เจ้าของเว็บไซต์ธุรกิจหลายคนอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเว็บตัวเองมีลิงก์เสียหรือ Error 404 ซ่อนอยู่หลายหน้า เพราะคนที่เปิดเว็บไซต์ขึ้น 404 Not Found มักจะเป็นฝั่งผู้ใช้งาน บอกเลยว่าปัญหานี้ไม่ได้แค่สร้างประสบการณ์ไม่ดีต่อผู้ใช้เท่านั้น แต่ในยุค AI Search หากปล่อยปัญหานี้ไว้ อาจส่งผลต่อการทำ SEO มากกว่าที่คิด เพราะ AI เรียนรู้และสร้างคำตอบจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (Crawling) หาก AI พยายามเข้าถึงข้อมูลแล้วเจอหน้า Error 404 อาจทำให้เว็บของเราเสียโอกาสในการเป็นแหล่งข้อมูลของ AI ได้เลย

คุณเกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน CEO & Managing Director ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า

"หลายธุรกิจที่เข้ามาปรึกษาบริการรับทำ SEO กับเรา มักมีลิงก์เสียหรือหน้า 404 Not Found ซ่อนอยู่ เพราะถ้าไม่ได้ทำ Technical SEO Audit อย่างจริงจัง ก็อาจไม่พบปัญหานี้ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำ SEO และอาจทำให้เว็บไซต์เสียโอกาสในการจัดอันดับ และลดความน่าเชื่อถือในสายตา Search Engine ได้ โดยเฉพาะในยุค AI Search ที่ระบบให้ความสำคัญกับความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของข้อมูลบนเว็บไซต์เป็นอย่างมากครับ”

404 Not Found คืออะไร?

404 Not Found คือ ข้อความแจ้งเตือนว่าหน้าเว็บนั้นเกิดข้อผิดพลาด ไม่พบ URL ที่ต้องการเปิดในเซิร์ฟเวอร์นี้ ซึ่ง Error 404 เป็นรหัสสถานะ HTTP มาตรฐาน (HTTP Status Code) ที่เว็บเซิร์ฟเวอร์ส่งกลับมายังเว็บเบราว์เซอร์เพื่อบอกว่า เซิร์ฟเวอร์สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ไม่พบข้อมูลภายใน URL ที่คุณคลิกเข้ามา จึงตอบกลับด้วยรหัส "404" เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่า "หาหน้านั้นไม่เจอ" สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ รหัส 404 ไม่ได้หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์ล่มหรือเว็บไซต์ใช้งานไม่ได้ ซึ่งนั่นมักจะเป็นรหัสตระกูล 5xx

เมื่อเบราว์เซอร์ได้รับรหัส 404 ก็จะแสดงข้อความให้ผู้ใช้งานเห็นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละเว็บไซต์ โดยข้อความ 404 ที่พบบ่อย เช่น

  • 404 Not Found
  • Page Not Found
  • Error 404
  • The requested URL was not found on this server.
  • HTTP 404 Not Found
  • Oops! Page not found.
  • This page could not be found.
  • ไม่พบหน้าที่คุณค้นหา

ถ้าปล่อย Error 404 Not Found ทิ้งไว้จะกระทบ SEO มากไหม

จากประสบการณ์ที่เราทำ SEO Audit ให้หลายเว็บไซต์ พบว่าเพียงแค่ลดจำนวน 404 ลง และจัดการ Redirect อย่างเป็นระบบ อันดับเฉลี่ยของเว็บไซต์ก็ดีขึ้น เพราะ Google เห็นว่าเว็บมีการดูแลอย่างต่อเนื่องและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานจริงๆ ดังนั้น ถ้าปล่อย Error 404 Not Found ทิ้งไว้จะส่งผลกระทบกับ SEO อย่างแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็น

  • ส่งผลต่อการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ Googlebot จะมองว่าเว็บไซต์มีเนื้อหาที่ไม่สมบูรณ์หรือมี “Low Quality Content” หากพบลิงก์เสียจำนวนมาก เพราะสัญญาณเหล่านี้สะท้อนถึงการดูแลเว็บไซต์
  • สิ้นเปลือง Crawl Budget โดยไม่จำเป็น Google มีจำนวนครั้งในการเข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl Budget) ที่จำกัดต่อเว็บไซต์ หากบอตเสียเวลาคลานหน้าที่เป็น 404 มากเกินไป จะทำให้หน้าสำคัญที่ยังใช้งานไม่ได้รับการเก็บข้อมูลอย่างเหมาะสม
  • ทำลาย Internal Link Equity ลิงก์ภายในที่ชี้ไปยังหน้า Error 404 จะทำให้การส่งต่อค่าความน่าเชื่อถือระหว่างหน้าเว็บผ่านการเชื่อมโยงด้วยลิงก์ (Link Juice) หายไป อาจส่งผลให้หน้าหลักหรือหน้าที่เกี่ยวข้องอันดับลดลงโดยไม่รู้ตัว
  • เว็บไซต์พลาดโอกาสติดอันดับในคีย์เวิร์ดสำคัญ แม้เว็บไซต์จะมีคอนเทนต์คุณภาพดี แต่หากมี Broken Link หรือ 404 ซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก จะทำให้ Google ประเมินภาพรวมเว็บไซต์ต่ำกว่าเว็บคู่แข่งที่มีโครงสร้างลิงก์ที่สมบูรณ์กว่า

Error 404 Not Found เกิดจากอะไร?

บางครั้งเจ้าของเว็บอาจไม่ทันได้สังเกตว่ามี URL ไหนบ้างที่เกิด Error 404 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสาเหตุที่ทำให้เว็บไซต์ขึ้น 404 Not Found มักมาจากการปรับปรุง แก้ไข หรือลบ URL ภายในเว็บ จากประสบการณ์ที่ทีม SEO ของเราได้ตรวจสอบเชิงลึกให้กับหลายเว็บไซต์ เราพบว่า Error 404 Not Found มักเกิดจาก 2 สาเหตุหลักเลยก็คือ

1. เปลี่ยนโครงสร้าง URL โดยไม่ Redirect

กรณีนี้มักเกิดขึ้นบ่อยตอนปรับโครงสร้างเว็บไซต์ หรือเปลี่ยนระบบ CMS ใหม่ เจ้าของเว็บอาจตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบ URL บางหน้า หรือเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เช่น เปลี่ยนหมวดหมู่จาก /blog/post-name ไปเป็น /articles/post-name 

หากไม่ทำ 301 Redirect หรือการย้าย URL ถาวรจากโครงสร้างเก่าไปยังโครงสร้างใหม่ จะส่งผลกระทบค่อนข้างมากเลยครับ ลิงก์เก่าทั้งหมดที่ Google ได้ Index ไปแล้ว จะกลายเป็น 404 Page Not Found ทันทีที่ผู้ใช้คลิกเข้ามา ทำให้เว็บเสีย Traffic และเสียคะแนน SEO เป็นอย่างมาก

2. ลบหน้าโดยไม่มีการตั้งค่า 301 Redirect

นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยในเว็บ E-Commerce เมื่อสินค้าเลิกขาย หรือมีการลบบทความเก่าทิ้ง เจ้าของเว็บมักเลือกที่ลบจะหน้านั้นออกไป และเมื่อหน้านั้นถูกลบ URL ดังกล่าวจะกลายเป็น 404 ทันที ปัญหาร้ายแรงคือ หากหน้านั้นเคยมี Backlink คุณภาพสูงชี้เข้ามา หรือเคยติดอันดับ SEO 

การลบหน้านั้นทิ้งโดยไม่ทำ 301 Redirect หรือการย้าย URL ถาวรไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง เช่น หน้าหมวดหมู่สินค้า หรือบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน ถือเป็นการโยนคะแนน SEO ทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย และทำให้ผู้ใช้ที่คลิกเข้ามาเจอทางตัน

วิธีเช็ก Error 404 Not Found ผ่าน Google Search Console

Google Search Console (GSC) เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์มีปัญหา 404 Not Found หรือไม่และมีหน้าไหนบ้าง โดย GSC จะแสดงข้อมูลหลังบ้านเกี่ยวกับการทำงานของเว็บไซต์ ข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น และการจัดทำดัชนี (Index) ของแต่ละหน้าอย่างละเอียด 

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์จะต้องเชื่อมต่อ (Submit) และส่ง Sitemap ให้ Google ก่อน เพื่อให้ Googlebot รู้ว่าเว็บเรามีหน้าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง หากเพิ่งส่ง Sitemap ไปอาจจะต้องรอประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้ Bot เข้าไปสำรวจและเก็บข้อมูลทั่วทั้งเว็บก่อน GSC ถึงจะเริ่มแสดงรายการหน้า 404 ที่มันเจอให้เราเห็นครับ โดยวิธีเช็กว่ามีหน้าไหนบ้างที่เกิด Error 404 มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

1. ที่ Google Search Console ตรงเมนูด้านซ้ายให้เลือก “Pages”

      เช็ก Error 404 Not Found ผ่าน GSC

      2. เมื่อกดเข้ามาแล้วจะพบการรายงานข้อมูลว่า “ทำไมหน้าต่างๆ เหล่านี้ถึงไม่ถูก Google เอาไปจัดอันดับ (Why pages aren’t indexed)” จะเห็นว่ามีหลายสาเหตุที่เกิดขึ้น ในกรณีนี้เราจะเลือก Not found (404)

        เช็ก 404 Not Found ใน GSC

        3. จากนั้นระบบจะแสดงผลจำนวนหน้าทั้งหมดที่มีปัญหาเรื่อง Not found (404) มีทั้งหมด 421 Pages และบอกด้วยว่ามี URL ไหนบ้างที่เกิด Error 404

        วิธีเช็ก Error 404 Not Found
        วิธีเช็ก Error 404 Not Found

        วิธีแก้ Error 404 Not Found ทำยังไงได้บ้าง

        1. ตั้งค่า 301 Redirect 

        การตั้งค่า 301 Redirect เป็นวิธีแก้ Error 404 ที่คนทำ SEO ใช้ส่งสัญญาณไปยัง Googlebot ว่า "URL นี้ได้ย้ายไป URL ใหม่แบบถาวรแล้ว" ซึ่งการทำ 301 Redirect ยังเป็นการส่งต่อคุณค่าของลิงก์ (Link Equity) หรือพลัง SEO ด้วย ลองนึกภาพตามนะครับว่า URL เก่าที่กลายเป็น 404 อาจเคยมี Backlink คุณภาพสูงชี้เข้ามา ถ้าเราปล่อยให้มันเป็น 404 หรือลบทิ้ง นั่นคือการโยนพลัง SEO ทั้งหมดนั้นทิ้งไปด้วย 

        ตัวอย่างการใช้งาน 301 Redirect 

        • กรณีหน้าสินค้าที่เลิกขายไปแล้ว

        หน้า /product-A (เลิกขาย) ทำ 301 Redirect ไปยังหน้า /product-B (รุ่นใหม่ที่ทดแทนกัน) หรืออย่างน้อยที่สุดควร Redirect ไปหน้า Category ของสินค้านั้น กรณีนี้ไม่แนะนำให้ทำ 301 Redirect ไปยังหน้า Home เพราะ Google จะมองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน และอาจไม่ส่งต่อ Link Equity ให้นั่นเองครับ

        • กรณีรวมบทความเก่า เป็นบทความใหม่

        กรณีที่มี 2 บทความคล้ายกัน /post-1 และ /post-2 แล้วคุณตัดสินใจว่าจะรวมเป็นบทความใหม่ที่ดีที่สุดบทความเดียวที่ /post-3 จะต้องทำ 301 Redirect ทั้งหน้า /post-1 และ /post-2 มายังหน้า /post-3 ด้วย

        • กรณีเปลี่ยนโครงสร้าง URL

        หากต้องการเปลี่ยนโครงสร้าง URL เช่น จาก /blog/post-name เป็น /article/post-name ควรตั้งค่า 301 Redirect จาก URL เดิมทั้งหมดไปยัง URL ใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้ที่คลิกลิงก์เก่ายังสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างต่อเนื่อง

        302 Redirect สำหรับการย้ายชั่วคราวเท่านั้น

        ในทางกลับกัน 302 Redirect เป็นการย้าย URL ชั่วคราว เป็นการบอก Google ว่า "หน้านี้แค่ย้ายไปชั่วคราว เดี๋ยวจะกลับมาใช้ URL เดิม" ดังนั้น Google จะยังเก็บข้อมูล URL เก่า ไว้ในดัชนี (Index) และเรามักจะใช้ 302 Redirect ในสถานการณ์เร่งด่วยจริงๆ เช่น

        • หน้าปิดปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์ชั่วคราว (ไม่กี่ชั่วโมง)
        • สินค้าหมดสต็อกชั่วคราว และต้องการส่งคนไปหน้าอื่นแป๊บเดียว
        • การทำ A/B Testing หน้า Landing Page

        2. ออกแบบหน้า 404 Not Found ให้มี CTA

        อีกหนึ่งวิธีที่ใช้จัดการเมื่อเว็บไซต์ขึ้น 404 Not Found คือ การออกแบบหน้า 404 ให้มี CTA (Call to Action) เป็นแนวทางที่เน้นปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าคลิกเข้ามาแล้วเจอทางตัน และยังคงอยู่ภายในเว็บไซต์ต่อได้ เหมาะกับเว็บที่ไม่มีหน้าทดแทน หรือไม่ต้องการทำ Redirect โดยเฉพาะเว็บ E-Commerce ที่มักลบหน้าสินค้าที่หมดสต็อกหรือยกเลิกการขายไปแล้ว การเพิ่ม CTA เช่น ปุ่ม “ดูสินค้าประเภทอื่น” หรือ “กลับไปยังหน้า Category หลัก” จะช่วยพาผู้ใช้งานไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) และยังช่วยรักษา Engagement โดยรวมได้ดียิ่งขึ้นครับ

        ตัวอย่างการออกแบบหน้า 404 พร้อมทำ CTA ของแองก้า (ANGA)

        จากรูป เว็บของแองก้าได้ออกแบบหน้า Error 404 ใหม่ให้สื่อสารได้อย่างชัดเจนและสวยงาม เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีว่าหน้านี้ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป พร้อมเพิ่มปุ่ม “กลับหน้าหลัก” เพื่อพาผู้ใช้กลับไปยังเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนหน้าที่เกิดข้อผิดพลาดให้กลายเป็นโอกาสในการรักษาผู้ใช้งานอย่างมีกลยุทธ์ครับ

        ตัวอย่างการออกแบบหน้า 404 Not Found

        จาก Error สู่โอกาส เพียงแก้ 404 Not Found อย่างมีกลยุทธ์

        หลายคนอาจสงสัยว่า สรุปเราต้องทำ Redirect ทุกหน้าที่เกิด Error 404 หรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้อง Redirect ทุกหน้าก็ได้ครับ ควรทำเฉพาะหน้าที่มีผลกับ SEO โดยตรง หรือมีหน้าทดแทนที่เกี่ยวข้องกับหน้าเดิม ส่วนหน้าที่ไม่จำเป็นสามารถปล่อยให้เป็นหน้า 404 แบบที่มีการออกแบบ UX ดีๆ เพื่อสื่อสารกับผู้ใช้แทนได้เลยครับโดยสรุปแล้ว หน้า 404 Not Found เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นที่เจ้าของเว็บไซต์จะต้องตรวจสอบและแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เว็บไซต์มีหน้าที่ไม่มีคุณภาพ และอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับ SEO ได้เลย วิธีแก้ Error 404 Not Found ข้างต้น จึงเป็นทางเลือกสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์รักษาประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมต่อไปได้ เพื่อให้พวกเขายังอยู่บนเว็บเราแทนที่จะหลุดไปยังเว็บคู่แข่งครับ