เมื่อผู้บริโภคมีความคาดหวังต่อคุณภาพของคอนเทนต์สูงขึ้น ขณะเดียวกันเทคโนโลยี AI และระบบค้นหารูปแบบใหม่อย่าง AI Search และ Social Search ก็เข้ามาเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนค้นหาและรับข้อมูลไปอย่างมาก แบรนด์ที่ต้องการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากจะต้องมองหาไอเดียคอนเทนต์มาแรงแล้ว ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการอัปเดตเทรนด์ Content Marketing 2026 เพื่อให้ผู้คนเจอแบรนด์เราได้ง่ายขึ้นบนแพลตฟอร์มต่างๆ ช่วยสร้าง Brand Awareness และเชื่อมโยงกับผู้บริโภคตัวจริงได้ด้วย
คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า
“ผมมองว่าปี 2026 จะเป็นปีของแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหา และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของตัวเองอย่างแท้จริง การอัปเดตเทรนด์คอนเทนต์ไม่ใช่แค่การวิ่งตามกระแส แต่คือการอ่านเกมให้ขาดว่า Attention ของกลุ่มเป้าหมายกำลังมุ่งไปทางไหน หากธุรกิจยังยึดติดกับ Algorithm เก่า หรือรูปแบบคอนเทนต์เดิมๆ ที่ขาดการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเราจริงๆ คอนเทนต์ที่ลงทุนทำอาจไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ครับ”
Content Marketing คืออะไร
Content Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดที่ใช้เนื้อหาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ บทความ ภาพ หรืออินโฟกราฟิก มาเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนเป้าหมายทางธุรกิจ ทั้งการสร้าง Brand Awareness การกระตุ้นยอดขาย และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
ปัจจุบัน Content Marketing ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจผู้บริโภคเพื่อแข่งขันกับคอนเทนต์จำนวนมากบนโลกออนไลน์ และยังต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้รับกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย เช่น AI Search, LLM (Large Language Model) และ Social SEO ดังนั้น เทรนด์คอนเทนต์ที่คนสนใจจึงเปลี่ยนไปทุกปี นักการตลาดมืออาชีพก็ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอด้วย
เรามาเช็กเทรนด์ Content Marketing ที่จะกำหนดทิศทางความสำเร็จของแบรนด์ในปี 2026 กันครับ
7 เทรนด์ Content Marketing 2026 มีอะไรบ้าง

1. การสร้าง Community ในพื้นที่เฉพาะกลุ่ม (Niche Communities)
เทรนด์ Content Marketing 2026 การสร้าง Community เป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่ทรงพลังมากครับ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนจากรับสารฝ่ายเดียว ไปสู่การมีส่วนร่วมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันมากขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากเลือกที่จะตั้งคำถาม ปรึกษา และตัดสินใจจากประสบการณ์ของคนใน Community เดียวกัน ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Discord, Facebook Groups, LINE OpenChat หรือฟีเจอร์ Super Chat และ Super Thanks บน YouTube สาเหตุสำคัญมาจากความอิ่มตัวของโฆษณาและคอนเทนต์รีวิวที่ขาดความจริงใจ ทำให้ผู้บริโภคหันไปให้คุณค่ากับบทสนทนาจากผู้ใช้จริงมากขึ้น
เหตุผลที่ Community Marketing สร้างผลลัพธ์ได้ยั่งยืน
- เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้ใช้จริง (Real User, Real Experience)
- สร้างความไว้วางใจและ Social Proof ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- เพิ่ม Engagement ระยะยาว มากกว่าการสื่อสารทางเดียว
- ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อผ่านคำแนะนำภายในกลุ่ม
Community ที่แข็งแกร่งไม่เพียงสร้างยอดขาย แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
2. KOC (Key Opinion Consumer) เสียงจากผู้ใช้จริง
หนึ่งในเทรนด์คอนเทนต์ 2026 ที่เห็นชัดมากก็คือ KOC (Key Opinion Consumer) หรือเทรนด์ที่ผู้ใช้จริงออกมาแชร์ความคิดเห็นและประสบการณ์จากการใช้งาน ซึ่งไม่ได้เป็นคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์ระดับใหญ่แบบ KOL แต่เป็นคนธรรมดาที่ผู้ชมรู้สึกว่า “คนนี้เหมือนเราเลย” จึงรู้สึกว่าน่าเชื่อถือกว่า เพราะในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มระแวงการรีวิวเชิงสปอนเซอร์ เสียงจาก KOC จึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยผลักดันการตัดสินใจซื้อได้ดีมาก เพราะเนื้อหาดูจริง เป็นธรรมชาติ และไม่ขายตรงจนเกินไป
เหตุผลที่ KOC มาแรงกว่า KOL ในปี 2026
- สื่อสารจากประสบการณ์ใช้งานจริงที่แทบไม่ผ่านการปรุงแต่ง
- สร้างความเชื่อใจ (Trust) ได้สูงกว่ารีวิวแบบโฆษณา
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche) ได้ตรงจุด
- ช่วยกระตุ้น Conversion มากกว่าแค่ Awareness
KOC จึงช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคผ่านความจริงใจและประสบการณ์จริงได้โดยตรง หากแบรนด์ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ ควบคู่กับยอดขายในระยะยาว KOC คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดในยุคนี้ครับ
3. UGC (User-Generated Content) คอนเทนต์ที่สร้างโดยลูกค้าทั่วไป
เราอยู่ในยุคที่เสียงของผู้บริโภคมีอิทธิพลมากกว่าเสียงของแบรนด์อย่างชัดเจน คอนเทนต์จากผู้ใช้หรือลูกค้า UGC (User-Generated Content) เช่น รีวิว ภาพถ่าย หรือวิดีโอเล่าประสบการณ์หลังใช้งาน กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคเห็นการใช้งานสินค้าในสถานการณ์จริง ช่วยลดความลังเลหรือความกังวลใจ ประเมินได้ทันทีว่าสินค้าหรือบริการนั้นจะเข้ามาแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คอนเทนต์โฆษณาอาจไม่สามารถทำได้เทียบเท่า
เหตุผลที่ UGC จะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2026
- สร้างความน่าเชื่อถือและ Social Proof สูงกว่าโฆษณาของแบรนด์
- ช่วยกระตุ้น Conversion และเร่งการตัดสินใจซื้อได้
- เพิ่มการมองเห็นบน Social Search โดยเฉพาะ TikTok และ Instagram
- ต่อยอดการบอกต่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Word of Mouth)
แล้ว KOC กับ UGC ต่างกันยังไง?
KOC คือ ลูกค้าที่ใช้งานสินค้าและมารีวิวอย่างสม่ำเสมอจนมีฐานผู้ติดตามเฉพาะกลุ่ม รีวิวของ KOC จึงดูน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ส่วน UGC คือ คอนเทนต์จากลูกค้าทั่วไปที่มาแชร์ประสบการณ์ใช้งานจริงแต่ไม่ถึงขั้นทำเป็นประจำจนมีผู้ติดตาม เหมือนเวลาเราซื้อสินค้ามาอย่างนึง พอใช้แล้วดีก็เลยรีวิว แต่ถึงแม้ไม่ได้ทำเป็นอาชีพ แต่ความเรียลและความเป็นธรรมชาติของ UGC นี้ ก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แบรนด์ได้เช่นกันครับ
4. EGC (Employee-Generated Content) คอนเทนต์ที่สร้างโดยพนักงาน
ยกตัวอย่างคอนเทนต์ Work Vlog หรือ Day in the Life Working ที่เราเห็นบ่อยๆ ถือเป็นรูปแบบของ EGC ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการเปิดมุมมองที่แบรนด์ไม่สามารถเล่าเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง, ขั้นตอนหรือกระบวนการทำงาน, วิธีคิดเบื้องหลังโปรเจกต์ หรือวัฒนธรรมองค์กรผ่านมุมมองของพนักงาน EGC จึงให้ผลลัพธ์สูงกว่าคอนเทนต์ทั่วไปในเรื่องต่อไปนี้
- ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือสูงกว่า: เพราะผู้บริโภคจับได้ทันทีว่าคอนเทนต์ไหนคือโฆษณา หรือคอนเทนต์ไหนเป็นประสบการณ์จริงของคนในองค์กร
- ช่วยเร่งกระบวนการตัดสินใจของลูกค้า: โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ B2B ที่ต้องการเห็นวิธีคิดและวิธีทำงานจริงของทีม ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในความเชี่ยวชาญของแบรนด์
- ช่วยสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้าถึงง่าย: การโชว์วัฒนธรรมองค์กร แชร์ไอเดีย ค่านิยม หรือแรงบันดาลใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภครู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้นด้วย
ตัวอย่างคอนเทนต์ EGC ในรูปแบบ Work Vlog ของทีมแองก้า

5. Live Commerce & Interactive Real-Time
หนึ่งในเทรนด์ Content Marketing ที่ขาดไม่ได้ในปี 2026 คือ การยกระดับ Live Commerce ไปสู่ประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบมีส่วนร่วม (Interactive Live Commerce) เป็นการไลฟ์ขายของที่ผู้ชมไม่ได้เป็นเพียงผู้รับชม แต่สามารถมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการถาม–ตอบ แสดงความคิดเห็น หรือการโหวต เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการประสบการณ์มากกว่าการขายเพียงอย่างเดียว ทำให้ไลฟ์สดรูปแบบนี้ช่วยเพิ่ม Engagement และเร่ง Conversion Rate ได้อย่างเห็นผล
องค์ประกอบสำคัญของ Interactive Live Commerce ที่ได้ผล
- Q&A สด ตอบข้อสงสัยแบบทันที
- การสาธิตสินค้าแบบ Uncut เพื่อโชว์ประสิทธิภาพจริง
- ใช้ฟีเจอร์โต้ตอบ เช่น โหวต เล่นเกม หรือแจกส่วนลดระหว่างไลฟ์
- สร้างความรู้สึก Exclusive ผ่านดีลเฉพาะช่วงไลฟ์
กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยปิดการขายได้เร็วขึ้น แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในระยะยาวได้ด้วยครับ
6. การทำ Social SEO ทุกแพลตฟอร์ม
Social SEO คือ การออกแบบคอนเทนต์ให้ผู้ชมค้นหาเจอ และมีเนื้อหาตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้งาน ซึ่งช่วยให้แบรนด์ได้ Visibility แบบ Organic โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา จากการสำรวจของ Sprout Social พบว่า “Gen Z กว่า 41% ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางแรกในการค้นหาข้อมูล และมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างชัดเจน โดย Gen Z 90% และ Gen Y 84% ได้อิทธิพลจากคอนเทนต์บนโซเชียลโดยตรง”
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า ผู้ใช้ยุคใหม่ไม่ได้เริ่มค้นหาข้อมูลจาก Google เพียงอย่างเดียว แต่หันไปค้นหาผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียโดยตรง เช่น TikTok, YouTube, Instagram และ Facebook อัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มจึงเริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพเนื้อหา ความสอดคล้องกับคีย์เวิร์ด และพฤติกรรมผู้ชมมากขึ้น
ตัวอย่างการทำ Social SEO บนแพลตฟอร์ม TikTok ANGA Bangkok ติดอันดับการค้นหาเมื่อเสิร์ชคำว่า “https คือ”

ประโยชน์ของ Social SEO ต่อธุรกิจ
- เพิ่มโอกาสให้คอนเทนต์ถูกค้นหาเจอในแพลตฟอร์มโซเชียล
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังหาข้อมูลจริง (High Intent)
- สร้าง Brand Awareness และความน่าเชื่อถือระยะยาว
- ลดต้นทุนโฆษณา แต่เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
หากธุรกิจไม่ให้ความสำคัญกับการทำ Social SEO ต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคนค้นหาเจอ ก็ยากต่อการสร้างผลลัพธ์ในระยะยาว แบรนด์จึงต้องพึ่งพาโฆษณาเพื่อให้เกิดการมองเห็นอยู่เรื่อยๆ ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นนั่นเองครับ
7. การทำคอนเทนต์ให้ติดบน AI Search
สิ่งที่ผู้ใช้งานและ AI มองหาในยุคนี้คือ Deep Dive Knowledge หรือข้อมูลเชิงลึกที่เกิดจากประสบการณ์จริง การวิเคราะห์ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แบรนด์ที่วางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Expert) จะได้เปรียบทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือและการมองเห็นบน Search รูปแบบใหม่โดยเฉพาะ AI Search ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเนื้อหามากกว่าปริมาณคีย์เวิร์ดที่ยัดเข้าไป
รูปแบบคอนเทนต์เชิงลึกที่ตอบโจทย์ปี 2026
- In-depth How-to: คอนเทนต์ที่ลงรายละเอียดทุกขั้นตอนและนำไปใช้ได้จริง
- Case Studies: กรณีศึกษาจากประสบการณ์จริงที่สะท้อนผลลัพธ์จากการทำงาน
- Research & Insights: บทวิเคราะห์และมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในองค์กร
คอนเทนต์ลักษณะนี้ช่วยเสริม E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ Google และ AI Search ใช้ประเมินคุณภาพ ก่อนนำไปแสดงเป็นคำตอบให้ผู้ใช้งานครับ
ตัวอย่างคอนเทนต์ของเว็บไซต์ ANGA (แองก้า) ที่ได้มีการอธิบายขั้นตอนการทำ SEO อย่างละเอียดและนำไปใช้ได้จริง ส่งผลให้คอนเทนต์นี้ติดบน AI Overviews เมื่อเสิร์ชคำว่า“ทำ SEO”

จุดเปลี่ยนสำคัญของเทรนด์ Content Marketing 2026
เทรนด์คอนเทนต์ทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนมีเป้าหมายร่วมกันคือ เพิ่ม Visibility บน AI Search และ Social Search ควบคู่กับการสร้าง Engagement กับผู้ใช้จริงๆ เพราะอัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มกำลังให้คุณค่ากับเนื้อหาที่เข้าใจง่าย น่าเชื่อถือ และมาจากประสบการณ์จริงของผู้คน ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยุคใหม่ก็เลือกติดตามแบรนด์ที่สื่อสารอย่างจริงใจ โปร่งใส และตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้จริงด้วย ปี 2026 จึงไม่ใช่ปีของการแข่งขันว่าใครจะใช้ AI เก่งที่สุด แต่เป็นปีของแบรนด์ที่รู้จักใช้ AI เป็นเครื่องมือ ผสานกับกลยุทธ์คอนเทนต์ ความคิดสร้างสรรค์ และตัวตนของ Creator เพื่อสร้างคุณค่าและความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ชมอย่างแท้จริง










