราคาพิเศษหรือราคาแบบหักส่วนลดตามเทศกาล เพื่อส่งเสริมการตลาด
3. Promotion (การสื่อสารและการส่งเสริมทางการตลาด)
Promotion คือกลยุทธ์การส่งเสริมทางการตลาด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อที่สูงมากกว่าปกติ อาจจะเป็นการยิงโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, TikTok Ads, Instagram Ads), สร้างคอนเทนต์นำเสนอสินค้า, การจัดกิจกรรมให้ลูกค้ามาร่วมสนุก, การจัดงานเปิดตัวสินค้า, การทำ Influencer Marketing โปรโมตสินค้า หรือทำโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษก็ได้
โดย Promotion จะมีเป้าหมายหลักคือการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและอยากสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งคุณสามารถจัด Promotion ได้ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ (หน้าร้าน) โดยกำหนดราคาและรายละเอียดให้แตกต่างกันได้
4. Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)
Place คือช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า หรือกระจายสินค้าจากแบรนด์ไปสู่มือของผู้บริโภคได้อย่างสะดวก ง่ายดาย และรวดเร็วที่สุด ยิ่งช่องทางที่คุณเลือกสะดวกกับผู้บริโภคแค่ไหน ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะขายสินค้าและบริการได้ก็สูงขึ้นไปอีก ซึ่งปัจจัยนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณมียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
ตัวอย่างช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า
- ร้านค้าของแบรนด์โดยตรง
- ร้านค้าของตัวแทนจัดจำหน่าย
- เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ของแบรนด์เอง
- งานจัดแสดงสินค้าหรืองานอีเวนต์ต่าง ๆ
- Online Marketplace อย่าง Lazada, Shopee, Central Online, LINE Shoping, Facebook ฯลฯ
5. People (บุคลากร)
มาเข้าสู่องค์ประกอบของ 7Ps Marketing Mix ตัวแรกกันได้เลย นั่นก็คือ People นั่นเอง โดย People หมายถึงทรัพยากรบุคคล ที่มีทั้งพนักงานภายในองค์กรเอง ทั้งผู้บริโภค และยังหมายถึงบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าด้วย
People มีหน้าที่หลักคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีกลับไป ช่วยให้ลูกค้ามีความพึงพอใจ และอยากกลับมาอุดหนุนแบรนด์ซ้ำอีกเพราะความประทับใจที่เกิดขึ้น ดังนั้น People จึงสำคัญมาก ๆ เพราะไม่ว่าสินค้าจะดีแค่ไหนหรือจะทำการตลาดได้ดีมากเท่าไหร่ แต่ถ้าลูกค้าเจอบริการที่ไม่ดี จากบุคลากรที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถส่งผลเสียที่ร้ายแรงต่อแบรนด์ได้เช่นกัน
สิ่งที่คุณควรทำเพื่อให้บุคลากรในองค์กรมีคุณภาพมากที่สุด
- การพัฒนาบุคคลให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการในเชิงลึก
- การอบรมการให้บริการลูกค้า ทั้งแบบหน้าร้านและแบบออนไลน์
- การแนะแนวเรื่องวิธีรับมือลูกค้าในหลาย ๆ รูปแบบ
- การอบรมเรื่องวิธีการโต้ตอบและบทสนทนาที่ควรพูดกับลูกค้า
- การให้บริการลูกค้าก่อนและหลังการขาย
6. Process (กระบวนการ)
Process คือกระบวนการต่าง ๆ ที่ธุรกิจเลือกนำมาใช้เพื่อให้สินค้าและบริการออกมามีคุณภาพที่สุด หรือวิธีการในการทำงาน เพื่อให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้า การปรับปรุงบริการ การรักษามาตรฐานของสินค้า การตรวจสอบการให้บริการ การโปรโมตสินค้า การดูแลลูกค้า ฯลฯ โดยจุดประสงค์ของ Process คือการทำให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดกลับไป จากการกำหนด Customer Journey ที่แม่นยำในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรู้จักสินค้าไปจนถึงการสั่งซื้อสินค้าในท้ายที่สุด
7. Physical Evidence (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)
Physical Evidence คือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่สามารถจับต้องได้ หรือสิ่งที่ลูกค้าได้รับจากการซื้อสินค้าและบริการจากเรา ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น หรือความรู้สึกที่ได้รับก็ตาม ซึ่ง Physical Evidence เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคสูง ถ้าคุณออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานยาก มีแอปพลิเคชันที่โหลดช้า หรือหน้าร้านที่เดินทางอย่างยากลำบาก พวกเขาก็สามารถล้มเลิกความต้องการได้ภายในไม่กี่วินาทีหลังจากที่เห็น Physical Evidence ที่ไม่ดีได้
ตัวอย่าง Physical Evidence ที่ควรทำออกมาให้ดีที่สุด
- ความสวยงาม บรรยากาศ และกลิ่นภายในร้านค้า
- วิธีการเดินทางไปยังหน้าร้านค้า
- ความสะดวกและความเร็วในการใช้งานเว็บไซต์
- ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันบนแอปพลิเคชัน
- ระบบ Customer Service ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
ตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ 7P เพื่อนำไปใช้ในธุรกิจจริง
ตอนนี้คุณก็ได้คำตอบเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า 7Ps มีอะไรบ้าง ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจบริษัทขนส่งนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนด้วยการใช้ 7Ps Marketing Mix กัน ว่าสามารถนำมาปรับใช้อย่างไรได้บ้าง
Product (สินค้าและบริการ)
- สินค้าและบริการ : บริการรับสั่งซื้อสินค้าจากจีน และขนส่งสินค้าเข้ามาที่ประเทศไทย
- จุดแข็งของธุรกิจและข้อได้เปรียบทางการตลาด : มีบริการที่ครบวงจรตั้งแต่การจัดหาสินค้า ประสานงาน สั่งซื้อสินค้า ขนส่งสินค้ามายังประเทศไทย จัดการภาษี และจัดส่งไปยังบ้านของลูกค้าโดยตรง
- ธุรกิจนี้สามารถแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าจากจีน ให้กับผู้ประกอบการที่ไม่มีความรู้เรื่องการนำเข้าและไม่สามารถสื่อสารภาษาจีนได้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้สินค้าที่ต้องการด้วยวิธีที่ง่ายและสะดวกมากที่สุด
Price (ราคา)
- ราคาในการสั่งซื้อสินค้าจากจีนจะยึดตามเรทกลางของบริษัทเพื่อป้องกันราคาผันผวนระหว่างการตัดสินใจซื้อ
- ไม่มีค่าบริการในการจัดหาสินค้า ประสานงาน และสั่งซื้อสินค้า
- อัตราค่าขนส่งเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 60 บาท
Promotion (การสื่อสาร)
- ยิงโฆษณาออนไลน์ อย่าง Facebook Ads และ Google Ads
- เขียนบทความ SEO ให้ความรู้เรื่องการสั่งซื้อสินค้าจากจีน เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google
- การออกบูทประชาสัมพันธ์ในงานจัดแสดงสินค้าหรืออีเวนต์ต่าง ๆ
Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)
- เว็บไซต์ของบริษัท
- แอปพลิเคชันของบริษัท
- แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
People (บุคลากร)
- จัดอบรมพนักงานให้เชี่ยวชาญในด้านการนำเข้าสินค้า
- จัดอบรมพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการของบริษัท
- สร้างมาตรฐานในการให้บริการสำหรับลูกค้าแต่ละคนให้เท่าเทียมกัน
- มีบทสนทนาพื้นฐานในการโต้ตอบลูกค้าให้ไปในทิศทางเดียวกัน
Process (กระบวนการ)
- มี Customer Service บนเว็บไซต์โดยการสร้างระบบเคลมสินค้ากรณีที่สินค้าเสียหาย และมีระบบติดตามสถานะออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- โต้ตอบลูกค้าด้วยบทสนทนาพื้นฐานเพื่อให้ข้อมูลเรื่องการนำเข้าสินค้า
- ควบคุมมาตรฐานการให้บริการลูกค้าให้อยู่ในระดับเดียวกัน
- มีโกดังทั้งในประเทศจีนและประเทศไทย เพื่อรองรับการขนส่งและการเข้ารับสินค้าได้ด้วยตัวเอง
Physical Evidence (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)
- มีโกดังเก็บสินค้าในประเทศไทยเป็นของตัวเอง
- มีโกดังเก็บสินค้าที่สามารถเดินทางเข้าไปรับสินค้าได้ง่ายและสะดวกที่สุด
- มีออฟฟิศอยู่ใกล้กับโกดังเก็บสินค้า เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการเข้ามารับสินค้าด้วยตนเอง
ตัวอย่างการวิเคราะห์ 7P ของบริษัท Apple
Apple เป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ใคร ๆ ก็รู้จักกัน มีลูกค้าอยู่ทั่วทุกมุมโลก และลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ได้จบอยู่ที่สินค้าของ Apple เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แต่มีการซื้อสินค้าอื่น ๆ เพิ่มอีกด้วย เนื่องจากสินค้าของ Apple สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามาวิเคราะห์กลยุทธ์ 7Ps Marketing Mix ของ Apple กันว่าอะไรที่ทำให้ Apple มัดใจลูกค้าได้เหนียวแน่นขนาดนี้
Product (สินค้าและบริการ)
- สินค้าไอที เช่น iPhone (สมาร์ทโฟน), iPad (แท็บเล็ต), AirPods (หูฟังไร้สาย), Apple Watch (นาฬิกาอัจฉริยะ), Mac (คอมพิวเตอร์), iMac (คอมพิวเตอร์), Macbook (โน้ตบุ๊ก) และอุปกรณ์เสริมมากมาย
- มีระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเอง (iOS และ macOS)
- มีแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่อย่าง iLife, iWork, iTunes, Safari (เว็บเบราว์เซอร์) และ App Store (ร้านค้าออนไลน์ศูนย์รวมแอปพลิเคชัน iOS)
- บริการออนไลน์ เช่น บริการสตรีมมิ่งเพลง Apple Music และบริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ iCloud
Price (ราคา)
- Apple ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบพรีเมียมที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ การออกแบบ คุณภาพ และนวัตกรรม
- ราคาจะขึ้นอยู่กับสเปกเครื่อง ฟีเจอร์ของสินค้า และรุ่น
Promotion (การสื่อสาร)
- มีการจัดโปรโมชันพิเศษในบางโอกาส อย่างโปรโมชันสินค้าราคาพิเศษสำหรับนักเรียนและนักศึกษา
- เน้นไปที่การสร้าง Story เพื่อสร้างแรงบันดาลและดึงดูดความสนใจของผู้ชม
- ทำการตลาดบนหลากหลายช่องทาง ทั้งบนออนไลน์และออฟไลน์ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่
Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)
- ร้านค้าทางการ หรือ Apple Store
- ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย อย่าง iStudio, Studio7 และ SPVi
- ร้านค้าออนไลน์ (เว็บไซต์ Apple Store Online)
- ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ อาทิ AIS, DTAC และ True
People (บุคลากร)
- ทีมบริการลูกค้าทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ
- ทีมนักออกแบบและวิศวกรมีความเชี่ยวชาญ พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ เสมอ
- ทีมการตลาดมีการใช้กลยุทธ์ที่ดี ทำให้สามารถดึงดูดใจลูกค้าได้
- Apple ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรมาก ทำให้คุณภาพของงานดี มีมาตรฐาน และมีบรรยากาศในการทำงานที่ดี
Process (กระบวนการ)
- มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการพัฒนาสินค้า
- กระบวนการผลิตได้มาตรฐาน เข้มงวด ใช้วัสดุที่มีคุณภาพและทนทาน
- เน้นการออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน
- มีการทดสอบคุณภาพของสินค้าก่อนวางจำหน่าย
- รับฟังปัญหาและข้อผิดพลาดของลูกค้า และนำมาปรับปรุงทันที
Physical Evidence (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)
- หาซื้อสินค้าได้ง่าย ทั้งบนออนไลน์และหน้าสาขาที่มีอยู่ตามห้างมากมาย
- สามารถเลือกชมและเปรียบเทียบสินค้าด้วยตัวเองผ่านทางเว็บไซต์ตลอด 24 ชั่วโมง
- มีการออกแบบร้านด้วยดีไซน์ที่เรียบง่าย ให้บรรยากาศเรียนรู้ และกลิ่นที่บางเบา
- อุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และสินค้าของ Apple มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งาน และสามารถทำงานร่วมกันได้
- มีฝ่ายบริการลูกค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีเยี่ยม เช่น ติดต่อง่าย ดำเนินการรวดเร็ว และช่วยแก้ปัญหาได้จริง
ตัวอย่างการวิเคราะห์ 7P ของธุรกิจเสื้อผ้า “Gentlewoman”
Gentlewoman เป็นแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทยและเอเชีย เดิมทีจะตีตลาดสาว ๆ วัยทำงาน แต่ตอนนี้ได้เพิ่มไลน์สินค้าสำหรับเด็กด้วย ความมั่นใจและความแข็งแกร่งของคุณจะถูกถ่ายทอดผ่านเสื้อผ้าและสินค้าของ Gentlewoman ช่วยให้ลุคของคุณดูโดดเด่น มั่นใจ สมาร์ท และน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ทำไมแบรนด์ไทยอย่าง Gentlewoman ถึงดังไกลจนชาวต่างชาติต้องมารอต่อคิวเข้าร้านทุกวัน? มาวิเคราะห์กลยุทธ์ 7Ps Marketing Mix ของแบรนด์นี้กัน
Product (สินค้าและบริการ)
- เสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ มีการออกคอลเลคชั่นใหม่เรื่อย ๆ สามารถสวมได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
- ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ มีความทันสมัย เรียบง่ายแต่ซ่อนความหรูหรา ใส่แล้วดูสมาร์ทมั่นใจ ใครใส่ก็ดูดี
- วัสดุที่ทำมาผลิตเสื้อผ้ามีคุณภาพ สวมใส่สบาย เหมาะกับอากาศในประเทศไทย
Price (ราคา)
- ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้ถูกมากจนเกินไปและก็ไม่ได้สูงจนซื้อไม่ได้
- ราคาสินค้าในแต่ละคอลเลคชั่นจะแตกต่างกันออกไป เนื่องจากมีต้นทุนด้านวัสดุและการดีไซน์ต่างกัน
- ราคาสินค้าบางรายการอาจไม่เท่ากันได้ ขึ้นอยู่ช่องทางในการจัดจำหน่าย
Promotion (การสื่อสาร)
- Gentlewoman มีการโปรโมตสินค้าและทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการใช้ Influencer Marketing และ Online Marketing เป็นหลัก
- มีการจัดโปรโมชันลดราคาเป็นระยะ โดยเฉพาะโปรโมชั่นราคาพิเศษสำหรับสินค้าออกใหม่
- สินค้าแต่ละคอลเลคชั่นจะมี Story เป็นของตัวเอง ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี
Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)
- ร้านค้าทางการบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำมากมาย
- เว็บไซต์ทางการ สำหรับรองรับลูกค้าออนไลน์
People (บุคลากร)
- นักออกแบบมีความสามารถและรู้ใจลูกค้า ทำให้ออกแบบและพัฒนาสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ ๆ ออกมาได้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด ใช้ได้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ
- ทีมการตลาดแข็งแกร่ง วางกลยุทธ์ที่เหมาะกับสินค้าและผู้บริโภคได้ ทำให้ใคร ๆ ก็รู้จักแบรนด์และอยากได้สินค้าไปครอง
- ทีมบริการลูกค้าหน้าร้านและออนไลน์ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี จึงบริการลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ และสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
Process (กระบวนการ)
- มุ่งเน้นไปที่กระบวนการคิดสร้างสรรค์และออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้า
- โรงงานผลิตสินค้ามีมาตรฐาน และมีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด ทำให้พบสินค้ามีปัญหาน้อย
Physical Evidence (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)
- บอกรายละเอียดทุกอย่างที่ลูกค้าควรรู้ในทุกโพสต์ อย่างช่องทางการซื้อสินค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้ได้ทันที โดยไม่ต้องทักถามและรอคำตอบจากแบรนด์
- มีการนำเสนอคอนเทนต์ที่เป็นการแมทช์เสื้อผ้า เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพว่าสามารถนำสินค้าที่ซื้อไป ครีเอตเป็นลุคแบบไหนได้บ้าง
- ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเดินทางเข้าไปจับจองซื้อสินค้าจริงที่หน้าร้านได้ทุกวัน
ตัวอย่างการวิเคราะห์ 7P ของธุรกิจร้านกาแฟ “Starbucks”
Starbucks แบรนด์ร้านกาแฟเจ้าดังที่มีสาขามากกว่า 30,000 สาขาทุกประเทศทั่วโลก ถ้าพูดถึงกาแฟแบรนด์หรู ใคร ๆ ก็ต้องตอบว่า Starbucks อย่างแน่นอน ทั้งภาพลักษณ์ รสชาติเครื่องดื่ม คุณภาพสินค้า และโปรโมชันต่าง ๆ ทำให้ Starbucks ได้รับผลตอบรับที่ดี จนมีฐานลูกค้าประจำขนาดใหญ่ และสามารถขยายสาขาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ 7Ps Marketing Mix ของ Starbucks จะเป็นอย่างไร มาลองดูกันได้เลย
Product (สินค้าและบริการ)
- Starbucks มีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเมนูกาแฟ เมนูนม เมนูชา หรือเบเกอรีต่าง ๆ ก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีการออกผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่างแก้วกาแฟ, กระเป๋า, ลูกอม, หมากฝรั่ง และอื่น ๆ สำหรับลูกค้าที่เป็นนักสะสมด้วย
- ลูกค้าสามารถระบุส่วนผสมที่ต้องการได้ หรือจะบอกว่าเป็นสูตรเฉพาะที่ถูกปากโดนใจลูกค้าแต่ละคนก็ว่าได้
- เมล็ดกาแฟและวัสดุดิบที่ Starbucks เลือกใช้มีคุณภาพสูง
- มีการออกแบบแพ็กเกจและแก้วกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เห็นแล้วรู้เลยว่าเป็น Starbucks
Price (ราคา)
- มีการตั้งราคาสูงกว่าร้านกาแฟทั่ว ๆ ไป แต่คุ้มค่ากับปริมาณและคุณภาพที่ได้รับ
- เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้มีราคาสูง เพื่อรสชาติและคุณภาพของกาแฟที่ดี จึงทำให้ต้นทุนสูงไปด้วย
- ราคาของแต่ละเมนูขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมและขนาดของแก้ว
Promotion (การสื่อสาร)
- มีการจัดโปรโมชัน 1 แถม 1 บ่อย ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย
- มีการเขียนชื่อของลูกค้าบนแก้ว และขานชื่อลูกค้าแต่ละท่าน ช่วยสร้างความประทับใจได้มาก ถือว่าเป็นการส่งเสริมการขายรูปแบบหนึ่ง
- มี Starbucks® Rewards program สำหรับสมาชิก ที่สามารถสะสมแต้มเพื่อรับเครื่องดื่มฟรีได้
Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)
- Starbucks มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ
- สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทาง Delivery อย่าง Grab หรือ LINE Man ได้
- Starbucks บางสาขามีบริการ Drive-Thru รองรับ สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้ออย่างรวดเร็ว
- สินค้าอื่น ๆ อย่างแก้วน้ำ กระเป๋า ฯลฯ นอกเหนือจากเครื่องดื่มและเบเกอรี สามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง Lazada และ Shopee ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
People (บุคลากร)
- พนักงานถูกฝึกอบรมมาอย่างเข้มงวด ทำให้สามารถบริการลูกค้าจนทำให้ลูกค้าประทับใจได้ ยิ่งพนักงานคนใดสามารถจำชื่อลูกค้าได้ ก็จะทำให้ลูกค้าปลื้มและรู้สึกดีขึ้นไปอีก
- พนักงานบาริสต้ามีทักษะในการชงเครื่องดื่ม สามารถควบคุมรสชาติและปริมาณได้อย่างแม่นยำ
- ผู้คิดค้นและพัฒนาสูตรมีความพิถีพิถัน และสามารถสร้างสรรค์เมนูได้ออกมาลงตัวที่สุด
- ทีมการตลาดมีการใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้ดีมาก ๆ และยังช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้อีกด้วย
Process (กระบวนการ)
- คัดสรรเมล็ดกาแฟอย่างละเอียด เลือกเก็บเฉพาะผลกาแฟสีแดงที่สุกสมบูรณ์เต็มต้นแล้วเท่านั้น
- มีกระบวนการแยกผลกาแฟที่พิถีพิถัน โดยแบ่งตามขนาด สี และความหนาแน่น
- คุณภาพของวัตถุดิบสดใหม่ ผ่านกรรมวิธีที่ได้มาตรฐานและสะอาด
- มีการทดสอบดินในพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูกเมล็ดกาแฟ โดยนักปฐพีวิทยา
- พนักงานมีการทักทายลูกค้าอย่างเป็นมิตร และตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกค้ากำลังพูด
- พนักงานสามารถตอบคำถามและแนะนำสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้
Physical Evidence (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)
- ภายในร้านมีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นกาแฟหอม ๆ ทั่วทุกมุมร้าน
- มีการออกแบบร้านสไตล์โมเดิร์น ใช้โทนสีที่สบายตา และมีที่นั่งเพียงพอกับผู้ใช้บริการ
- แสงสว่างกำลังดี เสียงเพลงไม่ดังจนรบกวนผู้ฟัง และมีการทำความสะอาดอยู่ตลอด
- ทาง Starbucks มีบริการ Wi-Fi ให้ใช้ฟรี สำหรับผู้ใช้บริการภายในร้าน
ทำความเข้าใจอีกครั้ง 4P กับ 7P ต่างกันอย่างไร?
หากจะพูดถึงความแตกต่างระหว่าง 4P และ 7P ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นว่า 4P คือองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญของการตลาดที่มุ่งเน้นไปในการทำสินค้าเป็นหลัก โดยนักการตลาดและผู้ประกอบการจะต้องโฟกัสทั้ง 4 องค์ประกอบเพื่อให้รู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของสินค้าที่ต้องการนำออกมาวางขาย เพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการตลาด แต่ในยุคนั้นจะเน้นไปที่การขายสินค้าแบบออฟไลน์เป็นหลัก ไม่มีการบริการด้านต่าง ๆ และช่องทางออนไลน์อย่างในปัจจุบันนี้ จึงทำให้มีการพัฒนาจาก 4P Marketing Mix เป็น 7Ps Marketing Mix เพื่อให้ครอบคลุมธุรกิจที่มีการบริการ และรองรับการขายสินค้าออนไลน์ด้วยนั่นเอง
ดังนั้น ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps Marketing Mix จึงมุ่งเน้นองค์ประกอบสำคัญทางการตลาดอย่างรอบด้าน ทั้งในส่วนของสินค้าและบริการ โดย 7P นับเป็นคอนเซ็ปต์ทางการตลาดที่ครบถ้วน หากสามารถโฟกัสได้ครบทุกองค์ประกอบ ธุรกิจก็จะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
คลายความสงสัย 4P กับ 7P ต่างกันอย่างไร?
หากจะพูดถึงความแตกต่างระหว่าง 4P และ 7P ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นว่า 4P คือ องค์ประกอบพื้นฐานสำคัญของการตลาดที่มุ่งเน้นไปในการทำสินค้าเป็นหลัก โดยนักการตลาดและผู้ประกอบการจะต้องโฟกัสทั้ง 4 องค์ประกอบเพื่อให้รู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของสินค้าที่ต้องการนำออกมาวางขาย เพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการตลาด แต่ในยุคก่อนธุรกิจส่วนใหญ่จะมีการบริการเข้าไปเกี่ยวข้องแทบทั้งนั้น เพราะยังไม่มีช่องทางออนไลน์ต่างๆ เหมือนในปัจจุบัน จึงทำให้มีการพัฒนา 4P เป็น 7P เพื่อให้ครอบคลุมธุรกิจที่มีการบริการด้วยนั่นเอง ดังนั้น 7P จึงมุ่งเน้นองค์ประกอบสำคัญทางการตลาดอย่างรอบด้านทั้งในส่วนของสินค้าและบริการ 7P นับเป็นคอนเซปทางการตลาดที่ครบถ้วน หากสามารถโฟกัสได้ครบทุกองค์ประกอบ ธุรกิจก็จะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นนั่นเอง
บทสรุปเรื่องส่วนประสมทางการตลาด 7Ps Marketing Mix
สรุปอีกครั้งก่อนจะจบบทความนี้ไปได้ความว่า 7Ps Marketing Mix คือส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 7 ที่ประกอบไปด้วย Product, Price, Promotion, Place, People, Process และ Physical Evidence เรียกได้ว่า 7P คือกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบหนึ่งที่ผู้ประกอบการและนักการตลาดไม่ควรมองข้าม เพราะ 7Ps Marketing Mix จะทำให้คุณเข้าใจความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี และสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ออกมาตอบโจทย์กับผู้บริโภคได้ ด้วยเหตุนี้เราจะบอกว่า 7Ps Marketing Mix คือกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจก็ย่อมได้ เพราะความรู้ใจลูกค้า เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และการทำทุกอย่างให้ออกมามีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ผู้บริโภคติดหนึบกับคุณ อุดหนุนสินค้าและบริการของคุณอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นทุก ๆ เดือนนั่นเอง