ตั้งแต่หน้าผลการค้นหาของ Google เพิ่มส่วนที่เป็น AI Overview ทำให้นักการตลาดและเจ้าของเว็บหลายคนเป็นกังวลว่าพื้นที่ตรงนี้ จะส่งผลกระทบต่อ Traffic ของเว็บไซต์หรือไม่? คำตอบคือ ส่งผลแน่นอนครับ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลจนเกินไป ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติของการทำการตลาดออนไลน์ที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บังคับให้เราต้องกลับไปให้ความสำคัญกับการทำ SEO แบบดั้งเดิมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมกับวางกลยุทธ์ใหม่เพื่อให้รองรับยุค AI Search โดยเฉพาะ 

เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? เพราะมันจะส่งผลให้ ต่อให้หน้าเว็บจะยังไม่ติดหน้าแรก Google แต่ AI ก็อาจหยิบเนื้อหาของคุณขึ้นไปอยู่เหนืออันดับ 1 ได้นั่นเอง

Ahrefs พบว่าเว็บไซต์กว่า 23.9% ไม่ได้ติดหน้าแรก แต่กลับติด AI Overview

หลายคนอาจจะยังไม่เชื่อว่า เว็บที่ไม่ได้ติดหน้าแรก Google จะมีโอกาสไปแสดงผลบน AI Overview ได้ยังไง? แต่ข้อมูลล่าสุดจาก Ahrefs ซึ่งเป็นเครื่องมือ SEO ระดับโลก ได้ทำการศึกษาและยืนยันแล้วว่ามันเป็นไปได้ Ahrefs ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกเอาไปอ้างอิงถึง 1.9 ล้านครั้ง จาก AI Overviews 1 ล้านรายการ โดยวิเคราะห์จาก 3 แหล่งอ้างอิงที่แสดงผลชัดเจนที่สุดในแต่ละคำตอบ พบว่า

  • 76.10% ของหน้าที่ถูกอ้างอิงใน AI Overview อยู่ในอันดับ Top 10
  • 9.50% อยู่ในอันดับ 11–100
  • 14.40% ไม่ได้อยู่ใน SERP เลย (อยู่อันดับ >100)

จะเห็นว่า แม้ส่วนใหญ่จะยังมาจากเว็บที่ติดอันดับสูงๆ แต่เมื่อรวมตัวเลข 2 กลุ่มหลังเข้าด้วยกัน จะพบว่ามีถึง 23.9% หรือเกือบ 1 ใน 4 ของเนื้อหาที่ติด AI Overview มาจากเว็บไซต์ที่ไม่ได้อยู่ในหน้าแรกของ Google เลยด้วยซ้ำ

คุณธีรวัชร เกียรติธีราภิวัฒน์ - SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า 

“ชัดเจนมากว่า AI Overview ไม่ได้มองแค่เรื่องอันดับเป็นปัจจัยหลักในการติด AI Overview เพียงอย่างเดียว แต่ AI กำลังมองหาคำตอบที่ดีและตรงประเด็นที่สุด ไม่ว่าคำตอบนั้นจะมาจากเว็บไซต์อันดับที่เท่าไหร่ก็ตาม ซึ่งทีมทำ SEO ของเราก็เน้นเรื่องคุณภาพมาโดยตลอด เพื่อให้เว็บไซต์ของทุกธุรกิจรวมถึงเว็บไซต์ของ ANGA เอง เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในทุกการเปลี่ยนแปลงบนโลกออนไลน์ครับ”

บทความของแองก้าติด AI Overview ได้ยังไง? ทั้งที่ยังไม่ติดหน้าแรก

และนี่ก็เป็นเคสที่เกิดขึ้นจริงกับบทความ  10 วิธีสอนทำ SEO เว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google อัปเดต 2025 ของแองก้า ซึ่งเป็นบทความเก่าที่ติดอันดับหน้าแรกๆ ของ Google แต่ก็ยังไม่ติด AI Overview สักที แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลหลังบ้าน ทีม SEO ของเราพบว่า บทความนี้ยังมีคนค้นหาอยู่เรื่อยๆ จึงตัดสินใจปรับปรุงเนื้อหาใหม่ (Content Optimization) หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ บทความก็ถูกดึงไปแสดงผลบน AI Overview เมื่อเสิร์ชคำว่า “ทำ seo” ทั้งๆ ที่อันดับแบบ Organic ยังไม่ติดหน้าแรก หรือมี Average Position อยู่ที่ประมาณอันดับ 27.6 เลยครับ

บทความ ANGA แองก้าติด AI Overview
Average Position บทความที่ติด AI Overview

มาดูกันว่าสิ่งที่ทีม SEO ของเราปรับปรุงไปมีอะไรบ้าง? ส่งผลต่อ AI ในการดึงข้อมูลยังไง?

1. ปรับโครงสร้างเนื้อหาใหม่

ทำการจัดลำดับหัวข้อ H2, H3 ตามลำดับความสำคัญของเนื้อหา เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจภาพรวมได้ทันที รู้ว่าบทความนี้กำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร และยังเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่พวกเขาสนใจได้ง่ายขึ้นด้วย

ในมุมมองของ AI: โครงสร้างหัวข้อ HTML Header Tags (H1, H2, H3…) ที่ดี ช่วยให้ AI เข้าใจลำดับความสำคัญของข้อมูลในบทความได้อย่างรวดเร็ว AI จะรู้ทันทีว่า หัวข้อนี้คือประเด็นหลัก และหัวข้อนี้คือประเด็นย่อยที่ขยายความ เมื่อผู้ใช้ถามคำถามที่เฉพาะเจาะจง AI ก็จะวิ่งตรงไปยังหัวข้อที่เกี่ยวข้อง และดึงเฉพาะข้อมูลส่วนนั้นไปตอบได้ทันทีอย่างแม่นยำ ไม่ต้องเสียเวลาประมวลผลทั้งบทความ

2. เพิ่มเนื้อหาให้ครอบคลุม 

มีการขยายความแต่ละหัวข้อ พร้อมตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO ที่คนน่าจะอยากรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าบทความนี้มีข้อมูลครบถ้วน ไม่ต้องเสียเวลาเปิดเว็บอื่นเพื่อหาข้อมูลอีก และใช้เวลาอยู่บนเว็บของเรานานขึ้น ส่งผลดีต่อการทำ SEO เป็นอย่างมาก

ในมุมมองของ AI: เป้าหมายหลักของ AI Overview คือการให้คำตอบที่สมบูรณ์และดีที่สุดในครั้งเดียว การที่บทความของเราครอบคลุมทุกประเด็นเกี่ยวกับหัวข้อหลัก เว็บเราก็จะกลายเป็นแหล่งข้อมูลคุณภาพสูง (High-Quality Source) ในสายตาของ AI

3. อัปเดตข้อมูลให้สดใหม่

มีการอัปเดตวิธีการทำ SEO ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการในปัจจุบัน พร้อมยกตัวอย่างการทำงานล่าสุด เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย และได้ประโยชน์จริงๆ

ในมุมมองของ AI: AI ถูกตั้งโปรแกรมมาให้ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง และความเป็นปัจจุบันของข้อมูลด้วย โดยเฉพาะในหัวข้อที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อย่างเทคโนโลยี, การเงิน, การตลาด หรือสุขภาพ การที่บทความของเรามีข้อมูลล่าสุด เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้ AI รู้ว่า เนื้อหานี้ยังคงมีการอัปเดตและเชื่อถือได้อยู่

4. ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายขึ้น

มีการปรับสำนวนการเขียนให้เหมือนการพูดคุย ใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่ต้องตีความเยอะ แต่ยังคงอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาที่มีสาระจริงๆ และรู้สึกเหมือนมีผู้เชี่ยวชาญมาอธิบายให้ฟัง

ในมุมมองของ AI: ต้องเข้าใจว่า AI ถูกฝึกฝนมาจากข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจำนวนมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาธรรมชาติที่คนใช้สื่อสารกันจริงๆ เมื่อเราเขียนบทความด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน จึงเหมือนกับการป้อนข้อมูลในรูปแบบที่มันคุ้นเคยและประมวลผลได้ดีที่สุด ทำให้ AI นำไปเรียบเรียงเป็นคำตอบสรุปได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วนั่นเองครับ

สรุปง่ายๆ ก็คือ การปรับปรุงเนื้อหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่การทำให้คนชอบ แต่ต้องจัดระเบียบข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ AI สามารถเข้ามาทำความเข้าใจและหยิบไปใช้งานได้ทันทีด้วยครับ

กลยุทธ์ที่ทำให้ติด AI Overview แม้บทความนั้นจะยังไม่ติดหน้าแรก Google

กลยุทธ์ทำบทความติด AI Overview

หลายคนอาจสงสัยว่า "แล้วทำไม Google ถึงเลือกอ้างอิงเว็บที่ยังไม่ติดหน้าแรกใน AI Overview ได้ล่ะ?" นึกภาพตามนะครับ AI ทำหน้าที่สรุปคำตอบที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดบน AI Overview มันจึงไล่ดูข้อมูลจากทุกอันดับ ซึ่งแน่นอนว่า เว็บที่อยู่อันดับต้นๆ ก็อาจจะผ่านตา AI ก่อน แต่ถ้ายังไม่ถูกใจ มันก็จะพยายามไล่หาจากอันดับต่อๆ ไปที่ให้ข้อมูลตรงประเด็นและน่าเชื่อถือที่สุด ANGA (แองก้า) จึงได้สรุปกลยุทธ์หลักๆ ที่ทำให้ติด AI Overview ได้ แม้บทความนั้นจะยังไม่ติดหน้าแรก Google เลยก็ตาม

1. SEO คือรากฐานของการติด AI Overview

ใครที่คิดว่า SEO จะตายมั้ย? บอกเลยว่า SEO ยังไม่ตายครับ แต่ AI Overview เข้ามายกระดับการทำ SEO ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก การทำ SEO ยังคงเป็นพื้นฐานที่จำเป็นและขาดไม่ได้ เพื่อให้ AI เข้ามาสำรวจ เก็บข้อมูล และทำความเข้าใจเนื้อหาของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากวางรากฐานไม่ดี AI ก็อาจมองข้ามเว็บเราไป โดยองค์ประกอบหลักๆ ที่ต้องให้ความสำคัญเลยก็คือ

  • Technical SEO: เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว (Page Speed), รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-Friendly), และมีโครงสร้างที่ Google Bot เข้าใจง่าย (Crawlability) ถ้า AI เข้าเว็บคุณไม่ได้ หรือเข้ามาแล้วแต่งงโครงสร้างเว็บไปหมด มันก็อาจไม่เลือกข้อมูลจากเว็บเราไปเป็นคำตอบ
  • On-Page SEO: การใช้ Title Tag, Meta Description, และลำดับหัวข้อ (H1, H2, H3) ที่ถูกต้อง ยังคงสำคัญสุดๆ เพราะมันคือป้ายบอกทางให้ AI รู้ว่าเนื้อหาแต่ละส่วนของคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง
  • E-E-A-T: ต้องสร้างเนื้อหาตามหลักการ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) อย่างจริงจัง บอกให้ชัดว่าใครคือผู้เขียน (Author Bio), อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้, และแสดงให้เห็นว่าคุณคือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ โดยการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่หาอ่านจากที่อื่นไม่ได้ เพราะ AI ถูกสอนมาให้เลือกคำตอบจากแหล่งที่น่าเชื่อถือที่สุด
  • Backlinks: เหมือนเป็นการที่เว็บอื่นโหวตให้คะแนนความน่าเชื่อถือกับเว็บเรา ยิ่งได้ลิงก์จากเว็บใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียง ก็เหมือนมีผู้เชี่ยวชาญมาการันตีคุณภาพให้ และการมี Backlink คุณภาพยังเป็นการบอก AI ว่า ข้อมูลจากเว็บไซต์เราเชื่อถือได้นะ ทำให้มีโอกาสถูกเลือกไปแสดงผลมากขึ้นครับ

2. เนื้อหาคุณภาพ คือหัวใจสำคัญของการติด AI Overview

เมื่อวางรากฐาน SEO เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่จะชี้วัดผลลัพธ์เลยก็คือ คุณภาพของเนื้อหา ต้องย้ำเสมอว่าเป้าหมายของ AI Overview คือการค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ ไม่ใช่แค่การแสดงแค่เว็บไซต์ที่อันดับดีที่สุด ซึ่ง AI จะประเมินเนื้อหาของเราโดยตรง ทั้งความถูกต้อง ความชัดเจน และความครอบคลุม หากเนื้อหาเราตอบคำถามได้ไม่ดีพอ AI ก็จะข้ามไปเลือกแหล่งข้อมูลที่สมบูรณ์กว่าทันทีครับ 

  • ใส่ข้อมูลอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: การลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลที่เป็น Official หรือผลการศึกษาต่างๆ จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้เนื้อหาของคุณดูน่าเชื่อถือขึ้นได้
  • เพิ่มมุมมองและประสบการณ์ส่วนตัว: อย่าแค่สรุปข้อมูลจากที่อื่น แต่ให้ใส่ Insight หรือความคิดเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญลงไป นี่คือสิ่งที่ทำให้เนื้อหาของคุณมีคุณค่า แตกต่าง และโดดเด่นจากคู่แข่ง
  • เขียนให้ตอบคำถามของผู้ใช้โดยตรง: เมื่อเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการจะรู้เรื่องอะไร ให้เขียนคำตอบที่ชัดเจน กระชับ และตรงประเด็นที่สุด แล้วค่อยอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมตามมา
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย แต่ยังมีความน่าเชื่อถือ: หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อนเกินไป เขียนเหมือนกำลังอธิบายให้เพื่อนฟัง แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องด้วย
  • ใช้โครงสร้างเนื้อหาที่ชัดเจน: จัดระเบียบเนื้อหาด้วยหัวข้อหลัก, หัวข้อย่อย, Bullet Point, หรือตาราง จะช่วยให้ทั้งคนและ AI อ่านและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นอย่างมาก และอย่าลืมใส่ Schema Markup ที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น

สรุปอีกครั้งว่า เนื้อหาที่ตรงจุด ชนะเนื้อหาที่ยาวเสมอ ในยุค AI Search การเขียนบทความยาว 3,000 คำที่เต็มไปด้วยน้ำ อาจไม่ทรงพลังเท่าบทความ 800 คำที่อัดแน่นไปด้วย Insight มีการตอบคำถามได้ตรงใจทั้งคนและ AI ครับ

3. ใช้เทคนิค Query fan-out เพื่อเข้าใจผู้ใช้งาน

Query fan-out คือ กระบวนการที่ AI นำคำค้นหาที่ผู้ใช้พิมพ์เป็นประโยคยาวๆ ไปแยกเป็นคำค้นหาสั้นๆ ที่น่าจะครอบคลุมทุกประเด็นที่ผู้ใช้งานคนนี้อยากรู้ เพื่อที่ AI จะได้สร้างคำตอบที่ครอบคลุมทุกมิติมาให้ผู้ใช้ได้อ่านทีเดียวบน AI Overview ถือเป็นกระบวนการทำความเข้าใจเจตนาการค้นหา หรือ Search Intent อย่างลึกซึ้ง

ตัวอย่าง สมมติว่า Keyword หลักของเราคือ "วิธีลดหย่อนภาษี"

  • คำถามหลัก (Main Query): ค่าลดหย่อนภาษีมีอะไรบ้าง?
  • คำถามต่อยอด (Sub-queries):
    • กองทุนรวม LTF/RMF ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่?
    • ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้ไหม?
    • พ่อแม่ลดหย่อนภาษีต้องมีเงื่อนไขอะไร?
    • บริจาคลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่ามีที่ไหนบ้าง?
    • วิธียื่นภาษีออนไลน์ทำยังไง?

เทคนิคนี้จะนำมาใช้ในขั้นตอนการวาง Outline บทความว่าเรื่องนี้เราจะเขียนเกี่ยวกับหัวข้ออะไรบ้าง แทนที่เราจะเขียนแค่เรื่องหลัก เราจะนำ Sub-queries เหล่านั้นมาสร้างเป็นหัวข้อย่อยในบทความของเรา ทำให้บทความเดียวกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่สมบูรณ์แบบที่ AI ชอบ เพราะสามารถดึงข้อมูลจากบทความเราไปตอบคำถามที่หลากหลายของผู้ใช้ได้ทันที

4. อย่าลืมนำบทความเก่า มาอัปเดตให้เป็นปัจจุบัน

อย่ามองข้ามบทความเก่าๆ ที่เคยเผยแพร่ไปแล้ว เพราะคุณอาจจะได้เห็นผลลัพธ์เหมือนที่ทีม SEO ของแองก้าได้ทำไปข้างต้นครับ การนำบทความเก่ามาอัปเดตใหม่เป็นการส่งสัญญาณบอก Google ว่า บทความนี้ยังไม่ตายนะ ยังมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเป็นประโยชน์อยู่ ซึ่งวิธีการ Optimize บทความเก่าหลักๆ คือ

  • ปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับเทรนด์ใหม่: ตรวจสอบว่ามีข้อมูลอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เช่น วิธีการใหม่, กฎหมายใหม่, เทคโนโลยีใหม่ หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
  • เพิ่มสถิติ / ตัวเลขล่าสุด: หากบทความมีการอ้างอิงตัวเลข ให้เปลี่ยนเป็นข้อมูลของปีล่าสุดเสมอ
  • ใส่คำถามแบบ Conversational: เพิ่มหัวข้อที่ขึ้นต้นด้วย What, When, Where, Why, How เข้าไปในบทความ เพราะนี่คือรูปแบบคำถามที่คนนิยมใช้ค้นหาและพิมพ์ถาม AI โดยตรง
  • อัปเดตโครงสร้าง HTML, Meta, Schema: ตรวจสอบ Title, Description, และ Schema Markup ว่ายังทันสมัยและสื่อสารได้ดีที่สุดหรือไม่ รวมถึงเช็ก Broken Link (ลิงก์เสีย) และแก้ไขให้เรียบร้อย

หากทำตามกลยุทธ์ข้างต้น จะติด AI Overview เลยมั้ย?

ไม่สามารถยืนยันได้ 100% ครับ แต่มีโอกาสติด AI Overview มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ต้องเข้าใจก่อนว่าการที่ AI จะเลือกเว็บไหนขึ้นไปแสดงผลนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เราควบคุมได้อย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เราอาจควบคุมไม่ได้มาเกี่ยวข้อง เช่น ความสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ในอดีต หรือแม้กระทั่ง Prompt ก่อนหน้าที่ผู้ใช้เคยพิมพ์ถามไป ซึ่ง AI อาจนำมาพิจารณาเลือกคำตอบถัดไปได้ แต่การทำตามกลยุทธ์ทั้งหมดที่เรากล่าวมา คือการเตรียมความพร้อมให้เว็บไซต์ของเรามีคุณสมบัติครบถ้วนที่สุด เพื่อให้ AI พิจารณาเลือกเราเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งในบริการรับทำ AI Search ของแองก้าเอง ก็ได้มีการใช้กลยุทธ์เหล่านี้อย่างเข้มข้นเหมือนกันครับ

AI Overview เปิดโอกาสให้กับเว็บที่มุ่งสร้างคุณค่าให้กับเนื้อหา

“AI Overview อาจดึงบทความคุณขึ้นเหนืออันดับ 1 ถ้าเนื้อหาดีพอ”

การมาของ AI Search กำลังบังคับให้คนทำ SEO กลับไปให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้ใช้งาน แทนที่จะมุ่งเน้นแต่การไล่ล่าอันดับบนหน้าแรกเหมือนเมื่อก่อน หากถามว่า แล้วถ้าทำตามกลยุทธ์ข้างต้น จะทำให้ติด AI Overview เลยมั้ย? คำตอบคือ ไม่สามารถยืนยันได้ 100% ครับ แต่มีโอกาสติด AI Overview มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน นอกจากกลยุทธ์ข้างต้น แองก้ายังได้สรุป 6 ปัจจัยที่มีผลต่อ AI Search หรือเรียกว่า SOURCE CODE เอาไว้อย่างเข้มข้นในงาน MKTCON 2025 ด้วยครับ

ดังนั้น การวางรากฐาน SEO แบบดั้งเดิมให้แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจหลักการทำงานของ AI Search Engine โดยเฉพาะ AI Overview ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ที่ทุกธุรกิจกำลังแย่งชิงกันอย่างดุเดือด นี่จึงเป็นโอกาสของเว็บไซต์ขนาดเล็ก ในการใช้เนื้อหาคุณภาพเป็นอาวุธสำคัญในการแข่งขันกับเว็บอื่นๆ ในตลาดได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน