เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนักการตลาดและคนทำงานยุคใหม่ ต้องยอมรับว่า ChatGPT กับ Gemini เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่สุดเลยก็ว่าได้ หลายคนที่ใช้เวอร์ชันฟรีเริ่มรู้สึกว่า ถ้าจ่ายเงินอาจจะใช้ได้เต็มประสิทธิภาพกว่านี้มั้ยนะ? แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะจ่ายเงินให้ AI ตัวไหนดี? มาวิเคราะห์ไปพร้อมกันผ่านมุมมองของนักการตลาดที่ต้องใช้ AI ทำงานจริงๆ เพื่อหาคำตอบว่าระหว่าง ChatGPT กับ Gemini ควรจ่ายเงินให้ค่ายไหนคุ้มที่สุด
เจาะลึก ChatGPT กับ Gemini ต่างกันอย่างไร
หากถามว่า AI ตัวไหนดีสุดหรือดีกว่ากัน ผมมองว่า คำว่า "ดีกว่า" อาจไม่สำคัญเท่ากับคำว่า "เหมาะกว่า" เพราะหลักการสำคัญในการเลือก AI มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคนวัยทำงานก็คือ ลักษณะของงานที่ทำและข้อมูลที่ต้องการ เพราะ AI Search Engine แต่ละตัวถูกเทรนมาต่างกันและมีแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกันด้วย ส่งผลให้คำตอบ AI แต่ละตัวไม่เหมือนกันทั้งเรื่องภาษาและข้อมูลที่ได้ ซึ่ง ChatGPT กับ Gemini ชาว Pantip ก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันว่า

มาเจาะลึกกันครับว่า Gemini กับ ChatGPT ต่างกันอย่างไรบ้าง?
ChatGPT พัฒนาโดย OpenAI

ChatGPT ถือเป็นผู้บุกเบิกที่สร้างมาตรฐานให้วงการ AI Chatbot โดยแหล่งข้อมูลของ ChatGPT มาจากการที่ OpenAI เทรนโมเดลด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล ทั้งจากแหล่งสาธารณะ ข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์ ข้อมูลที่สร้างขึ้นเฉพาะเพื่อการสอน (Synthetic Data) และข้อมูลจากพันธมิตร ทำให้มันมีคลังความรู้ที่กว้างมาก สำหรับนักการตลาดควรรู้ว่า ข้อมูลบางส่วนของ ChatGPT อาจไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์เมื่อเทียบกับ Gemini เว้นแต่ในบางรุ่นครับ
โทนภาษาและสไตล์การตอบของ ChatGPT
โทนภาษาของ ChatGPT ค่อนข้างมีความยืดหยุ่น มันสามารถปรับเปลี่ยนโทนแอนด์มู้ดได้ตามคำสั่ง (Prompt) อยากได้บทความวิชาการจ๋าๆ, สคริปต์โฆษณาสุดครีเอทีฟ, หรืออีเมลตอบลูกค้าแบบสุภาพ ก็ทำได้หมด
จากประสบการณ์ใช้งาน ผมยกให้ ChatGPT เป็นที่หนึ่งในเรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์และการวิเคราะห์เชิงลึก มันเหมาะมากกับการร่างบทความยาวๆ (Long-form Content), คิดไอเดียแคมเปญการตลาด, หรือแม้แต่งานที่ซับซ้อนอย่างการเขียนโค้ด หรือวิเคราะห์สคริปต์ขั้นสูง
จุดเด่นที่น่าสนใจของ ChatGPT
จุดเด่นของ ChatGPT ไม่ได้อยู่แค่ความฉลาดของโมเดล แต่คือ Ecosystem ที่ครบเครื่องและยืดหยุ่นมากไม่ว่าจะเป็น
- Custom GPTs (หรือ Plugins เดิม) ผู้ใช้สามารถสร้างผู้ช่วย AI เฉพาะทางได้เอง เช่น GPT สำหรับวิเคราะห์คีย์เวิร์ด SEO หรือสร้าง Persona ลูกค้าเฉพาะแบรนด์ ทำให้การทำงานสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
- Multimodal รองรับข้อมูลได้หลายรูปแบบ ทั้งข้อความ รูปภาพ และเสียง เช่น ส่งภาพหน้าเว็บให้วิเคราะห์ UX/UI ได้ทันที
- Integration ผ่าน Third-party เชื่อมต่อเครื่องมือยอดนิยมอย่าง Slack, Google Drive หรือระบบอื่นๆ ได้ ช่วยให้ ChatGPT กลายเป็นศูนย์กลางการทำงานในยุค AI ได้อย่างแท้จริงครับ
ChatGPT มีแบบไหนบ้าง ราคาต่อเดือนเท่าไหร่ (ข้อมูลอัปเดตปี 2568)

เลือก ChatGPT อันไหนดี? ปัจจุบันมีหลายแผนให้เลือกตามระดับการใช้งาน ตั้งแต่สำหรับบุคคลทั่วไป (Personal) ไปจนถึงระดับองค์กร (Business) โดยแต่ละเวอร์ชันมีความแตกต่างกันในด้านความสามารถของโมเดล, สิทธิ์การเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ และนโยบายความปลอดภัยของข้อมูล ดังนี้
- ChatGPT Free
เป็นแผนบริการพื้นฐานที่ไม่มีค่าใช้จ่าย เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ผู้ใช้สามารถเข้าถึงโมเดล GPT-5 ได้ แต่จะมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น จำกัดการอัปโหลดไฟล์, การสร้างรูปภาพที่ช้ากว่าและมีจำนวนจำกัด, รวมถึงจำกัดหน่วยความจำ, บริบทในการสนทนา และจำกัดการค้นคว้าเชิงลึก
- ChatGPT Go ราคา 259 บาทต่อเดือน
แพ็กเกจ Go เป็นแผนใหม่ล่าสุด ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์ยอดนิยมได้มากขึ้น เข้าถึงโมเดล GPT-5 ได้ดีขึ้น สามารถส่งข้อความและอัปโหลดไฟล์ได้เพิ่มขึ้น, สร้างรูปภาพได้เร็วขึ้นและมากขึ้น, มีหน่วยความจำและบริบทที่ยาวนานขึ้นสำหรับการสนทนา และสามารถใช้งาน Projects, Tasks และ Custom GPTs ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม แผนนี้ยังคงจำกัดการค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก
- ChatGPT Plus ราคา 699 บาทต่อเดือน
เข้าถึงโมเดล GPT-5 พร้อมความสามารถในการให้เหตุผลขั้นสูง (Advanced Reasoning) รวมถึงการส่งข้อความและอัปโหลดไฟล์ที่เพิ่มขึ้น, การสร้างรูปภาพที่เร็วขึ้นและมากขึ้น, หน่วยความจำและบริบทที่ขยายใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ยังปลดล็อกการค้นคว้าเชิงลึก และโหมดเอเจนต์ (Agent Mode) อย่างเต็มที่ สามารถใช้งาน Projects, Tasks, Custom GPTs และยังได้เข้าถึงฟีเจอร์ใหม่อย่างการสร้างวิดีโอ Sora และ Codex Agent ด้วย
- ChatGPT Pro ราคา 6,999 บาทต่อเดือน
เข้าถึงทุกความสามารถที่ดีที่สุดของ ChatGPT อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้จะได้รับ GPT-5 พร้อมการให้เหตุผลระดับโปร, สามารถส่งข้อความและอัปโหลดไฟล์ได้ไม่จำกัด, สร้างรูปภาพได้ไม่จำกัดและรวดเร็วยิ่งขึ้น, ได้รับหน่วยความจำและบริบทในระดับสูงสุด (Maximum) รวมถึงการค้นคว้าเชิงลึกและโหมดเอเจนต์ในระดับสูงสุดเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้ใช้งาน Projects, Tasks, Custom GPTs, การสร้างวิดีโอ Sora และ Codex Agent ที่เก่งขึ้นไปอีกขั้น และยังได้สิทธิ์ทดลองใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ก่อนใคร (Research Preview)
Gemini พัฒนาโดย Google

Gemini ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประมวลผลและทำความเข้าใจข้อมูลในแบบที่ Google ถนัดอยู่แล้ว โดยมีแหล่งข้อมูลจำนวนมหาศาลเป็นของตัวเอง ทั้งจากเว็บไซต์ที่ Google เข้าไปจัดทำดัชนี (Indexing), ชุดข้อมูลที่ได้รับอนุญาต และฐานข้อมูลเชิงลึกอย่าง Knowledge Graph นอกจากนี้ Gemini ยังเชื่อมต่อโดยตรงกับ Google Search และ Google Workspace ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สุดของระบบนี้ ทำให้ชาวออฟฟิตหลายคนเทใจไปให้ Gemini จำนวนมาก
คุณปิยวัฒน์ ทรัพย์สินดำรง | Senior SEO Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทำ SEO ของ ANGA (แองก้า) ได้แชร์ว่า
“ในมุมของเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ ผมมองว่า Gemini คือเครื่องมือที่ตอบโจทย์สุดๆ เพราะมันดึงข้อมูลจากเว็บต่างๆ บน Google ได้แบบเรียลไทม์ ข้อมูลที่ให้มามักจะสดใหม่และมีแหล่งอ้างอิงชัดเจน ซึ่งสำคัญมากเวลาทำ SEO หรือวิเคราะห์ตลาด เราไม่ต้องเสียเวลาหาข้อมูลบางอย่างด้วยตัวเองทีละหน้าเว็บ แค่พิมพ์ถามมันก็สรุปข้อมูลล่าสุดมาให้ครบ เหมือนมีผู้ช่วยรีเสิร์ชเก่งๆ อยู่ข้างตัวตลอดเวลาเลยครับ”
โทนภาษาและสไตล์การตอบของ Gemini
สไตล์การตอบของ Gemini ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานในยุคนี้ที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำ จึงเน้น "ความกระชับ ตรงประเด็น และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง (Data-Driven)" เพื่อเป็นผู้ช่วยในการทำงานโดยเฉพาะสายการตลาด (Marketing), เทคโนโลยี (Technology), และการวิจัย (Research) ที่ต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง ตรวจสอบได้ และนำไปใช้ได้ทันที
จุดเด่นที่น่าสนใจของ Gemini
จุดขายของ Gemini เลยก็คือ "Google Ecosystem Integration" รวมเอา Gemini ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องมือที่เราใช้ทำงานอยู่แล้วทุกวันอย่าง
- Google Workspace (Docs/Sheets/Drive): คุณสามารถสั่งให้ Gemini ช่วยร่างอีเมลใน Gmail, สรุปข้อมูลใน Google Docs, หรือแม้แต่วิเคราะห์ Data ใน Google Sheets ได้โดยตรง
- Grounding with Google Search: สามารถตรวจสอบข้อมูลกับ Google Search แบบ Real-time ช่วยลดอาการหลอน (Hallucination) หรือการสร้างข้อมูลที่ดูเหมือนจะจริงแต่กลับไม่มีแหล่งอ้างอิง หรือเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด
Gemini มีแบบไหนบ้าง ราคาต่อเดือนเท่าไหร่ (ข้อมูลอัปเดตปี 2568)

- Google AI Plus ราคา 189 บาทต่อเดือน (ราคาปกติ)
เป็นแผนเริ่มต้นที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย AI ได้สิทธิ์เข้าถึง Gemini 2.5 Pro และ Deep Research 2.5 Pro รวมถึง Veo 3.1 (lite) สำหรับสร้างวิดีโอ พร้อม 200 เครดิต AI สำหรับสร้างภาพด้วย Flow และ Whisk นอกจากนี้ยังได้ใช้ NotebookLM และ Gemini ที่ผสานใน Gmail, Docs พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูล 200 GB
- Google AI Pro ราคา 750 บาทต่อเดือน (ราคาปกติ)
เหมาะสำหรับมืออาชีพและนักพัฒนาที่ต้องการเครื่องมือขั้นสูงขึ้น โดยยังคงได้ Gemini 2.5 Pro และ Veo 3.1 (lite) แต่เพิ่มเครดิต AI เป็น 1,000 เครดิตสำหรับ Flow และ Whisk ที่มีความสามารถสูงขึ้น จุดเด่นคือการเข้าถึง Gemini Code Assist ขั้นสูงสำหรับ CLI/IDE, เอเจนต์อัจฉริยะ Jules และได้พื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ถึง 2 TB
- Google AI Ultra ราคา 9,400 บาทต่อเดือน (ราคาปกติ)
แผนบริการขั้นสูงสุดที่มอบประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดจาก Google ได้ใช้โมเดลล่าสุดอย่าง Gemini 3.1 และ Deep Think, รับเครดิต AI มากถึง 25,000 เครดิตสำหรับ Flow และ Whisk (Veo 3) รวมถึง Code Assist และ Jules เวอร์ชันขั้นสูง ที่พิเศษคือแผนนี้จะมี YouTube Premium ให้ด้วย และพื้นที่เก็บข้อมูลขนาด 30 TB เลยครับ
ตารางสรุปราคา ChatGPT กับ Gemini
| ChatGPT | Gemini (ราคาปกติ) |
| ChatGPT Go ราคา 259 บาทต่อเดือน | Google AI Plus ราคา 189 บาทต่อเดือน |
| ChatGPT Plus ราคา 699 บาทต่อเดือน | Google AI Pro ราคา 750 บาทต่อเดือน |
| ChatGPT Pro ราคา 6,999 บาทต่อเดือน | Google AI Ultra ราคา 9,400 บาทต่อเดือน |
จ่ายเงินให้ AI ตัวไหนดีถึงจะคุ้มค่าที่สุดสำหรับคนทำงานยุคนี้
สุดท้ายแล้ว การเลือกใช้ ChatGPT หรือ Gemini ให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า AI ตัวไหนเก่งสุด แต่ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและลักษณะข้อมูลที่คุณต้องการมากกว่า สำหรับคนทำงานโดยเฉพาะสายการตลาด อาจเริ่มจากการลองใช้แพ็กเกจพื้นฐานหรือเวอร์ชันฟรีก่อน เพื่อดูว่า AI ตัวนั้นช่วยให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นจริงมั้ย จากนั้นค่อยพิจารณาอัปเกรดเป็นแพ็กเกจอื่นๆ ที่ตอบโจทย์มากขึ้น หรือใช้ควบคู่กันไปทั้งสองตัวก็ได้ เพราะบางครั้งความคุ้มค่าไม่ได้มาจากเครื่องมือที่แพงที่สุด แต่อยู่ที่เรารู้จักเลือกใช้ให้ตรงกับเป้าหมายของงานต่างหากครับ






