1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. เปิดศึกโฆษณาพลิกเกม Nike vs Coca-Cola ในโอลิมปิก 2024
Nike vs Coca-Cola
เผยแพร่เมื่อ: ตุลาคม 24, 2024

เปิดศึกโฆษณาพลิกเกม Nike vs Coca-Cola ในโอลิมปิก 2024

Table Of Contents

เสร็จสิ้นกันไปเป็นที่เรียบร้อยกับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สถานที่ในฝันของใครหลาย ๆ คน เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม – 11 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา บอกเลยว่านี่คือโอกาสสำคัญที่แบรนด์ต่าง ๆ หันมาทำแคมเปญ เพื่อทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งในวันนี้ ANGA ก็จะหยิบยกศึกแคมเปญโฆษณาจากสองแบรนด์ดัง Nike vs Coca-Cola ที่เป็นประเด็นร้อนสุดฮอตในช่วงโอลิมปิก ปารีส 2024 มาวิเคราะห์ในแง่ของการตลาดให้รู้กัน! ใครที่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีดราม่าเกี่ยวกับโฆษณาของ Nike แต่ในขณะเดียวกันก็ชื่นชมโฆษณาของ Coca-Cola !?

Winning Isn’t For Everyone – Nike

เริ่มต้นกันที่แคมเปญ “Winning Isn’t For Everyone | Am I a Bad Person?” จากแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาชื่อดัง “Nike” โดย Key Message ของแคมเปญนี้ต้องการสื่อว่า “ไม่ว่าชัยชนะจะมาในรูปแบบไหน ยังไงก็ต้องชนะเท่านั้น” ซึ่งเนื้อหาของวิดีโอแคมเปญจะแสดงถึงความมุ่งมั่นของเหล่านักกีฬา ที่ต้องการเอาชนะการแข่งขันในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 

จากการใช้เสียงพูดของนักกีฬาตัวจริง อาทิ LeBron James, Serena Williams, Giannis Antetokounmpo, Qinwen Zheng, A’ja Wilson, Vini Jr., Jakob Ingebrigtsen และ Sha’Carri Richardson ในการพูดข้อความในมุมของคนที่จริงจังกับการแข่งขันและต้องการเอาชัยชนะกลับบ้านไป อย่าง “การที่ฉันเป็นคนที่ไม่เอาอกเอาใจใคร ไม่เคารพใคร หรือไม่คิดจะยอมแพ้ให้ใคร นี่แปลว่าฉันเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า?” พร้อมกับสื่อถึงความจริงของโลกแห่งการแข่งขันว่าชัยชนะนั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน

หลังจากที่แคมเปญนี้เผยแพร่ออกไป จนมียอดวิวแตะหลักล้านวิว ก็เริ่มมีกระแสตอบรับที่ไม่ค่อยจะน่ายินดีนัก เพราะผู้ชมส่วนมากมองว่าแคมเปญ Winning Isn’t For Everyone | Am I a Bad Person? ของ Nike มีการถ่ายทอดอารมณ์ของนักกีฬาอย่างไม่เหมาะสม ทำให้ดูไร้น้ำใจนักกีฬา ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตัวนักกีฬาที่ปรากฏอยู่ในวิดีโออย่างเดียว แต่ยังส่งผลกระทบในแง่ลบต่อแบรนด์ Nike ด้วย

It’s Magic When the World Comes Together – Coca-Cola

ในส่วนของแคมเปญโฆษณา “It’s Magic When the World Comes Together” จาก Coca-Cola ได้มีนำเสนอถึงความรักใคร่กลมเกลียวและการมีจุดร่วมเดียวกันของคนทั้งโลก อย่างงานโอลิมปิก 2024 ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการเปิดตัวนักว่ายน้ำ จากนั้นก็นำเสนอภาพของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนมุมต่าง ๆ ในโลกใบนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นใคร กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน หรือเชื้อชาติอะไร ทุกคนก็ให้ความสนใจและดูการถ่ายทอดงานโอลิมปิก ปารีส 2024 เหมือน ๆ กัน โดยมี Key Message คือ it’s Magic When the World Comes Together ที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่นของการทำให้คนทั้งโลกเชื่อมโยงกันผ่านมหกรรมกีฬาโอลิมปิก

เพราะความแตกต่างของอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมที่ได้จากการรับชมแคมเปญโฆษณาของทั้ง 2 แบรนด์ จึงอดเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ในขณะที่แบรนด์หนึ่งมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการคว้าชัยชนะ ไม่ว่าจะต้องทำวิธีการใดก็ต้องเป็นผู้ชนะให้จงได้ กับอีกแบรนด์ที่ทำให้รู้สึก Feel Good และเน้นยำพลังแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ความเหมือนและแตกต่างของแคมเปญทั้ง 2 ตัว

สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 2 แคมเปญคือการเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคนดูทั้งคู่ เพื่อให้วอารมณ์เหล่านั้นผลักดันให้แคมเปญดังกล่าวเป็นกระแสและเข้าถึงผู้คนทั่วโลก แต่ด้วยความที่ทั้งสองแคมเปญสื่ออารมณ์ออกมาไม่เหมือนกัน ผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่ได้จึงแตกต่างกันด้วย

Nike

ถึงแม้ว่าในวิดีโอจะไม่มีคำว่า Nike เลย และไม่ได้นำเสนอตัวสินค้าหรือโลโก้แบรนด์ด้วยซ้ำ แต่เมื่อวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ไปและทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่ดี ความรู้สึกไม่เห็นด้วยก็จะพรั่งพรูออกมา ทำให้พวกเขามองหาว่าใครเป็นเจ้าของแคมเปญและพาลเอาความรู้สึกนี้ไปเป็นภาพจำของแบรนด์ด้วย

Coca-Cola

เนื้อหาในวิดีโอทำให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นและอินไปด้วย เนื่องจากมีการนำเสนอภาพที่ผู้คนมากมายร่วมลุ้นผลการแข่งขัน เมื่อมีคนชนะ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกัน ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น มีฉากการโอบกอดกันอย่างดีใจ ดูอบอุ่น และมีแต่สิ่งดี ๆ น่ายินดี ทำให้คนรู้สึกเหมือนกับสิ่งที่วิดีโอสื่อสารออกมาได้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงรู้สึกดีกับแคมเปญของ Coca-Cola มากกว่า

3 สิ่งที่นักการตลาดต้องคำนึงก่อนทำแคมเปญ

  1. กำหนดกลุ่มเป้าหมายและ Key Message ที่ต้องการสื่อสารออกไป รวมทั้งระบุคอนเซปต์ การเลือกใช้อารมณ์​ หรือสิ่งที่ผู้ชมจะได้รับหลังดูวิดีโอ)
  2. การสร้างราวที่น่าสนใจและสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของแบรนด์อย่างชัดเจน และต้องเกี่ยวเนื่องไปกับ Key Message อย่าง Coca-Cola ต้องการเล่นกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนดูทั่วไป (ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็สามารถเชื่อมโยงกันด้วยโอลิมปิก 2024 และจะดียิ่งขึ้น ถ้าคุณมีการส่งต่อ Coke ไปยังคนอื่น ๆ ต่อไปด้วย) แต่ Nike เจาะกลุ่มของนักกีฬาหรือคนที่ชอบการแข่งขันโดยเฉพาะ
  3. การเน้นความเป็นมนุษย์ เพราะคนต้องการเห็นแบรนด์ที่มีความเป็นมนุษย์และเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา (ส่งผลกับการเลือก Key Message ด้วย)

บทสรุปส่งท้าย

สรุปว่าทั้ง Nike และ Coca-Cola ต่างใช้อารมณ์เครื่องมือสื่อสารกับกลุ่มเป้าใหม่เหมือนกัน เมื่อเรามาพิจารณาดูดี ๆ แล้ว เราจะพบว่าทั้งสองแบรนด์วิเคราะห์มาแล้วว่า Key Message และอารมณ์ที่เลือกมาทำแคมเปญ เป็นสิ่งที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา จากผลตอบรับของทั้งสองแคมเปญนี้ ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนเลยว่า “อารมณ์” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ส่งผลกระทบต่อแบรนด์จริง ๆ ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำแคมเปญใด ๆ คุณควรวิเคราะห์และคำนึงถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างถี่ถ้วนก่อน เพราะบางเรื่องก็อ่อนไหวกับบางคนมากกว่าที่เราคิด และยังช่วยป้องกันไม่ให้แบรนด์ของเราเจอกับกระแสตีกลับในแง่ลบด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

ANGA เปิดรับสมัคร AMC รุ่น 2 (2025)

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องกับโครงการ AMC (ANGA Management Candidates) รุ่น 2 ที่ใคร ๆ หลายคนต่างรอคอย หลังจากที่โครงการ AMC รุ่น 1 ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมาก  เพราะเป็นโครงการที
88

Demand Gen คือโฆษณารูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญโฆษณา Google Ads พร้อมเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าด้วย Demand Gen คือรูปแบบโฆษณาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Discovery Ads โดยการดึงเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้งาน พร้
101

DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด

อย่างที่เรารู้กันว่า Google เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แล้วรู้ไหมว่าใครคืออันดับสอง? คำตอบคือ DuckDuckGo นั่นเอง ซึ่ง DuckDuckGo คือ​ Search Engine ที่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยท
96
th