1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. การสร้าง Engagement คืออะไร? ตัวชี้วัดสำคัญในการทำโฆษณาออนไลน์
Engagement คือ
เผยแพร่เมื่อ: มีนาคม 7, 2023 | แก้ไขเมื่อ: กรกฎาคม 30, 2024

การสร้าง Engagement คืออะไร? ตัวชี้วัดสำคัญในการทำโฆษณาออนไลน์

Table Of Contents

Engagement คืออะไร ? หากแปลตรงตัวคำนี้มีความหมายว่า ข้อตกลง  การหมั้นหมาย ข้อผูกมัด ข้อผูกพัน ฯลฯ เป็นคำมักใช้อธิบายความผูกพันและการมีส่วนร่วมอย่างกว้าง ๆ และคำนี้มีการใช้ในศาสตร์วิชาต่าง ๆ มากมายตั้งแต่ การศึกษา จิตวิทยา แรงงานบุคคล การตลาด ฯลฯ เพื่อไม่ให้เป็นการสับสนบทความนี้ ANGA ได้เน้นความหมายของคำว่า Engagement ในมิติของการตลาดดิจิตัลและการทำโฆษณาออนไลน์ ซึ่งมีรายละเอียดสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของแคมเปญการตลาดมากขึ้น

Engagement คืออะไร ? ในการทำการตลาด 

ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีการใช้งานของผู้บริโภค ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามล้วนเกิด “ความมีส่วนร่วม” หรือ Engagement กับแบรนด์หรือธุรกิจที่ทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มนั้น ๆ Engagement คือ ยอดตัวเลขของผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ของแบรนด์ โดยเฉพาะช่องทาง Social Media คำว่า Engagement มักจะเป็นยอดผู้พบเห็นคอนเทนต์ และจำนวนการกระทำ (Action) ต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นั้นทั้งในเชิงบวก เช่น ยอดถูกใจ (Like) ยอดแชร์ (Share) และในเชิงลบ เช่น การแจ้งสแปม การกดซ่อนโพส เป็นต้น 

ยอด Engagement จึงเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งทางการตลาดที่ใช้วัดการมีส่วนของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีต่อแบรนด์ แล้วแบรนด์สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงพัฒนาการตลาดได้ โดยแต่ละแพลตฟอร์มนั้นจะมีวิธีการวัด Engagement แตกต่างกันออกไป 

Engagement สำคัญอย่างไรในการทำโฆษณาออนไลน์ ?

ในการตลาดแบรนด์ต้องใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าเริ่มสนใจสินค้าและบริการของแบรนด์ ซึ่งการนำ Engagement มาใช้เพื่อสร้างความประทับใจและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า มีชื่อว่า Engagement Marketing มีวิธีการอย่างคร่าว ๆ คือ กระตุ้นให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเกิดการพูดคุย แชร์ คอนเทนต์หรือโฆษณาจากแบรนด์มากขึ้น 

ดังนั้น Engagement จึงมีความสำคัญกับการทำโฆษณาหรือคอนเทนต์ออนไลน์เพราะแบรนด์สามารถนำ Engagement มาวิเคราะห์เพื่อออกแบบคำพูด สไตล์รูปภาพวิดีโอสำหรับการทำโฆษณาตัวใหม่ให้มีความน่าสนใจมากกว่าเดิมได้ สร้างความผูกพัน และ ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand royalty) กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน 

Engagement บน Social Media

ประเภทของ Engagement บน Social Media

จากที่ได้กล่าวไปในหัวข้อแรก Engagement ใช้อธิบายยอดการมีส่วนร่วม ซึ่ง Social Media และแพลต์ฟอร์มออนไลน์แต่ละตัวจะมีฟังก์ชันที่ไม่เหมือนกัน วิธีการที่ผู้ใช้งาน (User) กระทำต่อสื่อบนแพลตฟอร์มก็จะต่างกันออกไป เพื่อไม่ให้สับสนในหัวข้อนี้จะขอตัวอย่าง Facebook Engagement ว่ามีฟังก์ชันใดที่นับเป็น Engagement ได้ ซึ่งนำไปใช้เป็นข้อมูลทางการตลาดได้ดังนี้

Reactions

คือการกดแสดงความรู้สึกบนคอนเทนต์หรือโฆษณา Facebook เป็นการแสดงความรู้สึกว่าเรารู้สึกของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อคอนเทนต์นั้น โดยในปัจจุบัน Facebook มี reaction ได้แก่มี Like (ถูกใจ) Love (รัก) Care (ห่วงใย) Haha (หัวเราะ) Wow (ตกใจ) Sad (เศร้า) Angry (โกรธ) 

Comment

คือการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อคอนเทนต์หรือโฆษณาที่ปรากฏ ผ่านตัวอักษรหรือการโพสต์รูปและวิดีโอในช่อง “แสดงความคิดเห็น” หรือ “Comment” เป็นวิธีหนึ่งที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถใช้แสดงความคิดเห็น ซึ่งอาจเป็นคำถามที่สงสัย ความรู้สึกส่วนตัวหรือ หรือ Feedback ที่มีต่อคอนเทนต์หรือโฆษณานั้น ๆ 

Share

คือฟังก์ชันที่ลูกค้าสามารถส่งต่อเห็นคอนเทนต์และโฆษณาบน Facebook ไปยังหน้าฟีดของตัวเอง หรือส่งไปยังคนรู้จักในช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ซึ่ง Share เป็น Engagement ที่ให้ประโยชน์กับแบรนด์มากที่สุดใน 4 ประเภทนี้ เพราะแบรนด์จะได้รับการกระจายคอนเทนต์โฆษณาจากลูกค้าไปยังลูกค้ากลุ่ม ๆ โดยที่แบรนด์ไม่ต้องทำเองโดยตรง

Click-Throughs

หมายถึงการที่กลุ่มเป้าหมายกดคลิกโพสนั้นแล้วไปยังเว็บไซต์หรือลิงค์ปลายทาง ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการทำการตลาดแบบ Engagement เพื่อวัดว่ากลุ่มเป้าหมายมีกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าเปลี่ยนไปหรือไม่ และวัดผลว่าคอนเทนต์ที่ได้ยิงแอด Facebook ไปนั้นได้รับการกดเพื่อไปลิงก์ปลายทางมากน้อยเพียงใด 

กลยุทธ์ในการสร้าง Engagment ให้กับแบรนด์

กลยุทธ์ในการสร้าง Engagment

จำลองตัวตนของลูกค้าให้ชัดเจน

ก่อนจะผลิตคอนเทนต์ประเภทใดก็ตาม แบรนด์จะต้องวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายว่ามีความต้องการอะไร มีปัญหาอะไรสามารถแก้ไขได้อย่างไร มีความชื่นชอบและไลฟ์สไตล์แบบไหน แบรนด์อาจจะใช้เครื่องมือทางการตลาดเข้ามาจำลองตัวตนของลูกค้าเช่น การทำ Customer Persona หรือ Buyer Persona เมื่อแบรนด์วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนจะสามารถกำหนดทิศทางของแบรนด์และทิศทางการตลาดได้ง่ายขึ้น

กำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์

เมื่อจำลองลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแล้ว แบรนด์จะเข้าใจลักษณะที่มีร่วมกันของกลุ่มลูกค้าหลัก สิ่งที่แบรนด์ควรทำเพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้าคือ การสร้าง Brand Voice ซึ่งเป็นการกำหนดสไตล์การเล่าเรื่อง สำนวนการเขียน และน้ำเสียงที่แบรนด์ต้องนำไปใช้ในการผลิตคอนเทนต์ประเภทใดก็ตาม หากแบรนด์สามารถทำ Brand Voice ให้ตรงกับตัวตนของลูกค้าได้ คอนเทนต์และโฆษณาต่าง ๆ จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี เพราะ Brand Voice ทำให้พวกเขารู้สึกว่าแบรนด์เป็นส่วนหนึ่งของ Community ของเขา เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก 

กำหนดรูปแบบคอนเทนต์

หลังจากที่แบรนด์ได้รู้จักตัวตนของลูกค้าแล้ว มี Brand Voice ที่เป็นมิตรกับลูกค้าแล้ว ขั้นตอนนี้คือการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการกำหนดรูปแบบคอนเทนต์ให้ลูกค้าสนใจ สมมติถ้าแบรนด์ต้องการขายโปรตีนพร้อมชงเพื่อสุขภาพให้กลุ่มลูกค้าอายุ 20-30 ปี ที่รักสุขภาพ คอนเทนต์ควรจะมีสไตล์การเล่าเรื่องแบบกูรูสุขภาพ เทรนเนอร์ เป็นต้น หากสร้างคอนเทนต์ได้ตรงกับไลฟ์สไตล์ได้ดีมันจะส่งผลต่อ Engagement และช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น 

กำหนดตารางเผยแพร่คอนเทนต์

การลงคอนเทนต์ต่าง ๆ ควรมีการกำหนดวันเวลาใน 1 สัปดาห์ 1 เดือน แล้วแต่แผนของแบรนด์ กำหนดการเผยแพร่เนื้อหา (Content Calendar) จะช่วยบอกว่าแบรนด์จะเผยแพร่คอนเทนต์อะไรบ้าง ลงวันไหน เวลาใด แต่ในช่วงแรกโดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ ๆ ที่ไม่ยังไม่เคยลงคอนเทนต์จริงจัง ให้เริ่มต้นด้วยการลงคอนเทนต์ที่มันหลากหลายเพื่อหา Engagement และสำรวจความนิยมของลูกค้าก่อน แล้วค่อยนำยอด Engagement ไปวางแผนวันเวลาในการลงคอนเทนต์ระยะยาว

วัดผลและปรับปรุงคอนเทนต์

ถึงแม้จะค้นคว้าตัวตนของลูกค้าและทำคอนเทนต์ออกมาอย่างดีแล้ว การเผยแพร่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จทุกครั้ง แบรนด์จึงต้องเก็บข้อมูล Engagement วิเคราะห์สาเหตุต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงคอนเทนต์ต่อ ๆ ไป เป็นการพัฒนา Engagement Marketing เพื่อให้แบรนด์ได้รับการตอบรับ และสร้างความผูกพันได้อย่างต่อเนื่อง

บทสรุปของการสร้าง Engagement ที่ส่งผลต่อการทำการตลาดออนไลน์

Engagement คือยอดแสดงความมีส่วนร่วมระหว่างผู้ใช้งานกับแบรนด์หรือธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นที่นิยมในการนำมาใช้วางแผนการตลาดออนไลน์ที่นอกจากทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ แบรนด์จึงต้องวางแผนสร้าง Engagement ให้เป็นมิตรเพื่อให้เกิดความผูกพันเชิงบวก ซึ่งจะนำไปสู่ไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการในที่สุด 

บทความที่เกี่ยวข้อง

สรุปเนื้อหาจากงาน Google Search Central Live 2024

Google Search Central Live 2024 คืองานสัมมนาที่ทาง Google จัดขึ้นมาเพื่ออัปเดตข้อมูลด้าน Google Search โดยเฉพาะ จัดเต็มไปด้วยเนื้อหาเรื่องการทำ SEO (Search Engine Optimization), Search Engine, Search
88

Google กลับลำไม่ยกเลิก Third-Party Cookies แล้ว!

ย้อนกลับไปในปี 2019 ได้มีประกาศสำคัญที่ว่า Google ยกเลิก Cookies บน Chrome และคาดว่าจะเลิกใช้ Third-Party Cookies ทั้งหมดได้ภายในปี 2024 เพราะ Google ต้องการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน พร้อมทั้ง
142

Search Engine คืออะไร มีอะไรบ้าง และแบ่งออกเป็นกี่ประเภท?

หลาย ๆ คนคงจะเคยเห็นคำว่า “Search Engine (เสิร์ชเอนจิน)” ผ่านตามาบ้างแล้ว จากการอ่านบทความหรือฟังพอดแคสต์ที่พูดถึงการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นการเพิ่ม Or
116
th