Gemini คืออะไร? AI จาก Google ที่มาพร้อมคุณสมบัติสุดล้ำ
เราเชื่อว่าในปี 2024 นี้ ทุกคนคงจะรู้จักเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) กันหมดแล้ว โดยเฉพาะกับคนที่ทำงานหรือติดตามข่าวสารด้านการตลาดออนไลน์ เพราะ AI จัดได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตการทำงานของมนุษย์สะดวกและรวดเร็วขึ้น แถมยังมีประสิทธิภาพมาก ๆ อีกด้วย ในวันนี้ทางแองก้า (ANGA) จะมาคุณมาทำความรู้จัก AI ที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ นั่นก็คือ “Gemini AI” หรือ “Google Gemini” นั่นเอง
สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักและใช้งาน Gemini AI มาก่อน เราขอบอกเลยว่าหลังจากที่คุณทราบว่า Gemini คืออะไรและ Gemini สามารถทำอะไรได้บ้างแล้วนั้น รับรองว่าคุณจะต้องตื่นตาตื่นใจและอยากรีบไปทดลองใช้เร็ว ๆ อย่างแน่นอน! เอาล่ะ ถึงเวลาทำความรู้จักกับ Gemini AI ให้มากขึ้นแล้ว ไปเรียนรู้กันว่า Google Gemini คืออะไร และวิธีใช้ Gemini ง่ายจริงไหม?
Gemini คืออะไร
Gemini คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ ChatGPT จากค่าย OpenAI นั่นเอง โดย Google Gemini คือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ถูกต่อยอดมาจาก LaMDA และ PaLM 2
Google Gemini มีความสามารถโดดเด่นในด้านของการตอบคำถามแก่ผู้ใช้งานอย่างครอบคลุม สามารถแปลภาษาและสร้างเนื้อหาในหลากหลายรูปแบบได้ และพิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือคุณสามารถใช้ Gemini AI ในการเขียนโค้ดแทนได้ เพียงแค่ป้อนชุดคําสั่ง (Prompt) ลงไปอย่างละเอียด จากนั้น Gemini ก็จะมอบคำตอบที่คุณต้องการให้อย่างครบถ้วนและตรงประเด็น
ก่อนหน้านี้ Gemini ยังไม่ถูกแยกออกมาจากโมเดลตัวอื่น ๆ จึงเป็นโมเดลที่อยู่ภายใต้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) รุ่นเก่า ๆ อย่าง Meena, LaMDA, PaLM, Flamingo หรือ Bard ที่คุณคงจะเคยผ่านหูผ่านตามาแล้ว ต่อมาในช่วงต้นปี 2024 ทาง Google ได้ตัดสินใจแยกโมเดลออกจากกัน เพราะต้องการพัฒนาความสามารถของโมเดลแต่ละตัวให้เหนือชั้นขึ้น รวมทั้งยังต้องการความชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานด้วย ซึ่ง Gemini ถูกยกย่องว่าเป็น AI ที่ดีที่สุดและโดดเด่นที่สุด เนื่องจากความสามารถของ Gemini ครอบคลุมความสามารถของโมเดลตัวอื่น ๆ ทั้งหมดจาก Google
Gemini แบ่งเวอร์ชันการใช้งานออกเป็น 3 ระดับ
- Gemini Nano : เป็นเวอร์ชันการใช้งานที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป อาทิ ตอบคำถาม แปลภาษา สรุปเนื้อหา ตรวจไวยากรณ์ หรือเขียนบทความสั้น ๆ สำหรับอุปกรณ์ที่มีการประมวลผลจำกัดอย่างสมาร์ตโฟน
- Gemini Pro : เวอร์ชันที่มีความสามารถเหนือกว่า Gemini Nano อีกระดับ เพราะสามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายและรับคำสั่งที่ซับซ้อนได้ อย่างการใช้ในการเขียนบทความยาว ๆ , การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการเขียนโค้ด เป็นต้น
- Gemini Ultra : เวอร์ชันที่ดีที่สุดจาก Gemini AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากและข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการใช้กับงานเฉพาะทางหรืองานวิจัย
วิธีใช้ Gemini เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
คุณสามารถใช้งาน Gemini ได้ง่าย ๆ ด้วยการเข้าไปที่ https://gemini.google.com จากนั้นให้กด Sign in และใช้ Gmail ในการเข้าสู่ระบบ แล้วคุณก็จะพบกับหน้าแช็ตที่มีข้อความต้อนรับว่า “Hello. How can I help you today?” ถ้าคุณพร้อมที่จะใช้งานแล้ว ก็ป้อนคำสั่งลงไปได้เลย!
ค้นหาและสรุปข้อมูลจากโลกออนไลน์
วิธีใช้ Gemini ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คงไม่พ้นการหาข้อมูลและสรุปข้อมูลจากโลกออนไลน์ โดย Gemini AI จะใช้ข้อมูลที่อยู่บน Google Search ซึ่งหมายความว่าข้อมูลทุกอย่างที่อยู่บนทุกเว็บไซต์ที่ปรากฏขึ้นบน Google จะถูกนำมาวิเคราะห์และประมวลผลออกมาเป็นคำตอบให้กับคุณในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณต้องหาข้อมูลด้วยตัวเอง เข้าไปดูข้อมูลจากหลายสิบเว็บไซต์แล้วเอามาวิเคราะห์หรือเรียบเรียงออกมา ต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหนถึงจะได้คำตอบที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ เราจึงจะพบว่าการใช้ Gemini AI ในการช่วยค้นหาข้อมูล สามารถช่วยลดระยะเวลาการทำงานได้จริง
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าเนื้อหาที่เป็นภาษาต่างประเทศที่คุณเขียนขึ้นมานั้นมีรูปประโยคที่ถูกต้องหรือไม่ รวมถึงกรณีที่คุณไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คุณเขียนขึ้นมามันคือเรื่องจริงหรือเปล่า คุณสามารถใช้ Gemini AI ช่วยตรวจสอบตัวสะกด รูปประโยค และความถูกต้องของข้อมูลได้ เพราะ Gemini AI เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่มีการดึงข้อมูลมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และยังมีการตรวจสอบข้อมูลจากเครื่องมือค้นหาข้อเท็จจริงอย่าง PolitiFact, FactCheck.org และอื่น ๆ ด้วย
ใช้ทำงานร่วมกับ Google Workspace
คุณสามารถใช้งาน Gemini AI ร่วมกับ Google Workspace (Gmail, Slides, Docs, Sheets, Drive, Meet ฯลฯ) เพื่อเสริมประสิทธิภาพของกันและกันได้อย่างลงตัว เช่น การใช้ Gemini ช่วยตอบอีเมลบน Gmail, การใช้ Gemini สรุปเนื้อหาบน Docs, การใช้ Gemini แปลภาษาแบบเรียลไทม์ ตอนใช้ Google Meet เป็นต้น
แต่การทำงานร่วมกันนี้ รองรับเฉพาะผู้ใช้งาน Google Workspace เวอร์ชัน Business Standard หรือ Enterprise Plus ขึ้นไปเท่านั้น วิธีใช้ Gemini บน Google Workspace คือการพิมพ์ “@Gemini” ตามด้วยคำสั่งที่ต้องการ เช่น “@Gemini แปลข้อมูลนี้เป็นภาษาไทย” เป็นต้น
เขียนบทความ เขียนโค้ด แปลภาษา
Google Gemini มีความสามารถโดดเด่นในด้านของภาษาอย่างมาก สามารถรองรับการใช้งานได้มากกว่า 40 ภาษา อาทิ ไทย, อังกฤษ, โครเอเชีย, เยอรมัน, อาหรับ, ฮังการี, โปรแลนด์ ฯลฯ นอกจากจะตอบโจทย์กับการแปลภาษาได้แล้ว ยังสามารถเรียบเรียงเนื้อหาได้ดี เขียนบทความได้หลากหลายรูปแบบ และใช้ในการเขียนโค้ด (Python, JavaScript, Go, Java, C++, SQL ฯลฯ) ได้อีกด้วย
ช่วยค้นหาไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงาน
ใครที่ทำงานสายครีเอทีฟอย่าง Content Creator, Copywriter, Content Writer หรือ Video Content Creator อาจจะเคยพบปัญหาไอเดียตัน! รู้ว่าต้องทำคอนเทนต์เกี่ยวกับอะไร แต่คิดไม่ออกว่าจะทำเป็นหัวข้ออะไร หรือมีครีเอทีฟแบบไหน ลองใช้ Google Gemini ช่วยคิดค้นไอเดียใหม่ ๆ ที่แตกแยกย่อยไปจากไอเดียหลักของคุณสิ รับรองว่าสดใหม่และแตกต่างจากเดิมแน่นอน
เปิดมุมมองการใช้งาน Gemini AI จากนักการตลาดตัวจริง
ในฐานะที่แองก้าเป็นดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดออนไลน์ เราจึงจะพาคุณไปเปิดมุมมองการใช้งาน Gemini จากนักการตลาดตัวจริง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงโฆษณาออนไลน์และ SEO
Tanin Chulasub | Head of Performance Marketing
“ปกติแล้วพวกเราก็มีใช้ Gemini AI ทำงานอยู่บ้างครับ ให้ Gemini ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของภาษาหรือแตกไอเดียใหม่ ๆ จากความคิดเรา คือเรารู้กันอยู่แล้วแหละครับว่า AI ช่วยเรื่องไอเดียได้ แต่เราจะไม่ใช้เป็นตัวคิดไอเดียไปเลย เพราะสุดท้ายแล้ว AI ก็ไม่ได้รู้จักตัว Business ของลูกค้าดีกว่าเรา ผมเลยมองว่าการที่เราคิดไอเดียขึ้นมา แล้วให้ AI ช่วยขยายต่อให้เป็นเรื่องที่ดีกว่า”
Piyawat Supsindumrong | Senior SEO Specialist
“Gemini ช่วยได้เยอะเลยนะครับ ทั้งด้านการ Planning ทั้ง Strategy การเขียนคอนเทนต์ หรือการเช็กความถูกต้องและปัญหาต่าง ๆ ช่วยลดเวลาทำงานไปได้เยอะเลยครับ แต่ก็มีสิ่งที่ Gemini ทำแล้วไม่เวิร์กเหมือนกันครับ คือการเอาไปใช้ Audit Ranking แก้ปัญหาเรื่องอันดับตก เพราะ Gemini ให้คำตอบในเชิงลึกไม่ได้ แล้วก็เรื่องการเขียนคอนเทนต์ คือเราดู Outline ได้นะครับ แต่ไม่ควรก๊อบปี้เนื้อหาจาก Gemini มาทำเป็นบทความ เพราะมันเสี่ยงที่จะซ้ำกับคนอื่นได้ และไม่เป็นประโยชน์กับคนอ่านครับ”
Gemini มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
Gemini คือ AI ที่ยังอยู่ในช่วงพัฒนาอยู่ ดังนั้นจึงมีข้อจำกัดอยู่บ้างในบางประการ ได้แก่
- ข้อมูลที่นำมาตอบคำถามผู้ใช้งาน มีทั้งถูกและผิด เนื่องจาก Gemini มีการเอาข้อมูลมาจาก Google Search ที่มีข้อมูลอยู่จำนวนมาก จากหลาย ๆ เว็บไซต์ ดังนั้น จึงแนะนำให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลก่อนเผยแพร่
- ยังไม่รองรับการอ่านข้อมูลจากไฟล์วิดีโอ PDF หรือไฟล์อื่น ๆ นอกจากไฟล์ภาพ
- Gemini ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทของประโยคสนทนาได้ ซึ่งรวมถึงธรรมชาติของการพูดคุยกันมนุษย์ในหลาย ๆ ภาษาด้วย ทำให้บางครั้งก็ให้คำตอบที่ไม่ได้ตรงกับคำถาม หรือไม่ก็ไม่สามารถตอบคำถามได้
- Gemini AI จะทำงานตามที่ได้ถูกตั้งค่ามาเท่านั้น จึงมีข้อจำกัดในด้านของการใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่เยอะ
บทสรุปเรื่อง Gemini AI
จบไปแล้วกับบทความเรื่อง “Gemini คืออะไร” ต้องบอกว่า ณ ตอนนี้ Google Gemini คือ AI ตัวท็อปที่มีผู้ใช้งานมหาศาลและยังเป็นที่ยอมรับเรื่องความสามารถที่โดดเด่น แต่บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็มีการพัฒนาและเปิดตัว AI ใหม่ ๆ มาอย่างต่อเนื่อง บางโมเดลก็มีความสามารถมากกว่า Gemini ในหลาย ๆ ด้าน แล้วทีนี้อนาคตของ Gemini จะเป็นอย่างไร? คงต้องจับตามองดูกันต่อไป ว่าเวอร์ชันใหม่ของ Gemini AI ที่กำลังจะเผยออกมาในอนาคตจะมีอะไรใหม่ ๆ บ้าง และถูกพัฒนาให้ดีขึ้นในด้านใด เมื่อถึงตอนนั้นเราค่อยมาเปรียบเทียบกันว่า Gemini สามารถสู้ AI ตัวอื่นได้หรือไม่