Google Trends คืออะไร? คู่มือฉบับเริ่มต้นเพื่อหาเทรนด์ใหม่ ๆ ให้นักการตลาด
ในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อมูลและประเด็นความสนใจของผู้คนผลัดเปลี่ยนได้ในพริบตา บางเทรนด์อาจจะมาไวไปไว ขณะที่บางเทรนด์ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ‘Google Trends’ จึงเป็นเครื่องมือที่ทั้งฟรีและดี! ช่วยจับทุกประเด็นฮอตฮิต ณ ช่วงเวลานั้น ทำให้นักการตลาดสามารถหยิบข้อมูล Insights ของกลุ่มลูกค้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
เมื่อข้อมูลเชิงลึกเป็นสิ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดแล้ว แน่นอนว่าคุณจะได้เปรียบแถมสร้างสรรค์แผนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้ ‘ANGA’ จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับกูเกิลเทรนด์ว่าคืออะไร ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของเครื่องมือนี้มีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจและ SEO อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วมาเริ่มกันเลย
Google Trends คืออะไร เหตุใดนักการตลาดต้องรู้จัก?
ความหมายของ Google Trends คือ เครื่องมือจาก Search Engine ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘Google’ ที่ช่วยผู้ใช้งานค้นหาความสนใจของผู้คน ณ ช่วงเวลาหนึ่งในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นระดับจังหวัด ประเทศหรือระดับโลก ผ่านคีย์เวิร์ด (Keyword) ซึ่งเราสามารถพิมพ์คีย์เวิร์ดที่สนใจจากนั้นอัลกอริทึมจะแสดงข้อมูลออกมาภายในเสี้ยววินาที นอกจากนี้ยังสามารถเช็กเทรนด์ฮิตประจำวันหรือตรวจสอบความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูข้อมูลหรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง (Related Quiries) แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อยอดได้
10 เคล็ดลับใช้ Google Trends ฉบับมืออาชีพ ธุรกิจโตได้ โดนใจลูกค้าด้วย!
เพราะเครื่องมือ ‘Google Trends’ นั้นสามารถเข้าถึงได้ทุกคนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใคร ๆ เสิร์ชก็เห็นข้อมูลเดียวกันหากใช้ Keyword เหมือนกัน ฉะนั้นแล้วหากต้องการหยิบข้อมูลไปต่อยอดให้มีประสิทธิภาพต้องรู้จักการประยุกต์ในแผนการตลาด เช่น วางแผนคอนเทนต์ SEM และ SEO การหาไอเดียสินค้ากระแส พร้อมแล้วเตรียมปากกาขึ้นมาจดกันเทคนิคได้เลย
1. ส่อง! เทรนด์ฮิตติดกระแสและการค้นหาที่มาแรงแบบเรียลไทม์
สำหรับใครที่ยังไม่มีไอเดีย แต่อยากตามติดกระแสที่กำลังฮิตของวันนี้สามารถใช้วิธีการที่ง่ายที่สุด คือ เข้าไปยังเว็บไซต์ https://trends.google.co.th เมื่อเลื่อนลงมาจะพบกับ ‘Recently Trending’ ประจำวัน สามารถกด More Trending Searches เพื่อดูเพิ่มเติมได้ เมื่อคลิกเข้ามาแล้วจะพบอีกหนึ่งแถบสำรวจเทรนด์แบบเรียลไทม์นั่นคือ ‘Realtime Search Trend’
เมื่อพบคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจแล้วก็สามารถสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องได้ มีโอกาสที่ Traffic จะวิ่งเข้ามาสูงหรือใครเจาะตลาดโซเชียลก็มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าได้ (Brand Engagement) ยกตัวอย่างเช่น ‘ปีเสือ’ ชงทั้งที ขอชาเนสทีหลาย ๆ แก้วเลยแล้วกัน
2. หัวข้อที่เกี่ยวข้องและคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง (Related Topic & Query)
ฟีเจอร์ของ Google Trends ต่อมาจะช่วยให้คุณหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องใหม่ ๆ ได้อย่างน่าสนใจและละเอียดขึ้น นั่นก็คือ Related Topics และ Related Queries เช่น กำหนดคีย์เวิร์ดที่โฟกัสเป็น ‘NFT’ กดค้นหาจะพบหัวข้อที่สามารถนำมาสร้างคอนเทนต์แยกย่อยได้ แถมทราบว่ากลุ่มลูกค้าสนใจอะไรเพิ่มเติมนอกจากตัวผลิตภัณฑ์
สำหรับคำศัพท์ ‘Breakout’ ที่พบข้าง ๆ คีย์เวิร์ด หมายถึง มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสืบค้นคำนี้เพิ่มขึ้นถึง 5000% จากช่วงก่อนหน้านั่นเอง ซึ่งจุดนี้เองที่เอเจนซี่รับทำ SEO ทั้งหลายหยิบ Related Keywords, Primary & Secondary Keywords ไปใช้กัน
3. ไทม์แมชชีนพาย้อนมองแนวโน้มความสนใจ
ทีเด็ดของ Google Trends ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะฟีเจอร์ต่อมาจะพาคุณ ‘ย้อนเวลา’ เช็ก Insights ของผู้บริโภคพร้อมกับวัดทิศทางลมว่าสินค้าหรือบริการนั้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง วิธีใช้งานก็ง่ายดาย เมื่อกดค้นหาคีย์เวิร์ดจะมีแถบ Past Hour ปรากฏด้านล่างคีย์เวิร์ดให้คุณเลือกช่วงเวลาได้ตามต้องการ โดยย้อนได้เกือบ 20 ปีเลยทีเดียว หากพบว่าสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ในสปอตไลต์อีกต่อไปอาจจะพับเก็บไว้ก่อน
4. เปรียบเทียบสิ่งที่ผู้คนสนใจ อันไหนมีโอกาสเกิดกว่า?
สำหรับการเปรียบเทียบคีย์เวิร์ดมีวิธีการ คือ กดค้นหาคีย์เวิร์ดของเราจากนั้น + Compare และใส่อีกหนึ่งคีย์เวิร์ดหรือ + หลาย ๆ คำได้ในคราวเดียวกันเพื่อเช็กแนวโน้มว่าสิ่งใดดีที่สุด ผู้คนยังให้ความสนใจกันเยอะหรือมีแนวโน้มขาขึ้น แถมยังดูความนิยมของคู่แข่งได้อีกด้วย
5. ปักหมุดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เพื่อวางแผนการตลาดได้
อีกหนึ่งความน่าสนใจของเครื่องมือนี้ คือ สามารถตรวจสอบได้ว่าจังหวัดใดให้ความสนในสินค้าหรือบริการนั้นมากที่สุด ดังนั้นแบรนด์จึงสามารถระบุ Target Audience ได้ลึกขึ้นก่อนจะใช้บริการบริษัทรับทำ Google Ads เน้นยอดลูกค้าเจาะจงในจังหวัดนั้น ๆ เช่น คุณต้องการขาย รองเท้าผ้าใบ จ.ที่มีความสนใจสูงสุด คือ อุตรดิตถ์ ในช่วงเวลานี้
6. คีย์เวิร์ดตามเทศกาลและฤดูกาล
เป็นธรรมชาติของพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าหรือบริการในแต่ละฤดูกาลหรือเทศกาลแตกต่างกันไป ดังนั้นฟีเจอร์ในข้อ 3. จึงสามารถนำมาปรับใช้ในการวางแผนคอนเทนต์ ลงล่วงหน้าก่อน Peak Season จะมาถึงสัก 1 – 2 เดือน เช่น ที่พักเกาะกูด ช่วงที่ได้รับความสนใจที่สุดคือหน้าร้อนเดือน มี.ค. – เม.ย.
7. ชุบชีวิตคอนเทนต์เก่า
สำหรับคอนเทนต์เก่าที่เคยเผยแพร่ไปสามารถนำมาปัดฝุ่นใส่คีย์เวิร์ดที่มาแรงแทนคีย์เวิร์ดเดิมที่ตกเทรนด์ไปแล้วได้ ควรมีการเช็กว่าคำสำคัญใกล้เคียงใดกำลังมาแรงหรือแซงไปแล้วหรือไม่ เพื่อให้คุณติดอันดับ SEO แบบไม่มีร่วง
8. แพลตฟอร์มค้นหาไม่จำกัดแค่ Google
นอกจากเครื่องมือ ‘Web Search’ แล้วคุณยังสามารถเปลี่ยนไปเป็น YouTube Search, Image Search, News Search หรือ Google Shopping ได้ ดังนั้น Google Trends จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับการทำ SEO บนแพลตฟอร์มหรือรูปแบบอื่น ๆ หรือแบรนด์ใครอยากจะร่วมมือกับยูทูบเบอร์ก็สามารถทำรีเสิร์ชความนิยมของช่องในช่วงนั้นได้ก่อน
9.เทรนด์ใดกำลังมาแรงและมาแรงมากที่สุด
Rising Trend vs. Top Trend คุณสามารถเลือกฟิลเตอร์ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องได้ทั้งสองแบบ โดยแบบแรกคือเทรนด์ที่มาแรงในขณะนี้ ส่วนแบบที่สองคือคำที่ได้รับความนิยมสูงสุด อาจจะกดดูทั้งสองแบบเพื่อหาไอเดียที่เหมาะสมก่อน ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องฮิตติดเทรนด์สด ๆ ใหม่ ๆ มีโอกาสที่คอนเทนต์ของคุณจะได้เป็นแหล่งอ้างอิงแบบ ดึง Traffic ออร์แกนิคซึ่งส่งผลดีไม่แพ้การจ้างบริษัทรับทำ Backlink เลย
10. การค้นหาคีย์เวิร์ดแบบเจาะลึกด้วย ‘Category’
เคล็ดลับข้อสุดท้ายที่เราอยากแนะนำ คือ การกำหนดหมวดหมู่ของคำค้นหา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น และแก้ปัญหาเรื่องคำพ้องรูป เช่น ปักเป้า ที่หมายถึง ปลา และชนิดของว่าว สามารถระบุ Category เป็น Hobbies & Leisure หรือ Pets & Animals ได้ อย่างไรก็ตามในบางคีย์เวิร์ด เครื่องมืออาจมีปัญหากับภาษาไทย ซึ่งอาจขึ้นปนกันดังนั้นต้องเช็กให้ดีก่อน
เจาะลึก! 10 เทคนิคการใช้ Google Trends ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจ
จบไปแล้วสำหรับรายละเอียดที่น่าสนใจของ Google Trends คราวนี้ทุกท่านก็ทราบความหมายและเทคนิคการใช้งานเครื่องมือที่ทั้งดีและไม่มีค่าใช้จ่ายกันอย่างครบถ้วนแล้ว ‘ANGA’ เชื่อว่านักการตลาดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้ธุรกิจเติบโตไม่ตกเทรนด์ได้อย่างแน่นอน ในครั้งหน้าจะมี Topic ใดน่าสนใจมาฝากบ้างอย่าลืมมาคอยติดตามกัน