วงการ Content Marketing ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในปี 2026 เพราะเทรนด์คอนเทนต์จะมุ่งเน้นไปที่ความจริงใจ ดูเรียล ดูสมจริง เพราะผู้ชมจะเริ่มเบื่อหน่ายกับอะไรที่ดูสมบูรณ์แบบเกินจริง เข้าถึงได้ยาก และมองหาคอนเทนต์ที่จับต้องได้ หรือหากจะใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ก็ต้องมีไอเดียที่สร้างสรรค์เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ชม เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือคนที่อยากสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำคอนเทนต์อะไรดี ผมแนะนำง่ายๆ ว่า เราจะต้องเลิกยึดติดกับแพทเทิร์นเดิมๆ แล้วหันมาสร้างสรรค์งานที่เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก หรือโชว์ความเป็นตัวเองหรือแบรนด์อย่างจริงใจ และนี่คือ 15 ไอเดียคอนเทนต์มาแรงปี 2026 ที่ผมคัดมาให้แล้วว่าเวิร์กแน่นอนครับ
ไอเดียคอนเทนต์วิดีโอลง Social Media
ในปี 2026 ไม่ว่าจะลงคอนเทนต์ใน TikTok, Reels หรือ Shorts กฎเหล็กที่ยังใช้ได้เสมอคือ คอนเทนต์ต้องสั้น ดึงดูด และเข้าประเด็นทันที เพราะพฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนเร็วมาก มีแค่ 3 วินาทีแรก ในการหยุดนิ้วโป้งคนดูให้ได้ ถ้าเปิดวิดีโอมาแล้วช้า เวิ่นเว้อ หรือภาพไม่น่าสนใจ ผู้ชมจะปัดผ่านทันที ดังนั้นหัวใจสำคัญ คือ การตัดต่อที่กระชับ ซับไตเติลที่อ่านง่าย และต้องส่งมอบคุณค่าหรือความบันเทิงตั้งแต่ต้นคลิป
1. คอนเทนต์มาแรง คอนเทนต์กระแส

คอนเทนต์เกาะกระแส (Real-time Content) ยังคงทรงพลังในทุกยุค แต่กฎสำคัญคือ ห้ามลอก ห้าม Copy-Paste อย่างเดียว สิ่งที่ควรทำคือ
- เลือกกระแสที่สอดคล้องกับแบรนด์
- เติมตัวตนและ Brand Voice ของแบรนด์ลงไป
- ใส่ไอเดียสร้างสรรค์หรือมุมมองที่แตกต่างจนคนต้องหยุดดู
คอนเทนต์มาแรง คอนเทนต์กระแส ช่วยเพิ่มการเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว ติดตามง่าย โอกาสไวรัลสูง ดึงความสนใจได้ทันที และช่วยให้แบรนด์ดูทันสมัยเชื่อมต่อผู้ชมได้อย่างเป็นธรรมชาติงเป็นธรรมชาติ
2. คอนเทนต์รีวิวสิ่งที่สนใจ
สำหรับปี 2026 คอนเทนต์รีวิวที่ได้ใจคนดูคือการรีวิวอย่างตรงไปตรงมา กล้าพูดถึงข้อดีข้อเสียแบบไม่อ้อมค้อม เพราะผู้ชมยุคนี้ฉลาดและดูออกครับว่าใครจริงใจ การที่คุณกล้าวิจารณ์แม้เพียงเล็กน้อย จะทำให้จุดเด่นที่คุณชมดูน่าเชื่อถือขึ้นทันที โดยสิ่งที่คนนิยมรีวิวและ Engagement ดีเสมอ ได้แก่
- รีวิวของกิน/ร้านอาหาร: เน้นบอกรสชาติจริงตามที่ได้กิน บรรยากาศร้าน ไม่ปรับสีหรือรีทัชอาหารจนเกินจริง เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนไปลองด้วยตัวเอง
- รีวิวที่เที่ยว/ที่พัก: ให้รายละเอียดเส้นทางการเดินทางแบบตรงไปตรงมา บอกราคาที่จ่ายจริง พร้อมแชร์ข้อควรระวังหรือจุดที่ควรรู้ก่อนเดินทาง เพื่อช่วยให้ผู้ชมตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ใครกำลังมองหาไอเดียทำคอนเทนต์ TikTok อะไรดี บอกเลยว่า คอนเทนต์รีวิวแบบจริงใจจะทำให้ผู้ชมรู้สึกไว้ใจและพร้อมกดติดตามมากขึ้นครับ
3. Vlog ชีวิตจริง
คอนเทนต์แนว Vlog ยังไม่หายไปไหน แต่ในปี 2026 Vlog ที่ Setup ทุกอย่างให้ดูสมบูรณ์แบบจนเกินไป อาจดึงดูดคนดูได้ไม่เท่า Vlog ที่ดูสมจริง อย่างการถ่าย Vlog ชีวิตประจำวันด้วยมือถือ ปล่อยให้เห็นความผิดพลาดบ้าง หน้าสดบ้าง หรือเห็นความวุ่นวายในชีวิตแต่ละวันแบบไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์ ซึ่งความเป็นธรรมชาติเหล่านี้จะช่วยลดระยะห่างระหว่าง Creator กับผู้ชมได้เป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขารู้สึกเข้าถึงได้ และอยากติดตามชีวิตของคุณจริงๆ จนกดติดตาม
4. คอนเทนต์ POV
ไอเดียการทำคอนเทนต์โดนๆ แนว POV (Point of View) คือการจำลองสถานการณ์เพื่อให้คนดูรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นั้น หรือรู้สึกอินไปกับมัน ทริคสำคัญคือต้องสะท้อน Insight ที่ตรงใจคนดู เช่น
- POV: เมื่อคุณต้องแก้งานลูกค้าตอนลาพักร้อน (สะท้อนชีวิตคนทำงาน)
- POV: เพื่อนที่บอกไม่มีเงินแต่ชวนเที่ยวไม่หยุด (สะท้อนเรื่องตลกร้ายในชีวิตจริง)
คอนเทนต์แนวนี้มักจะออกมาในรูปแบบตลกขบขัน แต่แฝงไปด้วยเรื่องจริงที่ทุกคนเคยเจอ ทำให้เกิดการแชร์และคอมเมนต์พูดคุยกัน จึงเป็นวิธีเพิ่มเอนเกจเมนต์ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
5. Behind the Brand
การสร้างแบรนด์ยุคนี้ต้องมี Storytelling ครับ และไม่มีเรื่องราวไหนน่าสนใจเท่าเบื้องหลัง การโชว์ขั้นตอนการทำงาน เช่น
- การเลือกวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน
- บรรยากาศการแพ็คของที่วุ่นวายช่วงแคมเปญ
- หรือการประชุมทีมที่มีการถกเถียงเรื่องงานกันจริงๆ
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความโปร่งใสของแบรนด์ ทำให้ลูกค้าไม่ได้มองเห็นแค่สินค้า แต่มองเห็นทีมที่ทำงานจริงๆ ซึ่งจะช่วยสร้าง Brand Loyalty ได้ในระยะยาวด้วยครับ
6. คอนเทนต์ Tips

คนบน Social Media ชอบสิ่งที่ให้ผลลัพธ์แบบรวดเร็ว หรือเคล็ดลับที่ทำแล้วเห็นผลไว ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้เวลาเยอะ คอนเทนต์ Tips จึงต้องเป็นไอเดียสั้นๆ กระชับ และนำไปใช้ได้จริงทันที เช่น
- 5 เทคนิค หนี Leads ผีบน Facebook
- 5 เทคนิค ทำ SEM ให้ได้ลูกค้าจริง
- 3 วิธีแก้ปวดคอ บ่า ไหล่ ทำง่ายๆ ที่ออฟฟิต
สิ่งสำคัญคือ Visual ต้องชัดเจน ภาพหรือวิดีโอต้องบอกได้เลยว่า ทำแบบนี้แล้วได้ผลลัพธ์แบบไหน ยิ่งเคล็ดลับมีประโยชน์ เข้าใจง่าย และใช้เวลาไม่นาน โอกาสที่คนจะกด Save และ Share ก็ยิ่งพุ่งสูงครับ
7. คอนเทนต์ Life Hack
หลายคนอาจสับสนระหว่าง Tips กับ Life Hack ว่าต่างกันยังไง ในเชิงการตลาด Tips คือคำแนะนำทั่วไปที่ทำตามได้ทันที แต่ Life Hack คือ วิธีลัด ที่ช่วยแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด แปลกใหม่ และมักเป็นสิ่งที่ผู้ชมยังไม่เคยรู้มาก่อน เช่น
- ใช้คลิปหนีบกระดาษจัดระเบียบสายไฟ
- ปอกเปลือกไข่ต้มใน 3 วินาที
คอนเทนต์ประเภทนี้สร้าง Engagement ได้สูงมาก เพราะกระตุ้นให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ และมักแชร์หรือแท็กเพื่อนทันที เพิ่มโอกาสที่คลิปจะไวรัลได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยครับ
8. คอนเทนต์ Podcast
หากต้องการสื่อสารเนื้อหาที่ละเอียดและลงลึกมากขึ้น Video Podcast คือรูปแบบคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ที่สุด เพราะผู้ชมยุคนี้นิยมดู Podcast แบบเห็นหน้าพูดคุย ทำให้เข้าถึงง่ายและเชื่อมโยงกับผู้พูดได้ดียิ่งขึ้น คอนเทนต์แบบนี้เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องเชิงลึกเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือองค์ความรู้เฉพาะทางของเรา (Niche Knowledge) ช่วยสร้าง Authority ทำให้แบรนด์ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง น่าเชื่อถือ และแตกต่างจากคู่แข่งได้ด้วยครับ
9. คอนเทนต์แสดง React
การทำคอนเทนต์ React กับคลิปที่เราสนใจกำลังได้รับความนิยม เพราะช่วยให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมทันที แต่การทำ React ที่ดีไม่ใช่แค่ดูไปหัวเราะไปเท่านั้น แต่ต้องเพิ่มคุณค่าลงไปเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล แชร์ความเชี่ยวชาญหรือให้ข้อมูลที่ผู้ชมได้ประโยชน์จริงๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เมื่อผู้ชมรู้สึกว่าได้ทั้งความรู้และความบันเทิง คอนเทนต์ประเภทนี้จะยิ่งสร้าง Engagement และเพิ่มการติดตามได้เป็นอย่างมากครับ
10. คอนเทนต์ที่ใช้ AI สร้าง
สร้างสรรค์และการกำกับทิศทางของมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลัง การใช้ AI เจนภาพหรือวิดีโอแบบทื่อๆ จะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ เมื่อเทียบกับการออกแบบให้ AI สร้างภาพหรือวิดีโอที่แปลกใหม่ เหนือจินตนาการ หรือเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง ทำให้คอนเทนต์โดดเด่นตั้งแต่เฟรมแรก คอนเทนต์ที่ใช้ AI สร้าง จึงช่วยเพิ่ม Engagement ได้ด้วยการทำให้ผู้ชมอยากคอมเมนต์ ตั้งคำถาม แชร์ต่อ หรือชวนเพื่อนมาดู เพราะรู้สึกทึ่งกับไอเดียและอยากมีส่วนร่วมกับสิ่งที่เห็นมากขึ้น
ไอเดียคอนเทนต์ลง Website
การทำคอนเทนต์ลงเว็บในปี 2026 นี้ เราจะไม่ได้ทำเพื่อเอาใจ Google Algorithm เท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึง AI Search ด้วย คอนเทนต์ต้องออกแบบให้ AI เข้าใจได้ง่าย และสามารถนำไปสรุปเป็นคำตอบให้ผู้ใช้งานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน นั่นหมายความว่าบทความต้องมีข้อมูลเชิงลึก อธิบายชัดเจน และแสดงความเชี่ยวชาญมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับไอเดียคอนเทนต์ลง Website ในปี 2026 ที่ผมแนะนำ คือ
11. คอนเทนต์ How-to

ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอหรือบทความ How-to ในยุคนี้ ต้องยกระดับจากข้อมูลพื้นฐานไปสู่คู่มือเชิงลึกแบบผู้เชี่ยวชาญที่นำไปใช้งานได้จริง เหมือนกับบทความของแองก้าเรื่อง 10 วิธีสอนทำ SEO เว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google ที่มีองค์ประกอบสำคัญของการทำคอนเทนต์ลง Website ในปี 2026 ดังนี้
- การอธิบายแบบ Step-by-step แตกเป็นขั้นตอนให้ชัดเจน พร้อมภาพประกอบหรือคลิปสาธิต เพื่อให้ผู้ชมทำตามได้ทันที
- แทรก Insight จากประสบการณ์จริง เช่น ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักเจอ, สาเหตุของปัญหา หรือวิธีแก้ไขในสถานการณ์จริง
- เพิ่มเทคนิคเฉพาะทาง เช่น เคล็ดลับที่ช่วยลดเวลา, เพิ่มประสิทธิภาพ หรือแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อคอนเทนต์ How-to ให้ทั้งวิธีทำและวิธีแก้ปัญหาได้จริง จะช่วยยกระดับให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Authority) และเพิ่มโอกาสให้คอนเทนต์ถูกอ้างอิงบน AI Search มากขึ้นด้วย
12. คอนเทนต์ FAQ
การทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ โดยเฉพาะหน้า FAQ ถือเป็นเครื่องมือปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรวบรวมคำถามที่พบบ่อยจากลูกค้าและตอบอย่างชัดเจน จะช่วยลดภาระแอดมิน ลดข้อกังวลก่อนตัดสินใจซื้อ และเสริมความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ด้วย สิ่งสำคัญคือการจัดหมวดหมู่ให้เข้าใจง่าย เช่น
- การสั่งซื้อและการจัดส่ง
- การรับประกันและการเคลมสินค้า
- วิธีการดูแลรักษา
แนะนำให้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเหมือนกำลังคุยกับลูกค้าอยู่จริงๆ และอัปเดตคำถามใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งคอนเทนต์ที่อยู่ในรูปแบบถาม–ตอบนี้ ยังเป็นโครงสร้างที่ AI Search ชอบ ทำให้เนื้อหามีโอกาสดึงไปแสดงเป็นคำตอบบน AI Search ที่จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและสร้าง Conversion ได้พร้อมกันในหน้าเดียว
13. คอนเทนต์เปรียบเทียบข้อมูล
คอนเทนต์ประเภทเปรียบเทียบข้อมูล (Comparison Content) เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยผู้บริโภคตัดสินใจเป็นอย่างมาก เพราะพฤติกรรมผู้ซื้อทุกวันนี้ต้องการข้อมูลที่ชัดเจนก่อนเลือกสินค้าเสมอ โดยรูปแบบคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ ตารางเปรียบเทียบสเปก ฟีเจอร์ ระหว่างรุ่นเก่า–รุ่นใหม่ หรือการเปรียบเทียบสินค้าของเรากับมาตรฐานตลาด จุดสำคัญที่สุดคือ ความโปร่งใสของข้อมูล
- ต้องนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง
- หลีกเลี่ยงการโจมตีคู่แข่ง
- นำเสนอ Unique Selling Point (USP) ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดีกว่า
การจัดข้อมูลให้อ่านง่ายโดยใช้ตารางเปรียบเทียบหรือ Infographic จะช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นความแตกต่างทันที เพิ่มทั้งความเข้าใจและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในเวลาเดียวกันครับ
14. คอนเทนต์จากประสบการณ์จริง
ในสภาพแวดล้อมที่ข้อมูลล้นตลาดและคล้ายกันไปหมด สิ่งที่จะทำให้คอนเทนต์ของเราแตกต่างคือ การสร้างความไว้วางใจ ซึ่งคอนเทนต์ที่มาจากประสบการณ์จริงเนี่ยแหละครับ จะเป็นคอนเทนต์มาแรงในปี 2026 เช่น Case Study, Customer Interview, หรือบทความที่อ้างอิง First-party Data (ข้อมูลที่ธุรกิจเก็บเองจากลูกค้าโดยตรง) เคล็ดลับสำคัญคือ การเล่าเรื่องด้วยโครงสร้าง Problem → Solution → Result
- ลูกค้ากำลังเจอปัญหาอะไร
- เราแก้ปัญหานั้นด้วยวิธีไหน
- ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร (ถ้ามี ตัวเลข Data-driven ยืนยัน จะยิ่งเพิ่มน้ำหนักความเชื่อถือได้)
คอนเทนต์ลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็น Social Proof ที่จะช่วยโน้มน้าวใจผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสที่ AI Search จะหยิบข้อมูลของคุณขึ้นไปแสดงเป็นคำตอบอีกด้วยครับ
15. คอนเทนต์ให้ความรู้
Evergreen Content หรือคอนเทนต์ให้ความรู้ ยังคงเป็นหนึ่งในประเภทคอนเทนต์ที่ควรต้องทำต่อไปในปี 2026 เพราะเป็นเนื้อหาที่ไม่มีวันหมดอายุ และยังสร้างทราฟฟิกได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว โดยคอนเทนต์กลุ่มนี้ครอบคลุมทั้ง
- บทความวิเคราะห์เทรนด์ในวงการ
- ความรู้เชิงลึกแบบ Technical / Industry Insight
- มุมมองเชิงกลยุทธ์หรือ Thought Leadership
หน้าที่ของ Evergreen Content คือการสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์กลายเป็น ผู้นำทางความคิด และแหล่งข้อมูลที่ผู้บริโภคไว้วางใจ เมื่อลูกค้าเชื่อถือในองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของคุณ พวกเขาก็จะเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของคุณโดยอัตโนมัติครับ
กลยุทธ์เพิ่ม Engagement ปี 2026 ที่แบรนด์ต้องใช้ให้เป็น
สำหรับเคล็ดลับเพิ่ม Engagement ในปี 2026 ที่ผมอยากจะบอกเลยก็คือ การออกแบบคอนเทนต์ให้เข้าถึงง่ายและใกล้ชิดกับผู้ชมมากกว่าเดิม ควรใช้ Community Reply ผ่านการตอบคอมเมนต์เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ขณะเดียวกันควรต่อยอดบทความบนเว็บไซต์ให้กระชับเป็น Infographic หรือ Carousel สำหรับกระจายบนแพลตฟอร์มอื่น เพื่อเพิ่มการมองเห็นในหลายช่องทาง และอย่าลืมใส่ Subtitle ในทุกวิดีโอเพื่อรองรับพฤติกรรมการดูแบบไม่เปิดเสียง สิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับทั้ง Reach และ Engagement ได้พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพแน่นอนครับ










