
เร่งยอดขายให้ “พุ่ง” ด้วยกลยุทธ์ลับจากการทำ SEO
กว่าลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าในแต่ละครั้ง มักจะใช้ระยะเวลาการตัดสินใจนานนับเดือน หรือผ่านการค้นหาข้อมูลหลาย ๆ ครั้งก่อน โดยเฉพาะกับสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูง ซึ่งในบางครั้งลูกค้าอาจจะมีความสนใจในสินค้าประเภทเดียวกันกับธุรกิจของเราอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเป็นหรือควรค่าแก่การซื้อมาใช้งานมากนัก จึงปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จนกว่าจะถึงจุดที่ลูกค้ามองว่าจำเป็นและถึงค่อยตัดสินใจซื้อ
แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาที่ลูกค้าต้องการและตัดสินใจซื้อสินค้าจากเรา? เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะนานกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี เนื่องจากมันเป็นเรื่องของปัจจัยและความต้องการส่วนบุคคล ด้วยเหตุนี้ โอกาสที่จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย ให้มาเป็นลูกค้าของเราจริง ๆ จึงมีน้อยมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่า… คุณสามารถทำ SEO เพื่อเร่งให้พวกเขา “ตัดสินใจซื้อ” และกลายเป็นลูกค้าของคุณโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวได้
ซึ่งคุณจะต้องทำ SEO ด้วยกลยุทธ์ใด และทำไม SEO ถึงช่วยเร่งความต้องการของพวกเขาได้? สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้เลย ANGA (แองก้า) รวบรวมข้อมูลและพร้อมพาคุณไปเจาะประเด็นสุดฮอตนี้แล้ว!

“แบรนด์จะเติบโตได้อย่างไร” มาทำความเข้าใจก่อนลงมือทำ SEO
แบรนด์จะเติบโตได้จากการมีกลุ่มลูกค้าใหม่ (New Customer) และกลุ่มคนที่มีแนวโน้มในการซื้อสินค้า (Light Buyer) มากขึ้น โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้จะตัดสินใจซื้อได้ก็ต่อเมื่อมีความพร้อมทางด้านจิตใจ (Mental Availability) และมีความสะดวกต่อการซื้อสินค้า (Physical Availability) แล้ว
เพราะเมื่อมีความพร้อมทางด้านจิตใจ (ใจพร้อมซื้อ ใจอยากได้ และมองว่าสิ่งนั้นจำเป็นกับตัวเอง) ก็พร้อมจ่ายเงินซื้อสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการด้วยเช่นกัน และยิ่งคุณวางขายสินค้าบนช่องทางที่มีขั้นตอนการสั่งซื้อที่ง่ายดายด้วยล่ะก็ โอกาสที่จะได้ยอดขายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย และจะยิ่งพุ่งขึ้นไปอีกหากคุณทำ SEO ด้วยกลยุทธ์ “สร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความต้องการ และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ” ที่เราจะมาอธิบายกันไปในหัวข้อถัดไป

การซื้อสินค้าออนไลน์เกิดขึ้นได้อย่างไร?
การซื้อสินค้าออนไลน์เกิดขึ้นจาก 4 ขั้นตอนนี้ คือ การกระตุ้น, การสำรวจ, การประเมิน และการตัดสินใจซื้อ ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับ Mental Availability และ Physical Availability ตามที่เราได้กล่าวไปในก่อนหน้านี้ โดยการจะทำให้ผู้ซื้อมีความพร้อมเหล่านี้ได้ เราก็ต้องทำพวกเขามองเห็นแบรนด์ของเราอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งการทำ SEO เป็นวิธีการที่ตอบโจทย์อย่างมาก เพราะสามารถเพิ่มความต้องการและช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อได้ และความเกี่ยวข้องระหว่างการทำ SEO กับขั้นตอนการซื้อสินค้าออนไลน์จะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันต่อได้เลย
1. การกระตุ้น (Trigger)
พฤติกรรมการซื้อสินค้าจะเริ่มต้นจาก “ความต้องการ” ซึ่งความต้องการนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้น จากปัจจัยภายใน (ความรู้สึก ความโหยหา ความต้องการ) และปัจจัยภายนอก (เห็นโฆษณา เห็นรีวิวสินค้า เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต) จากนั้นคนเราก็จะเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าชิ้นนั้น อาจจะเป็นการค้นหาชื่อสินค้า, แบรนด์ หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของแบรนด์นั้นโดยตรงก็ได้เช่นกัน
ถูกกระตุ้น > เกิดความต้องการ > เริ่มค้นหา
สิ่งที่คุณควรทำมีดังนี้
- สร้างเว็บไซต์ของแบรนด์เพื่อรองรับการค้นหาผ่าน Search Engine หรือ Google
- ปรับปรุงเว็บไซต์ให้ SEO Friendly และทำบทความ SEO ในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- นำเสนอเนื้อหาที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงดูดให้พวกเขามาเป็นลูกค้าของคุณ
จากนั้น เมื่อคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนหน้าการค้นหา (SERP : Search Engine Results Page) ก็จะเกิดการเข้าถึงกลุ่มคนที่มีแนวโน้มในการซื้อสินค้า จึงเกิดเป็นการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) จุดนี้จึงทำให้ Mental Availability ถูกกระตุ้นให้มีความต้องการในตัวสินค้ามากขึ้นนั่นเอง
ติดอันดับ SEO > คนรู้จักแบรนด์ > สนใจและต้องการ
2. การสำรวจ (Exploration)
พอคนเราสนใจในเรื่องอะไรสักเรื่อง ก็จะมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น จึงมีการสำรวจและค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนั้น ซึ่งคนเราจะใช้เวลาในขั้นตอนนี้นานมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับประเภทและมูลค่าของสินค้าเป็นหลัก อย่างการซื้อรถยนต์ ก็จะใช้เวลาในการหาข้อมูลนานกว่าการซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับ เป็นต้น
ในขณะที่ผู้คนค้นหาข้อมูล พวกเขาจะถูกโจมตีด้วยโฆษณาแบบ Retargeting บนทุกแพลตฟอร์ม แน่นอนว่าการยิงโฆษณาเข้าถึงคนได้ง่ายและรวดเร็ว แถมยังระบุเจาะจงได้อีกด้วยว่า ต้องการยิงไปตรงพื้นที่ใดหรือส่งไปยังคนกลุ่มไหน แต่คนส่วนใหญ่ย่อมดูออกและรู้ดีว่านี่คือ โฆษณา จึงไม่ได้รู้สึกจดจำและนำมาใส่ใจ หรือกระตุ้นความต้องการของ Mental Availability ได้มากเท่าไหร่นัก
ในทางกลับกัน ถ้าพวกเขาเห็นแบรนด์ของคุณ เห็นสินค้าของคุณบ่อย ๆ แบบ Organic ด้วยการค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเอง พวกเขาจะรู้สึกอยากจดจำแบรนด์และเชื่อถือในสิ่งที่เห็นทาง Organic มากกว่า และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยกระตุ้น Mental Availability ได้
3. การประเมิน (Evaluation)
หลังจากที่ผู้ซื้อรู้แล้วว่าตัวเองต้องการสินค้าอะไร บางคนอาจจะมีการตัดสินใจแล้วว่า จะเลือกซื้อของแบรนด์ไหน แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่มั่นใจว่าควรซื้อสินค้าจากแบรนด์ใด คนกลุ่มนี้จะเข้าไปสู่ขั้นตอนถัดไป นั่นก็คือการประเมินหรือเปรียบเทียบนั่นเอง
ตัวอย่างพฤติกรรมของกลุ่มผู้ซื้อ หากสินค้าคือ “ฟิลเลอร์”
ฟิลเลอร์เป็นตัวอย่างของสินค้าที่ต้องใช้ระยะเวลาในการเปรียบเทียบนาน เพราะฟิลเลอร์มีราคาสูงและมีเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากเลือกผิดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เรามาดูกันดีกว่าว่าผู้คนที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์เขาจะทำอย่างไรบ้าง?
- ค้นหาข้อมูลใน Google : คลินิกฉีดฟิลเลอร์ 2024 , ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี
- เจอรายชื่อคลินิกที่มีบริการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นมาเพียบ (ทั้ง Organic ทั้ง Google Ads)
- อ่านบทความที่มีการเปรียบเทียบคลินิกฉีดฟิลเลอร์หลาย ๆ แห่ง
- ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกที่สนใจเพิ่มเติม : เข้าไปที่เว็บไซต์คลินิก อ่านคอนเทนต์ ทำความรู้จักแพทย์ ดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ เช็กราคาและโปรโมชัน
- ติดต่อคลินิกที่สนใจ 2-3 แห่ง เพื่อเปรียบเทียบว่าที่ไหนดีที่สุด
- สุดท้ายคนมักจะเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด จากการค้นหาแบบ Organic
SEO ช่วยอะไร?
หากคุณทำคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ สามารถตอบคำถามสิ่งที่คนกลุ่มนี้ต้องการได้ รวมถึงสอดแทรก Unique Selling Points ลงไปในคอนเทนต์ที่คุณทำ คุณก็จะสามารถกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก เพราะ SEO จะทำให้พวกเขาเห็นแบรนด์ของคุณง่ายขึ้น ส่วนคอนเทนต์ที่ดีจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์คุณ
4. การตัดสินใจซื้อ (Purchase)
จาก 3 ขั้นตอนที่ผ่านมา ไม่ได้การันตีว่าผู้คนจะจ่ายเงินซื้อสินค้าจริง ๆ เพราะถ้าทุกอย่างพร้อม แต่ดันไม่มีช่องทางการสั่งซื้อที่ง่ายและสะดวก พวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนใจไปซื้อแบรนด์อื่น ๆ แทนได้ ดังนั้น Physical Availability จึงได้เข้ามามีในบทบาทตรงนี้ เพื่อให้พวกเขาพร้อมและตัดสินใจซื้อสินค้าได้ทันที
สิ่งที่คุณควรทำคืออะไร?
- สร้างเส้นทางให้ลูกค้าเดินไปที่ร้านค้าง่าย ๆ : มีหน้าสินค้าที่สามารถกดใส่ตะกร้าและจ่ายเงินซื้อได้ทันที, วางลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้าให้เห็นง่าย ๆ , ลงขายสินค้าในแพลตฟอร์ม e-Commerce ฯลฯ
- สร้างระบบการซื้อสินค้าที่ทำได้ง่ายและสะดวกที่สุด : วางเมนูสินค้าไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย ๆ , มีระบบการสั่งซื้อไม่ซับซ้อน, มีการติดตั้งช่องทางการชำระเงินที่ปลอดภัย ฯลฯ
SEO VS Paid Search เลือกอะไรดี?

การยิงโฆษณา (Paid Search) มักจะมีการวัดผลด้วย ROI หรือ ROAS ซึ่งจะวัดผลได้ในระยะสั้นหรือระยะยาว ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินและระยะเวลาที่คุณโฆษณาไป (หยุดจ่ายเงินเมื่อไหร่ หยุดแสดงผลเมื่อนั้น) ในขณะที่การทำ SEO มีการวัดผลด้วยประสิทธิภาพการเติบโตของแบรนด์ เน้นการเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
ถ้าถามว่าระหว่าง SEO กับโฆษณาควรเลือกอะไรดี? แนะนำให้ทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดและผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น อาจจะเริ่มจากการทำเว็บไซต์และ SEO ก่อน จากนั้นค่อยไปยิงโฆษณาก็ได้
บทสรุป
เราจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้ซื้อมีการใช้เครื่องมือการค้นหาอย่าง Google ในการสืบค้นข้อมูลในด้านต่าง ๆ ซึ่งการทำ SEO เพื่อรองรับการค้นหาของกลุ่มคนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง จากเหตุผลด้านการกระตุ้นความต้องการและการตัดสินใจที่เราได้อธิบายไป
สุดท้ายนี้ หากคุณไม่ลงทุนกับการทำ SEO คุณจะเสียโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ (New Customer) และกลุ่มคนที่มีแนวโน้มในการซื้อสินค้า (Light Buyer) จำนวนมหาศาล และยังเสียเปรียบแบรนด์คู่แข่งที่มีการทำ SEO อีกด้วย จะปล่อยให้คู่แข่งแซงหน้าคุณต่อไป หรือคุณจะเป็นฝ่ายเติบโตและแซงหน้าพวกเขาเหล่านั้น? คุณเป็นคนเลือกเอง!
หากคุณต้องการที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์และ SEO “แองก้า” ดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และยิงโฆษณาบนทุกแพลตฟอร์ม ยินดีให้คำปรึกษาและพร้อมวางกลยุทธ์อันแยบยลให้แก่ธุรกิจของคุณ เริ่มสร้างโอกาสและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้แล้ววันนี้ ติดต่อเรามาได้ที่ @ANGA (LINE OA) หรือโทร 080-054-9199
ขอบคุณข้อมูลจาก Search Engine Land
บทความที่เกี่ยวข้อง

TikTok Seller คืออะไร ช่องทางสร้างรายได้ ขยายธุรกิจให้เติบโต
