หลายคนต้องเคยเสิร์ช “ร้านอาหารใกล้ฉัน” หรือ “แนะนำร้านกาแฟสุขุมวิท” กันมาบ้าง ในมุมของเจ้าของธุรกิจหากร้านหรือเว็บไซต์เราไม่ปรากฏขึ้นมา เท่ากับว่าคุณกำลังเสียโอกาสในการขายไปอย่างมากเลยครับ Google Business Profile (หรือชื่อเดิม Google My Business) จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่สุดในกลยุทธ์ Local SEO หากธุรกิจใดไม่มี Google Business Profile บอกเลยว่าไม่ใช่แค่เสียโอกาสการมองเห็น แต่ยังส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันระยะยาวได้เลยครับ
คุณเกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน CEO & Managing Director ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า
“Google Business Profile หรือที่หลายคนเรียกว่าการปักหมุด Google Map จริงๆ แล้วเป็นมากกว่าการโชว์ตำแหน่งที่ตั้ง เพราะมันช่วยให้ลูกค้าเจอธุรกิจเราได้ง่ายขึ้นทั้งบนแผนที่และผลการค้นหาที่ส่งผลโดยตรงต่อยอดขาย ถ้าธุรกิจไหนยังไม่มี บอกเลยว่าน่าเสียดายมากครับ เพราะนอกจากจะเสียโอกาสที่ลูกค้าจะเจอแบรนด์เราแล้ว ยังทำให้สู้คู่แข่งได้ยากในระยะยาว เนื่องจาก Google จะให้พื้นที่กับธุรกิจที่มีข้อมูลครบและน่าเชื่อถือก่อนเสมอ”
Google Business Profile คืออะไร?
Google Business Profile คือ เครื่องมือที่ช่วยจัดการข้อมูลธุรกิจบนแพลตฟอร์มของ Google ครอบคลุมทั้ง Google Search และ Google Maps มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เจ้าของธุรกิจจัดการข้อมูลที่ต้องการนำเสนอไปยังผู้ค้นหาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำ Local SEO เพราะช่วยบอกอัลกอริทึมของ Google ว่าธุรกิจคุณคือใคร อยู่ที่ไหน และมีความเกี่ยวข้องยังไงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา
Google Business Profile ต่างจากการปักหมุดธรรมดาใน Google Maps ยังไง
หลายคนอาจคิดว่าแค่มีหมุดบน Google Maps ก็เพียงพอแล้ว แต่จริงๆ การปักหมุดธรรมดากับการทำ Google Business Profile ต่างกันมาก เพราะหมุดทั่วไปอาจสร้างโดยผู้ใช้งาน หรือ Google ดึงข้อมูลมาแสดงเอง แต่ Google Business Profile จะทำให้ธุรกิจจัดการข้อมูลได้เองทั้งการตอบรีวิวลูกค้า อัปเดตโปรโมชัน รวมถึงดู Insight สำคัญๆ หลังบ้านที่บอกพฤติกรรมลูกค้าได้ดี เพื่อนำไปปรับปรุงแผนการตลาด ซึ่งการปักหมุดธรรมดาจะทำแบบนี้ไม่ได้
ทำไม Google ถึงให้ใช้ Business Profile ฟรี
เพราะ Google ต้องการยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX) ด้วยข้อมูลธุรกิจที่ถูกต้องที่สุด เพราะหากข้อมูลคลาดเคลื่อน ผู้ใช้งานจะโทษแพลตฟอร์มมากกว่าร้านค้า ดังนั้น Google จึงมอบพื้นที่ตรงนี้ให้ธุรกิจโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อแลกกับการที่ธุรกิจจะต้องอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบันมากที่สุด Google Business Profile จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นักการตลาดควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การมี Business Profile เพิ่มโอกาสถูกแนะนำบน AI Overview, AI Mode และ Gemini
เพราะระบบ AI เหล่านี้จะทำการรวบรวมข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดมาประมวลผลเป็นคำตอบ (Generative Answer) Business Profile จะทำหน้าที่ระบุตัวตน (Entity) ของธุรกิจให้ชัดเจนที่สุด เพื่อบอกอัลกอริทึมว่า คุณคือใคร อยู่ที่ไหน และมีความเชี่ยวชาญเรื่องอะไร หากข้อมูลในโปรไฟล์ครบถ้วนและมีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา AI จะเชื่อถือและมั่นใจที่จะดึงชื่อธุรกิจของคุณไปอ้างอิงหรือแนะนำให้กับผู้ใช้งานทันที
Google Business Profile ทำอะไรได้บ้าง

- จัดการการแสดงผลธุรกิจบน Google Search และ Google Maps
เมื่อมีการค้นหาที่มี Search Intent ประเภท Local Intent คือต้องการหาสินค้าหรือบริการในพื้นที่ เช่น ร้านอาหารใกล้ฉัน Google ก็จะดึงข้อมูลจาก Google Business Profile ไปแสดงผลในรูปแบบที่เรียกว่า Local Pack หรือ Map Pack 3 อันดับแรก (ตามรูป) ซึ่งตำแหน่งนี้จะมีอัตราการคลิก (CTR) ที่สูงมาก หากมีการจัดการข้อมูลดีจะช่วยดันให้ธุรกิจไปแสดงผลตรงนั้นได้ไม่ยากครับ
- สร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ
ในสายตาผู้บริโภค Business Profile ที่มีข้อมูลครบถ้วน จะสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจได้มากขึ้นด้วย ถือเป็นการยืนยันว่าธุรกิจนี้มีตัวตนจริง ยังดำเนินกิจการอยู่ และข้อมูลที่ครบถ้วนทั้งรูปภาพ เวลาเปิด-ปิดที่แน่นอน จะช่วยลดความลังเลใจของลูกค้าในการตัดสินใจเดินทางมาใช้บริการที่หน้าร้าน หรือกดโทรเพื่อขอรับคำปรึกษาเพิ่มเติม
ฟีเจอร์ของ Google Business Profile มีอะไรบ้าง
- ชื่อธุรกิจ/คำอธิบาย: ส่วนสำคัญที่สุดในการระบุตัวตน ควรใช้ชื่อจริงตามป้ายหน้าร้านเพื่อเลี่ยงการถูกระงับ ส่วนคำอธิบายควรแทรก Keywords ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ Google เข้าใจบริบทของธุรกิจคุณ
- หมวดหมู่ธุรกิจหลัก+รอง: ต้องเลือกให้ตรงกับ Core Business ที่สุด และใช้หมวดหมู่รองเพื่อให้ครอบคลุมบริการเสริมอื่นๆ
- ที่อยู่/พื้นที่ให้บริการ: ระบุพิกัดให้แม่นยำสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้าน ส่วนธุรกิจบริการต้องระบุโซนที่รับงานให้ชัดเจน เพื่อให้ Google ส่งลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ มาให้
- เวลาเปิด–ปิดทำการ: ช่วยลดปัญหาลูกค้ามาเก้อ ใส่เวลาปกติและวันหยุดนักขัตฤกษ์ให้ครบ
- หมุดตำแหน่งบนแผนที่: ต้องปักให้ตรงประตูทางเข้าจริง เพราะ GPS จะนำทางตามหมุดนี้ ถ้าปักผิด ลูกค้าหลงทาง จะนำไปสู่การรีวิว 1 ดาวได้ง่ายๆ เลยครับ
- เบอร์โทร/เว็บไซต์: ปุ่ม Call-to-Action หลักที่วัดผลได้จริง เบอร์โทรควรเป็นเบอร์ที่ติดต่อได้ทันที และลิงก์เว็บไซต์ควรติด UTM Parameter เพื่อวัดผล Traffic ใน Google Analytics
- รูปภาพร้าน/วิดีโอ/โลโก้: รูปภาพมีผลต่อ CTR สูงมาก ลูกค้ามักดูรูปก่อนอ่านรีวิว ควรมีทั้งรูปบรรยากาศ อาหาร หรือสินค้า และรูปทีมงานเพื่อให้ธุรกิจดูน่าเชื่อถือ
- รีวิว (Reviews) และการตอบรีวิว: ถือเป็น Social Proof ที่ทรงพลัง การตอบรีวิวทุกอันแสดงถึงความใส่ใจ และช่วยดันอันดับ SEO ได้ทางอ้อมผ่าน Keywords ในคำตอบด้วย
- โพสต์ (Posts): ฟีเจอร์ที่คนใช้น้อยแต่ได้ผลดีมาก เปรียบเสมือน Social Media ย่อมๆ ช่วยให้ธุรกิจได้แจ้งข่าวสาร อัปเดตโปรโมชัน และสร้างสัญญาณความสดใหม่ (Freshness Signal) ให้กับ Google
- Questions & answers: นอกจากจะให้ลูกค้าถามตอบในโปรไฟล์ได้แล้ว ธุรกิจยังเขียนเป็นส่วน FAQ เพื่อให้ข้อมูลลูกค้าล่วงหน้าได้ด้วย ช่วยลดภาระแอดมินและเพิ่ม Keyword ในระบบ
- เมนูสินค้า/บริการ/ราคา: การใส่เมนูหรือ Service Catalog ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกออกไปเว็บอื่น และช่วยให้ Google จับคู่คำค้นหาได้ดียิ่งขึ้น
เช็กลิสต์ฟีเจอร์สำคัญของ Google Business Profile ที่ธุรกิจต้องมี
| สิ่งที่ต้องมี | รายละเอียด |
| เพิ่มข้อมูลธุรกิจให้ครบ | • ชื่อ–หมวดหมู่ที่ชัดเจน ตรวจสอบความถูกต้องตัวสะกด และหมวดหมู่ธุรกิจ• ข้อมูลการติดต่อ เบอร์โทร, เว็บไซต์ (ติด Tracking), ลิงก์นัดหมาย• พื้นที่บริการ+เวลาเปิดปิด ระบุวันหยุดพิเศษล่วงหน้าเสมอ |
| ใส่รูปภาพและวิดีโอคุณภาพสูง | • รูปภาพหน้าร้าน (ป้ายชัดเจน), ภายในร้าน, ทีมงาน, สินค้า/บริการ• รูป 360 องศา หรือ Street View (ช่วยเพิ่มความมั่นใจเรื่องสถานที่ได้มาก) |
| จัดการรีวิว | • ขอรีวิว เช่น การสร้าง QR Code ให้ลูกค้าสแกนรีวิวหน้าร้าน• ตอบรีวิวทุกคอมเมนต์ทั้งดีและไม่ดีด้วยภาษาที่สุภาพและเป็นมืออาชีพ |
| เขียนคำอธิบายธุรกิจตามหลัก SEO | • จุดเด่น Unique Selling Point (USP) ของธุรกิจ• แทรกคำค้นหาหลักหรือคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ• ไม่ใช้คำโฆษณาเกินจริงที่อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกผิดหวังได้ |
| อัปเดตโพสต์สม่ำเสมอ | • อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง• อัปเดตโปรโมชัน, สินค้ามาใหม่, กิจกรรมร้าน, หรือเรื่องราวที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับธุรกิจ |
ตัวอย่าง Google Business Profile ของธุรกิจที่มีหน้าร้าน
จากตัวอย่างจะเห็นว่า นอกจากข้อมูลการติดต่อ เบอร์โทร วันเวลาเปิดปิดแล้ว ธุรกิจที่มีหน้าร้านอย่างคาเฟ่ที่เน้นขายบรรยากาศและการตกแต่งสถานที่ การใส่รูปภาพที่สวยงามจะช่วยดึงดูดความสนใจและกระตุ้นการคลิกได้เป็นอย่างมากครับ

ธุรกิจแบบไหนจำเป็นต้องมี Google Business Profile
ไม่ใช่แค่ร้านอาหารเท่านั้นที่ต้องมี Business Profile จากประสบการณ์ที่ทีมแองก้าได้ดูแลลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ผมจะแบ่งกลุ่มธุรกิจที่จำเป็นต้องมี Business Profile ใน Google ดังนี้
| ประเภทธุรกิจ | ตัวอย่าง | ทำไมถึงจำเป็น |
| ธุรกิจที่มีหน้าร้าน | ร้านอาหาร, คาเฟ่, ร้านเสริมสวย, ฟิตเนส, คลินิก, โรงแรม | ลูกค้าต้องเดินทางไปรับบริการ การนำทางที่แม่นยำและภาพสถานที่จริงสำคัญที่สุด |
| ธุรกิจบริการนอกสถานที่ | ช่างรับเหมา, ช่างแอร์, บริการทำความสะอาด | ไม่มีหน้าร้านให้ลูกค้าไปหา แต่ต้องแสดงว่าให้บริการในพื้นที่ไหน |
แล้วนอกจากธุรกิจที่มีหน้าร้านแล้ว ธุรกิจอื่นต้องมี Google Business Profile มั้ย?
มีความเข้าใจผิดกันเยอะว่า ไม่มีหน้าร้าน ไม่ต้องทำ Business Profile ก็ได้ ผมขอยืนยันว่าจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจครับ แม้แต่ธุรกิจ B2B, Digital Agency หรือธุรกิจที่ไม่ได้เน้นลูกค้า Walk-in ก็ตาม แต่เหตุผลในการทำจะเปลี่ยนจากการดึงคนเข้าร้าน ไปเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์
สรุปง่ายๆ คือ ถ้าธุรกิจของคุณมีการจดทะเบียน มีตัวตน และต้องการให้ลูกค้าเชื่อถือเมื่อค้นหาชื่อแบรนด์ คุณจำเป็นต้องมี Google Business Profile ครับ
วิธีเริ่มต้นใช้งาน Google Business Profile
1. ลงชื่อเข้าใช้งาน (Sign in) เริ่มต้นใช้งานฟรีที่ Google Business Profile ให้ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Gmail ที่ใช้สำหรับธุรกิจ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการส่งต่อสิทธิ์ให้ทีมงานในอนาคต

2. ตรวจสอบชื่อธุรกิจ พิมพ์ชื่อธุรกิจของคุณในช่องค้นหา ระบบจะแสดงรายชื่อขึ้นมาให้ดู ตรวจสอบว่าธุรกิจของคุณมีคนปักไว้ก่อนแล้วหรือไม่ เมื่อได้ชื่อแล้วให้กดดำเนินการต่อ แล้วกรอกข้อมูลต่อไปนี้ตามขั้นตอน
- ประเภทธุรกิจ
- หมวดหมู่ธุรกิจ
- คุณให้บริการในพื้นที่ใด
- คุณต้องการแสดงข้อมูลติดต่อใดแก่ลูกค้า (จะมีช่องให้กรอกหมายเลขโทรศัพท์และเว็บไซต์)

3. ยืนยันตัวตน (Verification) เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จ หมุดของคุณจะยังไม่โชว์ให้ลูกค้าเห็นจนกว่าจะผ่านขั้นตอนนี้ ปัจจุบัน AI ของ Google จะบังคับให้ธุรกิจใหม่ใช้วิธี Video Verification เป็นหลัก (แทนวิธีการรอจดหมาย Postcard แบบเดิม) โดยจะต้องถ่ายวิดีโอแบบต่อเนื่อง เพื่อยืนยันว่าธุรกิจมีอยู่จริงและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ Google

4. รอการตรวจสอบ (Review)
หลังจากอัปโหลดวิดีโอ Google จะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 5 วันทำการ ระหว่างรอห้ามลบวิดีโอต้นฉบับจนกว่าจะได้รับอีเมลแจ้งเตือนว่า "Business Profile ของคุณได้รับการยืนยันแล้ว" เมื่อผ่านแล้วข้อมูลธุรกิจของคุณจึงจะปรากฏบน Google Search และ Maps อย่างเป็นทางการครับ
เคล็ดลับถ่ายวิดีโอยืนยันธุรกิจให้ผ่านในรอบเดียว
- วางแผนเดินถ่ายให้ดี: คุณต้องถ่ายคลิปแบบรวดเดียวจบ ห้ามกดหยุดหรือนำไปตัดต่อ ดังนั้น ให้วางแผนเส้นทางการเดินถ่ายให้ครอบคลุมสิ่งที่ Google ต้องการให้ครบภายในเทคเดียว
- ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ: คลิปที่ยืนยันผ่านง่ายที่สุดมักจะมีความยาวประมาณ 1-2 นาที (ห้ามถ่ายเกิน 5 นาที) ค่อยๆ เดินถ่ายให้ภาพชัดเจน
- เริ่มถ่ายจากนอกร้านก่อน: ให้เริ่มอัดคลิปจากบรรยากาศภายนอก หรือจุดสังเกตบริเวณใกล้เคียงเพื่อยืนยันพิกัด แล้วค่อยเดินพาเข้าไปถ่ายภายในร้าน
- ข้อควรระวัง: พยายามเลี่ยงการถ่ายติดใบหน้าบุคคลอื่นหรือเอกสารสำคัญที่เป็นความลับ เช่น บัตรประชาชน, เอกสารการเงิน
เปลี่ยนยอดค้นหาให้เป็นยอดขายด้วย Google Business Profile
Google Business Profile ถือเป็นรากฐานสำคัญของการทำ Local SEO เครื่องมือนี้ทำหน้าที่ดึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความต้องการซื้อจริงๆ (High Intent) ให้เข้าถึงธุรกิจของคุณได้ก่อนคู่แข่ง ผ่านการแสดงผลที่น่าเชื่อถือด้วยข้อมูลและรีวิวจริง ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำโฆษณาทั่วไป นอกจากจะเป็นเครื่องมือที่สร้างความได้เปรียบโดยไม่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายแล้ว สิ่งที่ธุรกิจจะได้เพิ่มเข้ามาคือ Data Insights เชิงลึกที่สะท้อนพฤติกรรมลูกค้าได้แม่นยำ ให้คุณนำข้อมูลไปต่อยอดกลยุทธ์การตลาดได้ตรงจุดมากขึ้น การบริหารจัดการ Business Profile ใน Google ให้สมบูรณ์จึงไม่ใช่แค่การปักหมุด แต่คือการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้ธุรกิจได้ในระยะยาวเลยครับ






