แม้เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนมาใช้ HTTPS กันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีบางเว็บไซต์ที่ยังเป็น HTTP อยู่ ซึ่งช่องโหว่ที่เหลืออยู่นี่แหละครับ คือความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ Google กังวลเป็นอย่างมาก จนล่าสุด Google เตรียมยกระดับความปลอดภัยครั้งใหญ่ ด้วยการแนะนำหรือกึ่งๆ บังคับให้เจ้าของเว็บไซต์ที่ยังใช้ HTTP รีบย้ายไปใช้ HTTPS โดยด่วน ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ และอาจทำให้เว็บของคุณดูไม่น่าชื่อถือ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ SEO เต็มๆ ครับ

Google ประกาศ HTTPS จะกลายเป็นค่าเริ่มต้นของทุกเว็บไซต์

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 Google ประกาศชัดเจนแล้วว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2026 เป็นต้นไป เบราว์เซอร์ Chrome จะเปิดใช้งานฟีเจอร์ "Always Use Secure Connections” (ใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยเสมอ) ให้เป็นค่าเริ่มต้นสำหรับผู้ใช้งานทุกคน โดย Chrome จะขออนุญาตผู้ใช้ก่อนทุกครั้งที่จะโหลดเว็บไซต์สาธารณะที่ URL ยังเป็น HTTP แบบไม่มี S อยู่ ซึ่งผู้ใช้จะเห็นหน้าต่างเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอธิบายถึงความเสี่ยงของการเชื่อมต่อแบบไม่เข้ารหัสนี้ ยกเว้นเว็บไซต์ส่วนตัว เช่น ที่อยู่ IP ภายใน (Local IP addresses) จะไม่โดนการแจ้งเตือนนี้ครับ

คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า

"สำหรับประกาศครั้งนี้ Google ต้องการปิดทุกช่องโหว่ไม่ให้แฮกเกอร์โจมตีผู้ใช้งานได้ ดังนั้น เจ้าของเว็บที่ยังเป็น HTTP อยู่ ยังมีเวลาเตรียมตัวก่อนที่ Chrome จะบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ไม่งั้นอาจส่งผลกระทบอย่างมากเลยครับ เพราะถ้า User เข้าเว็บเราแล้วเจอคำเตือนว่าเว็บนี้ไม่ปลอดภัย แน่นอนว่าพวกเขาอาจกดปิดทันที ผลกระทบที่ตามมาคือ Engagement จะลดลง และ Bounce Rate เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการทำ SEO อย่างแน่นอนครับ”

HTTP กับ HTTPS ต่างกันยังไง

จากประกาศของ Google จะให้เห็นว่า Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและประสบการณ์การใช้งานของ User มากๆ นี่คือสัญญาณเตือนสำคัญสำหรับเจ้าของเว็บไซต์และคนทำ SEO ว่าถึงเวลาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเรามีระบบที่ปลอดภัย ใช้งานง่าย และพร้อมรองรับมาตรฐานใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วหรือยัง มาทำความเข้าใจว่า แล้ว HTTP HTTPS แตกต่างกันยังไง?

HTTP คืออะไร

HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol คือ โปรโตคอลพื้นฐานที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างเว็บเบราว์เซอร์กับเซิร์ฟเวอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแสดงผลเนื้อหาบนเว็บไซต์ เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือไฟล์ต่างๆ แต่ HTTP จะมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย เนื่องจากเป็นการส่งข้อมูลแบบ “ไม่เข้ารหัส” หมายความว่าข้อมูลที่ถูกส่งระหว่างเบราว์เซอร์กับเซิร์ฟเวอร์สามารถดักฟังหรือแก้ไขได้โดยบุคคลที่สาม ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้กรอกชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิตบนเว็บไซต์ที่ยังใช้ HTTP ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกขโมยได้อย่างง่ายดายเลยครับ

HTTPS คืออะไร

ตัวอย่าง https ssl

HTTPS ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol Secure คือ เวอร์ชันที่ปลอดภัยของโปรโตคอล HTTP โดยมีการเพิ่มความปลอดภัยที่เรียกว่า SSL (Secure Socket Layer) หรือในปัจจุบันคือ TLS (Transport Layer Security) ทำหน้าที่ “เข้ารหัสข้อมูล” ที่ถูกส่งระหว่างเว็บเบราว์เซอร์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกดักฟังหรือแก้ไขข้อมูลได้

หลักการทำงานคือ ข้อมูลที่ถูกส่งจะแปลงให้อยู่ในรูปแบบที่อ่านไม่ออก เว้นแต่จะมีกุญแจถอดรหัสที่ตรงกันทั้งฝั่งผู้ใช้และฝั่งเซิร์ฟเวอร์ จึงทำให้ HTTPS กลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บที่ต้องมีการกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือทำธุรกรรมออนไลน์

SSL/TLS รับรองความปลอดภัยของเว็บไซต์

ใบรับรอง SSL/TLS ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความปลอดภัยการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือมากขึ้น 

  • เริ่มต้นจาก SSL 3.0 ในปี 1996 แต่ภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 
  • พัฒนามาเป็น TLS 1.0 ในปี 1999 และ TLS 1.1 ในปี 2006 ซึ่งปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้งานแล้ว เพราะไม่สามารถป้องกันการโจมตีในยุคนี้ได้
  • รุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางคือ TLS 1.2  ในปี 2008 ที่มีความเสถียรและปลอดภัยสูง 
  • และเวอร์ชันล่าสุด TLS 1.3 ในปี 2018 ที่ออกแบบให้เข้ารหัสข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเดิม ลดขั้นตอนการเชื่อมต่อ และเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตารางสรุปความแตกต่างระหว่าง HTTP กับ HTTPS

HTTPHTTPS
รูปแบบ URLhttp://example.comhttps://example.com
ความปลอดภัยของเว็บไซต์ต่ำ (เสี่ยงถูกดักข้อมูล)สูง(ปลอดภัยเมื่อเข้าใช้งาน)
การเข้ารหัสข้อมูลไม่มีมีการใช้ SSL/TLS เข้ารหัส
ความน่าเชื่อถือของแบรนด์น้อยลงเพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อ SEOส่งผลต่อการจัดอันดับส่งผลดีต่อการจัดอันดับ

HTTP HTTPS กับผลกระทบต่อเว็บไซต์

HTTP HTTPS คืออะไร

เมื่อ Google ประกาศยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเว็บไซต์ เจ้าของเว็บและคนทำ SEO ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาหากเว็บยังเป็น HTTP อยู่ โดยเฉพาะสองประเด็นหลักๆ คือ ผลกระทบต่อการทำ SEO ซึ่งส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ และผลกระทบต่อ Conversion ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของลูกค้า ที่จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจได้เลยครับ

ผลกระทบกับการทำ SEO

ทีม SEO ของ ANGA พบว่า “เว็บไซต์ที่ไม่มี SSL Certificate (หรือ HTTP แบบไม่มี S) ส่งผลให้โอกาสการคลิกเข้าเว็บไซต์ หรือ Click-through Rate ลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่มี SSL Certificate และแสดงผลบน Google SERPs”

Google ประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2014 แล้วครับว่า HTTPS as a ranking signal ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นที่ Google จะออกมาบอกกันตรงๆ ว่าอะไรส่งผลต่อการจัดอันดบเว็บไซต์บ้าง นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเว็บไซต์ธุรกิจถึงต้องย้ายไปใช้ HTTPS เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน นอกจากนี้ การใช้ HTTPS ยังมีข้อดีเรื่องการรองรับฟังก์ชันที่ทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้นอย่าง HTTP/2 คือการที่เบราว์เซอร์สามารถส่งคำขอไฟล์ทั้งหมดที่ต้องใช้ในหน้าเว็บนั้นๆ ไปยังเซิร์ฟเวอร์ได้พร้อมกัน ทำให้โหลดหน้าเว็บได้เร็วกว่าเดิมมาก ซึ่งเว็บที่ใช้ HTTP เฉยๆ จะไม่สามารถใช้ฟังก์ชันนี้ได้

สรุปคือ ปัจจัยที่ Google ให้ความสำคัญต่อการจัดอันดับเว็บไซต์คือ ประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience - UX) ซึ่ง HTTPS ตอบโจทย์ได้ในทุกมิติ ทั้งด้านความปลอดภัยและด้านประสิทธิภาพการใช้งาน เพราะ HTTPS ปลดล็อกให้ใช้ HTTP/2 ได้ ทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับหน้าเว็บที่โหลดเร็วกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ Core Web Vitals ด้วยครับ

ตัวอย่าง เว็บไซต์ของ ANGA (แองก้า) ใช้ HTTPS เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน และรองรับการใช้งาน HTTP/2 Protocol

ตัวอย่าง https ssl รองรับ http/2

ผลกระทบต่อการเกิด Conversion

เมื่อ Chrome แสดงคำเตือนว่าเว็บนี้ไม่ปลอดภัย ผู้ใช้งานจะรู้สึกไม่มั่นใจและลังเลที่จะกรอกข้อมูลสำคัญ เช่น เบอร์โทร อีเมล หรือเลขบัตรเครดิต ส่งผลโดยตรงต่อ Conversion Rate ทั้งในขั้นตอนการลงทะเบียน ข้อมูลติดต่อ และการชำระเงิน โดยเฉพาะธุรกิจ E-commerce และธุรกิจ B2B ที่พึ่งพาแบบฟอร์มเพื่อเก็บ Leadนอกจากนี้ยังส่งผลต่อ ภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Image) โดยตรง เพราะความปลอดภัยคือพื้นฐานของความน่าเชื่อถือ ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัว เว็บไซต์ที่มี HTTPS จะสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจให้ผู้ใช้ทันที การใช้ HTTPS จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือมาตรฐานขั้นต่ำที่สะท้อนถึงความใส่ใจของแบรนด์ต่อความปลอดภัยของลูกค้าอย่างแท้จริง

5 สิ่งที่ต้องทำก่อน Chrome เปลี่ยนค่าเริ่มต้นเว็บเป็น HTTPS

ใครที่เช็กเว็บตัวเองแล้วยังเป็น http:// แบบไม่มี S แนะนำให้ทำตาม Checklist นี้ให้เสร็จก่อนตุลาคม 2026 เลยครับ

  1. ติดตั้ง SSL/TLS Certificate: ติดตั้งและคอยต่ออายุ SSL/TLS Certificate บนทุกโดเมนและซับโดเมน มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน
  2. ทำ 301 Redirect: เปลี่ยน URL ทั้งเว็บจาก http:// ไปเป็น https:// ด้วยวิธีที่ถูกต้อง ใช้ 301 Redirect เพื่อบอก Google ว่าเราย้ายบ้านถาวรแล้ว และให้ส่งต่อค่าพลัง SEO ไปที่ URL ใหม่ด้วย
  3. ตรวจสอบลิงก์ภายใน: เช็ก Internal Links, Canonical Tags, และ Sitemap ว่าชี้ไปที่เวอร์ชัน https:// ทั้งหมดแล้ว
  4. อัปเดตเครื่องมือ: อัปเดต Google Search Console และ Google Analytics ให้ชี้ไปที่โดเมน https:// ต้องแอด Property ใหม่เป็นเวอร์ชัน HTTPS เพื่อให้เก็บข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
  5. สื่อสารในทีม: แจ้งทีม Dev, ทีม Marketing, ทีม Ads ให้เข้าใจตรงกันว่าต่อไปนี้ ทุกแคมเปญ ทุก Landing Page ต้องเป็น https:// เท่านั้น

ทำไม Google ถึงยกระดับ HTTPS อีกครั้งในปี 2026

การที่ Google ยกระดับให้ HTTPS กลายเป็นค่าเริ่มต้นช่วงตุลาคมปี 2026 ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเดตเชิงเทคนิค แต่เป็นการกำหนดมาตรฐานใหม่ของโลกออนไลน์ ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ หากเว็บไซต์ของคุณยังคงใช้ HTTP อยู่ ยังมีเวลาเตรียมตัวนะครับ เพราะเมื่อ Chrome เริ่มแสดงคำเตือน ผู้ใช้อาจไม่เพียงแค่ปิดหน้าเว็บคุณทันที แต่อันดับ SEO และความไว้วางใจจากลูกค้าก็อาจหายไปพร้อมกันด้วย เริ่มต้นติดตั้ง SSL/TLS และเปลี่ยนเป็น HTTPS ตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เว็บของคุณพร้อมรับมาตรฐานใหม่ของ Google และยังคงอยู่บนเส้นทางแห่งความน่าเชื่อถือในยุคดิจิทัลอย่างมั่นคง

“การทำ SEO ในยุคที่ AI Search หรือ AI Overviews เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของข้อมูล กลายเป็นหัวใจสำคัญของการจัดอันดับ เว็บไซต์ที่ไม่มี HTTPS หรือขาดสัญญาณความปลอดภัย โอกาสที่ AI จะดึงข้อมูลจากเว็บเราไปแสดงเป็นคำตอบก็จะลดลง ดังนั้นการใช้ HTTPS จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่อง Trust Signal ที่กำหนดอนาคตของ SEO ยุคใหม่ได้เลยครับ”