ใครสังเกตตัวเองบ้างว่าเดี๋ยวนี้เราเริ่มเสิร์ช Google เป็นคำยาวๆ หรือเป็น Long-tail Keywords มากขึ้น เพราะการเข้ามาของ AI Search ที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการค้นหา โดยเฉพาะฟีเจอร์ AI Overviews ที่ดึงคำตอบแบบสรุปขึ้นมาไว้บนสุดของ SERP และที่สำคัญคืออยู่เหนือเว็บไซต์ที่ติดอันดับหนึ่งอีกด้วย ทำให้หลายธุรกิจที่ทำ SEO ให้กับเว็บไซต์กำลังเจอกับความท้าทายใหม่คือ การแย่งชิงพื้นที่ในคำตอบที่ AI แสดงให้ผู้ใช้เห็นเป็นอันดับแรก และนี่เองคือจุดที่ทำให้ GEO กลายเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม
GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร
GEO ย่อมาจาก Generative Engine Optimization คือ กระบวนการปรับแต่งคอนเทนต์และเว็บไซต์ให้เข้าใจง่ายสำหรับ AI Search หรือระบบ Generative Engines ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Gemini, และที่สำคัญคือ Google AI Overviews ซึ่งเป็นระบบตอบคำถามอัตโนมัติรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้แค่ดึงลิงก์เว็บไซต์ไปแสดง แต่จะสรุปคำตอบให้ผู้ใช้ได้อ่านทันที GEO จึงเป็นวิวัฒนาการต่อจาก SEO ที่ไม่ได้มุ่งแค่ให้เว็บติดอันดับ แต่ต้องทำให้ AI เข้าใจโครงสร้าง ความหมาย ความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือของเว็บเพื่อนำไปสรุปเป็นคำตอบด้วย
คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ AI Search ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า
“หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือ ความน่าเชื่อถือ เพราะการทำงานของ AI จำเป็นต้องคัดกรองข้อมูลจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือสูงที่สุดก่อนนำไปแสดงเป็นคำตอบให้ผู้ใช้งาน และเพื่อป้องกันปัญหา AI Hallucination หรือการที่ AI เดาหรือคิดข้อมูลขึ้นมาเอง ซึ่งหาก AI ให้ข้อมูลผิดพลาด ความเสียหายไม่ได้เกิดแค่กับผู้ใช้ แต่จะทำลายความน่าเชื่อถือของตัว AI เองด้วย ดังนั้น หากเว็บไซต์มีข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิง และมีความเป็น Authority สูง AI ก็จะเลือกแบรนด์เราเป็นแหล่งคำตอบหลัก เพื่อลดความเสี่ยงในการให้ข้อมูลเท็จนั่นเองครับ”
สิ่งที่ทำให้ SEO vs GEO ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
แม้ทั้งสองกลยุทธ์จะมีเป้าหมายเพื่อสร้างการมองเห็นแบรนด์ (Brand Visibility) เหมือนกัน แต่หลักการทำงานและผลลัพธ์ที่ต้องการ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องต่อไปนี้
| SEO(Search Engine Optimization) | GEO(Generative Engine Optimization) | |
| ผลลัพธ์เมื่อเสิร์ช | ให้ทางเลือกเป็นลิงก์เว็บไซต์หลายๆ ลิงก์ตามการจัดอันดับ | ให้คำตอบที่สรุปเนื้อหามาแล้วจากหลายเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ |
| พฤติกรรมคนใช้งาน | ต้องกดเข้าไปอ่านและหาคำตอบด้วยตัวเองทีละเว็บ | ได้คำตอบทันทีโดยที่ไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ (Zero-Click Search) |
| เป้าหมายการเขียนคอนเทนต์ | เพื่อให้ Bot สามารถรวบรวมข้อมูล (Crawl) และจัดทำดัชนี (Index) ได้ง่ายและครบถ้วน | เพื่อให้ AI เข้าใจทั้งเนื้อหา บริบท และความเชื่อมโยงของข้อมูลในระดับ Entity ว่าแบรนด์เราเชี่ยวชาญเรื่องอะไร |
| การวัดผล | Traffic & Ranking: วัดที่จำนวนคนเข้าเว็บไซต์ และอันดับที่ 1-10 บนหน้าแรก | Brand Mention & Citation: วัดที่ AI กล่าวถึงชื่อแบรนด์เราบ่อยแค่ไหน และถูกใช้เป็นแหล่งอ้างอิงหรือไม่ |
ในยุคที่ผู้ใช้ต้องการคำตอบทันที กลยุทธ์ AEO จึงสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับระบบตอบคำถามของ AI ทั้งการสรุปใจความ, จับประเด็น, และให้ข้อมูลที่ตีความได้ตรง User Intent ที่สุด เพื่อให้ AI เลือกเราเป็นคำตอบแรก และสิ่งสำคัญคือ SEO, AEO และ GEO ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อดึงกลุ่มคนค้นหาเดิม รองรับคนที่ต้องการคำตอบทันที และสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ในสายตาของ AI ด้วย
กลยุทธ์ทำ GEO เพื่อดันแบรนด์ให้เป็นคำตอบที่ AI เลือก
การทำ GEO เป็นการเขียนเนื้อหาเพื่อให้ AI เชื่อใจ เพราะอัลกอริทึมของ AI ถูกเทรนมาให้หลีกเลี่ยงข้อมูลที่ดูเลื่อนลอยหรือไร้น้ำหนัก ดังนั้น ต้องอาศัยการใช้ข้อมูลจริง ตัวเลขที่จับต้องได้ และแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้ ผสมผสานกับการใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายแต่ยังแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียน เพื่อเปลี่ยนแบรนด์ของคุณให้กลายเป็นแหล่งอ้างอิงหลักที่ AI เลือก และนี่คือกลยุทธ์ที่เว็บไซต์สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที
1. อ้างอิงแหล่งที่มา (Citing Sources)
เลิกเขียนเนื้อหาแบบไม่มีที่มาที่ไป เพราะ AI Search ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ตรวจสอบได้มากกว่าการเขียนเล่าเรื่องแบบลอยๆ การใส่แหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย, ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ, หรือข้อมูลจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือในอุตสาหกรรม ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บอก AI ว่า เนื้อหาของเราผ่านการตรวจสอบความถูกต้องมาแล้ว
ตัวอย่าง หากต้องการอธิบายข้อมูลบางอย่างจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อให้ทำแบบนี้ครับ
- อาจเขียนว่า “จากการศึกษาพบว่า…(ข้อมูลที่นำมาใช้)"
- จากนั้นต้องระบุให้ชัดเจนว่าข้อมูลชุดนี้มาจากไหน ด้วยการใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งข้อมูล หรือเรียกว่า External Link
คอนเทนต์ของแองก้าเองก็ได้มีการอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อเกี่ยวกับการทำ SEO อย่าง Ahrefs ก่อนจะทำการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในมุมของเราเอง ซึ่งการอ้างอิงแบบนี้ช่วยให้ AI สร้าง Knowledge Graph ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเว็บไซต์เราด้วย เพราะมีการอ้างอิงแหล่งที่มาที่มี Authority สูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือให้ Entity ของแบรนด์เราโดยตรง ส่งผลให้เวลา AI ต้องเลือกคำตอบไปแสดงผล ก็มีโอกาสสูงที่เว็บไซต์ของเราจะถูกเลือกก่อนเว็บอื่นๆ ได้ครับ

2. เพิ่มตัวเลขและสถิติที่น่าเชื่อถือ
AI ต้องการข้อมูลที่นำไปประมวลผลต่อได้ทันที การเสริมตัวเลข สถิติ และค่าต่างๆ ที่วัดผลได้จริง จึงกลายเป็นกลยุทธ์ GEO ที่ช่วยให้ AI มองว่าเนื้อหาของเรามีข้อมูลเชิงลึกและตรวจสอบได้ เช่น
- แทนที่จะเขียนว่า “คนใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นเรื่อยๆ”
- ให้เปลี่ยนเป็น “ผู้บริโภคกว่า 61% ใช้โซเชียลมีเดียค้นหาสินค้าก่อนซื้อ และ 43% ตัดสินใจซื้อเพราะคอนเทนต์จากแบรนด์”
- กรณีนำตัวเลขและสถิติมาจากที่อื่น อย่าลืมใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งข้อมูลนั้นด้วย (ตามที่แนะนำไปในข้อ 1)
AI ชอบข้อมูลแบบนี้มากครับ เพราะตัวเลขช่วยให้ระบบสามารถนำไปสร้างกราฟ วิเคราะห์แนวโน้ม หรือเปรียบเทียบเชิงสถิติได้ทันที มีสิทธิ์ที่ AI จะหยิบไปใช้เป็นหลักฐานประกอบในคำตอบ เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่มันสรุปมานั่นเองครับ
3. การใช้คำพูดอ้างอิงของผู้เชี่ยวชาญ
การนำคำพูดหรือแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญมาใส่ในคอนเทนต์ เป็นเหมือนกลยุทธ์ยืมความน่าเชื่อถือมาการันตีเนื้อหาของเรา ยิ่งมีการวิเคราะห์ต่อยอดในมุมมองของแบรนด์เองด้วย จะยิ่งทำให้คอนเทนต์ดูมีข้อมูลเชิงลึก มีเอกลักษณ์ที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ และยังมีความสำคัญในเรื่อง
- การสร้างเครือข่ายความน่าเชื่อถือ เพราะ AI จะเชื่อมโยงแบรนด์ของเราเข้ากับความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น
- หากนำแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์หรือต่อยอดได้อย่างถูกต้อง AI จะประเมินว่าแบรนด์เรามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างลึกซึ้ง
- AI จะจัดกลุ่มเว็บของคุณให้อยู่ในโซนคุณภาพสูงเช่นเดียวกับเว็บชั้นนำเหล่านั้น แยกตัวออกจากเว็บ Spam หรือเว็บคุณภาพต่ำอย่างชัดเจน
- AI ถูกโปรแกรมมาให้หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลผิด (Hallucination) การมีคำพูดผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่เป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันความถูกต้อง ทำให้ AI มั่นใจที่จะหยิบข้อมูลไปใช้ตอบผู้ใช้งาน
AI มีฐานข้อมูล (Knowledge Graph) เกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นอยู่แล้ว การอ้างอิงที่ถูกต้องจะส่งผลโดยตรงต่อโอกาสที่ AI จะเลือกเว็บเราก่อนคู่แข่ง เหมือนเป็นการบอก AI ว่า "ฉันเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับผู้เชี่ยวชาญนะ” ซึ่งคอนเทนต์ของแองก้าก็มักจะมีการอ้างอิงคำพูดของบุคคลที่อยู่ในบริษัทที่มีความน่าเชื่อและเกี่ยวข้องกับการทำ SEO อย่างบุคคลในทีม Google ด้วย

4. ความสดใหม่ของเนื้อหา
กลยุทธ์ทำ GEO ที่หลายคนอาจมองข้ามคือ การรักษาความสดใหม่ของข้อมูลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตคอนเทนต์เก่าให้ทันสถานการณ์ หรือการเพิ่มข่าวสารล่าสุดในอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำเพื่อให้คนอ่านเท่านั้น แต่เป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญไปยัง AI ว่าเว็บไซต์นี้ยังคง Active อยู่ โดยความสดใหม่นี้ส่งผลดีอย่างมากใน 3 มิติหลักๆ คือ
- สร้างความได้เปรียบในการจัดอันดับ (Ranking Boost)
Google และ AI Engine จะให้คะแนนพิเศษกับเว็บไซต์ที่มีการเคลื่อนไหวและปรับปรุงข้อมูลอยู่เสมอ ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับสูงกว่าคู่แข่งที่ปล่อยคอนเทนต์ทิ้งไว้หลายปีโดยไม่มีการอัปเดตอะไรเลย - เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีสำหรับระบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation)
ระบบการค้นหายุคใหม่อย่าง Google AI Overviews และ AI Mode จะดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สุดมาสร้างคำตอบ ซึ่งอัลกอริทึมจะให้ความสำคัญกับข้อมูลล่าสุดก่อนเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าคำตอบที่ได้จะไม่ตกยุค และเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดตามกาลเวลา - ความถูกต้องตามเวลา
สิ่งที่ AI ให้ความสำคัญสูงสุดคือ การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดจากข้อมูลที่ล้าสมัย เช่น กฎหมายเดิมที่ยกเลิกไปแล้ว หรือสถิติเก่าๆ ที่อาจใช้ไม่ได้จริงในปัจจุบัน ดังนั้น เว็บไซต์ที่มีข้อมูลอัปเดตล่าสุด AI จะมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ปลอดภัย และมีความเสี่ยงน้อยที่จะนำไปสู่การตอบผิด ส่งผลให้ AI เลือกข้อมูลของเราไปตอบผู้ใช้งานได้อย่างมั่นใจ
5. ถ่ายทอดเนื้อหาให้เข้าใจง่ายแต่น่าเชื่อถือ
ในยุค AI Search การเขียนคอนเทนต์ที่ดีไม่ใช่แค่ถูกต้อง แต่ต้องอ่านง่าย ชัดเจน และตีความได้ทันที เพราะ AI ชอบเนื้อหาที่ใช้ภาษาเข้าใจง่าย เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงการอธิบายแบบกำกวมและใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินความจำเป็น อีกทั้งสไตล์การเขียนที่เหมือนกำลังพูดคุยกับผู้ใช้งานอยู่จริงๆ ยังช่วยให้ AI จับประเด็นสำคัญได้เร็ว และทำให้ผู้อ่านรู้สึกอ่านเพลิน ใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บเรานานขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณ Engagement ที่บอก AI ชัดเจนว่า “บทความนี้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานจริง”
เพื่อให้เนื้อหาเข้าใจง่ายแต่ยังคงมีความน่าเชื่อถือ ควรคำนึงถึง
- การอธิบายด้วยตัวอย่างหรือ Bullet Points ช่วยให้ AI อ่านสแกนโครงสร้างได้ง่ายขึ้น
- การคุม Tone of Voice ให้มั่นใจ แสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ หลีกเลี่ยงคำว่า อาจจะ, น่าจะ, คิดว่า แต่ให้ใช้ภาษาที่ชัดเจน ฟันธง เมื่อเป็นข้อมูลข้อเท็จจริง
- การยึดหลัก E-E-A-T อย่างเคร่งครัด
- Experience: ให้ตัวอย่างจริงจากประสบการณ์การทำงานที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้
- Expertise: แสดงความรู้ที่ถูกต้องในฐานะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณ
- Authoritativeness: อ้างอิงข้อมูลจากองค์กรหรือผู้เชี่ยวชาญ
- Trustworthiness: เขียนข้อมูลที่ตรวจสอบได้และตรงไปตรงมา
ดังนั้น เนื้อหาที่ทั้งอ่านง่ายและน่าเชื่อถือ จะเพิ่มโอกาสอย่างมากที่เว็บไซต์ของคุณจะถูกเลือกขึ้นมาเป็นคำตอบใน AI Search ครับ
ปรับเว็บไซต์ให้เป็นแหล่งคำตอบของ AI ด้วยการทำ GEO
การทำ GEO คือหัวใจของการพัฒนาเว็บไซต์ในยุค AI Search เพราะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ AI เข้าใจว่าแบรนด์ของคุณคือใคร น่าเชื่อถือแค่ไหน และควรหยิบข้อมูลใดจากเว็บไซต์ไปสร้างคำตอบให้ผู้ใช้งาน การให้ความสำคัญทั้ง GEO และ SEO จึงเป็นกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้ โดยที่ SEO จะช่วยยึดพื้นที่บนหน้า SERP แต่ GEO จะพาแบรนด์คุณขึ้นไปแสดงเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่ AI เชื่อใจนั่นเองครับ
คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ของ ANGA (แองก้า) ยังได้แชร์อีกว่า
“ต้องเข้าใจว่า AI Search Engines แต่ละตัวไม่ได้ดึงข้อมูลจากเว็บใดเว็บหนึ่ง แต่ประมวลผลข้อมูลจำนวนมากแล้วสรุปให้ผู้ใช้งาน เพราะฉะนั้นคนทำ SEO จะต้องทำให้ AI เลือกเว็บไซต์ของเราด้วย ผ่านการทำ GEO ไปพร้อมๆ กัน เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ ก็จะช่วยเพิ่มการมองเห็น ดึงทราฟฟิกคุณภาพ และสร้างลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุค AI Search ครับ”










