
Copywriting คืออะไร พร้อมแนมตัวอย่างและเทคนิคการเขียน 2025
สงสัยไหมว่าทำไมโฆษณาที่แบรนด์ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ถึงกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายคล้อยตามและตัดสินใจซื้อสินค้าได้? นอกเหนือจากรูปภาพที่น่าสนใจ วิดีโอที่ดึงดูดความสนใจ เนื้อหาที่ตอบโจทย์แล้ว คงไม่พ้นฝีไม้ลายมือในการเขียน Copywriting แน่นอน ซึ่ง Copywriting คือข้อความที่แบรนด์ใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย บอกสิ่งที่อยากให้พวกเขารับรู้ หรือเขียนสิ่งที่อยากให้พวกเขากระทำ เน้นประโยคสั้น ๆ กระชับ แต่ติดหูและจำได้ง่าย อย่าง “บิด ชิมครีม จุ่มนม” ของ Oreo (โอรีโอ้) ขนมคุกกี้ชื่อดังที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลอยู่ว่า Copywriting คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการทำธุรกิจ และ Copywriting ต่างจาก Content Writing อย่างไร บทความนี้มีเฉลย! ไม่เพียงแค่นั้น ANGA (ดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านบริการรับทำ SEO) ยังจะมาแนะนำบอกต่อเทคนิคในการเขียน Copywriting ให้ปัง กระตุ้นคลิกแบบรัว ๆ ให้ทราบกันด้วย ถ้าพร้อมแล้ว เราไปลุยกันได้เลย
Copywriting คืออะไร
Copywriting คือศิลปะการเขียนเนื้อหาที่มีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อ่านเกิดการตอบสนองตามที่ผู้เขียนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกลิงก์ กดสั่งซื้อสินค้า สมัครรับอีเมล ฯลฯ ซึ่งการเขียน Copywriting ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในจิตวิทยาผู้บริโภค สามารถใช้คำที่กระชับ ตรงใจ และกระตุ้นอารมณ์ เพื่อสร้างความสนใจและความต้องการในสินค้าหรือบริการได้ โดยในปัจจุบัน Copywriting ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายช่องทาง ทั้ง Offline Marketing และ Online Marketing อย่าง Social Media, เว็บไซต์, คำโฆษณา Google Ads และคำโฆษณา Facebook Ads
Copywriting สำคัญอย่างไร
แบรนด์จะเติบโตได้ ไม่ใช่แค่มีสินค้าหรือบริการที่ดี แต่ต้องมีการทำการตลาดที่มีคุณภาพและถูกจุดด้วย ซึ่ง Copywriting มีบทบาทสำคัญมากในการทำการตลาด เพราะมันเป็นเครื่องมือที่แบรนด์ใช้สื่อข้อความไปยังกลุ่มเป้าหมาย แม้จะเป็นคำไม่กี่คำหรือประโยคสั้น ๆ ก็จะช่วยให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้
- ดึงดูดความสนใจ คนเราใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการตัดสินใจว่าจะอ่านต่อหรือไม่ การเขียน Copywriting ที่ดึงดูดความสนใจได้ทันทีจะช่วยให้ลูกค้าสนใจแบรนด์คุณมากขึ้น ประโยคสั้น ๆ ที่ปังจะน่าสนใจกว่าข้อความยาว ๆ น่าเบื่อ
- ทำให้แบรนด์จดจำง่าย ลองนึกถึงสโลแกนดังๆ ที่คุณจำได้ ส่วนใหญ่มักเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ติดหู ทำให้นึกถึงแบรนด์นั้นได้ทันที นี่คือพลังของ Copywriting ที่ดี มันช่วยสร้างความจดจำและทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์คุณก่อนคู่แข่ง
- ไม่เสียเวลา ลูกค้าไม่มีเวลามานั่งอ่านบทความ SEO ยาว ๆ Copywriting ช่วยบอกจุดขายสำคัญได้ในเวลาอันสั้น ทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าสินค้าคุณมีดีอะไรโดยไม่ต้องใช้เวลานาน
- เจาะกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำ การเลือกใช้คำที่ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้ลูกค้าที่ใช่รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ เช่น ถ้าขายของวัยรุ่น ก็ใช้คำฮิต คำเท่ ๆ ทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่านี่แหละที่พวกเขากำลังมองหา
- กระตุ้นให้ซื้อเร็วขึ้น Copywriting จะทำให้ลูกค้าอยากซื้อ อยากลองใช้ มีการกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรีบตัดสินใจ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายได้ดีกว่าการให้ข้อมูลเฉย ๆ ทั่วไป
ตัวอย่าง Copywriting
- ยาดมตราโป๊ยเซียน “ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกัน”
- M150 “ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย”
- Bar-B-Q Plaza “ตัวจริง อร่อยจริง เรื่องปิ้งย่าง”
- Oriental Princess “ผู้หญิงอย่าหยุดสวย”
- กระทิงแดง “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน”
- Apple “Think Different”
- Nike “Just Do It”
- KFC “Finger Lickin’ Good”
ประเภทของ Copywriting
- Direct Response Copywriting เน้นกระตุ้นให้ผู้อ่านทำอะไรบางอย่างทันที เช่น คลิกซื้อ กรอกข้อมูล หรือโทรหา มักมีข้อความชัดเจนว่าอยากให้คนอ่านทำอะไร (Call to Action) เช่น “สั่งเลยวันนี้” “ลงทะเบียนตอนนี้” เหมาะกับโฆษณาที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว
- Brand Copywriting มุ่งสร้างภาพลักษณ์และความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ มากกว่าเน้นขายของ ช่วยให้แบรนด์มีเอกลักษณ์และสร้างความจดจำ เช่น สโลแกน แคมเปญสร้างการรับรู้ เนื้อหามักสั้น กระชับ และจดจำง่าย
- SEO Copywriting เขียนเพื่อให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา มีการวางคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม แต่ยังคงอ่านง่ายและเป็นธรรมชาติ ต้องเข้าใจทั้งพฤติกรรมผู้อ่านและกลไกของ Google ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหายาวที่ให้ข้อมูลมีประโยชน์
- Social Media Copywriting เขียนสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ต้องสั้น กระชับ ดึงดูดความสนใจได้เร็ว เนื่องจากคนเลื่อนผ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็ว ต้องเข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น Twitter (X) ต้องสั้นมาก Instagram เน้นภาพประกอบ
- Storytelling Copywriting เล่าเรื่องราวเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์ เน้นสร้างประสบการณ์และความรู้สึกร่วม แบรนด์ใหญ่มักใช้วิธีนี้เพื่อให้คนจดจำและผูกพัน ไม่เน้นขายของโดยตรง แต่ให้คนซึมซับคุณค่าและเรื่องราวของแบรนด์
- Technical Copywriting อธิบายข้อมูลทางเทคนิคให้เข้าใจง่าย มักใช้กับสินค้าซับซ้อนหรือเทคโนโลยีขั้นสูง ต้องรักษาสมดุลระหว่างความถูกต้องทางเทคนิคและความเข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
- Email Copywriting เขียนเพื่อส่งถึงผู้รับโดยตรงผ่านอีเมล ทั้งจดหมายข่าว อีเมลโปรโมชัน หรือแคมเปญนำเสนอขาย ต้องมีหัวเรื่องที่ดึงดูดให้เปิดอ่าน และเนื้อหาที่น่าสนใจให้อ่านต่อจนจบ เป็นช่องทางที่ส่วนตัวกว่าสื่ออื่น ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับผู้รับ
Copywriting ต่างจาก Content Writing อย่างไร
Content Writing คือการเขียนเนื้อหาที่เน้นให้ข้อมูลและความรู้แก่ผู้อ่าน มักเป็นบทความยาว ๆ ที่มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น บทความ SEO คู่มือการใช้งาน หรือบทความวิชาการ ตัวอย่างเช่น “วิธีดูแลผิวในหน้าร้อน”, “การทำ SEO คืออะไร”หรือ “ประวัติกาแฟในประเทศไทย” จุดประสงค์คือสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ในระยะยาว และช่วยให้เว็บติดอันดับการค้นหา ส่วน Copywriting เน้นเขียนเพื่อโน้มน้าวให้คนทำอะไรบางอย่างทันที ใช้ข้อความสั้น กระชับ ตรงประเด็น เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ สมัคร หรือคลิก สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองอย่างนี้คือจุดประสงค์ด้านการตลาดที่สามารถผลักดันให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเติบโตได้
8 เทคนิคการเขียน Copywriting ให้ปัง
ไม่มีใครทำงานหรือเขียน Copywriting ให้ผลลัพธ์ปังได้ตั้งแต่ครั้งแรก ทุกอย่างล้วนอาศัยประสบการณ์ ประกอบกับคลังคำและความรู้ของผู้เขียนแต่ละบุคคล การอ่านข้อความโฆษณาของคู่แข่งเยอะ ๆ การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน และการหมั่นฝึกฝนเขียนกับปรับปรุงอย่างต่อเนื่องช่วยให้ฝีมือการเขียนของคุณดีขึ้นได้จริง แต่คุณสามารถใช้ทางลัดได้แทนการใช้เวลาฝึกฝนนาน ๆ นั่นก็คือการนำเทคนิคต่อไปนี้ไปปรับใช้นั่นเอง มาดูกันว่าเทคนิคในการเขียน Copywriting ให้ปัง มีอะไรกันบ้าง
- ทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายว่าพวกเขาเป็นใครและให้ความสำคัญกับอะไร
- เน้นการเขียนประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ มากกว่าการเขียนคุณสมบัติของสินค้า
- ใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์และเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อ
- เขียนข้อความให้สั้น กระชับ แต่ได้ใจความและเข้าใจได้ง่าย ๆ ในทันที
- มีการใส่ CTA (Call to Action) เพื่อบอกให้ลูกค้ารู้ว่าพวกเขาควรทำอะไร
- เล่าเรื่องให้น่าสนใจ มีความแปลกใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสินค้ากับลูกค้า
- ทดสอบ วัดผล และปรับปรุง Copywriting อยู่เสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ระวังเรื่องการใช้คำต้องห้ามและการใช้คำที่เหมือนกับคู่แข่งแบบเป๊ะ ๆ
บทสรุป
สรุปว่า Copywriting คือข้อความที่ใช้ในการโน้มน้าวใจผู้อ่านให้กระทำให้สิ่งที่แบรนด์ต้องการ อาทิ การสั่งซื้อสินค้า หรือการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือเรียกว่าการเขียนคำโฆษณาสินค้า ซึ่งถูกเขียนโดยตำแหน่ง Copywriter ความยากของการเขียน Copywriting คือการเลือกใช้คำและการวางรูปประโยคที่สามารถมัดใจลูกค้าได้ทันที ในขณะเดียวกันข้อความนั้นก็จะต้องสื่อสารได้อย่างชัดเจนด้วย ดังนั้น คนที่มีคลังคำศัพท์มาก ๆ เข้าใจตัวธุรกิจและรู้จักกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ย่อมได้เปรียบมากกว่า คุณสามารถนำเทคนิคที่เราแนะนำไปในบทความนี้ไปใช้งานได้ทันที หวังว่า Copywriting ที่คุณเขียนจะสามารถมัดใจผู้อ่านได้และสร้างผลลัพธ์ให้แก่ธุรกิจได้ในระยะยาว
บทความที่เกี่ยวข้อง

ANGA เปิดรับสมัคร AMC รุ่น 2 (2025)
