1. หน้าหลัก
  2. อัปเดตการตลาด
  3. Copywriting คืออะไร พร้อมแนมตัวอย่างและเทคนิคการเขียน 2025
Copywriting คือ
เผยแพร่เมื่อ: พฤษภาคม 8, 2025

Copywriting คืออะไร พร้อมแนมตัวอย่างและเทคนิคการเขียน 2025

Table Of Contents

สงสัยไหมว่าทำไมโฆษณาที่แบรนด์ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ถึงกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายคล้อยตามและตัดสินใจซื้อสินค้าได้? นอกเหนือจากรูปภาพที่น่าสนใจ วิดีโอที่ดึงดูดความสนใจ เนื้อหาที่ตอบโจทย์แล้ว คงไม่พ้นฝีไม้ลายมือในการเขียน Copywriting แน่นอน ซึ่ง Copywriting คือข้อความที่แบรนด์ใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย บอกสิ่งที่อยากให้พวกเขารับรู้ หรือเขียนสิ่งที่อยากให้พวกเขากระทำ เน้นประโยคสั้น ๆ กระชับ แต่ติดหูและจำได้ง่าย อย่าง “บิด ชิมครีม จุ่มนม” ของ Oreo (โอรีโอ้) ขนมคุกกี้ชื่อดังที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลอยู่ว่า Copywriting คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการทำธุรกิจ และ Copywriting ต่างจาก Content Writing อย่างไร บทความนี้มีเฉลย! ไม่เพียงแค่นั้น ANGA (ดิจิทัลเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านบริการรับทำ SEO) ยังจะมาแนะนำบอกต่อเทคนิคในการเขียน Copywriting ให้ปัง กระตุ้นคลิกแบบรัว ๆ ให้ทราบกันด้วย ถ้าพร้อมแล้ว เราไปลุยกันได้เลย

Copywriting คืออะไร

Copywriting คือศิลปะการเขียนเนื้อหาที่มีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อ่านเกิดการตอบสนองตามที่ผู้เขียนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกลิงก์ กดสั่งซื้อสินค้า สมัครรับอีเมล ฯลฯ ซึ่งการเขียน Copywriting ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในจิตวิทยาผู้บริโภค สามารถใช้คำที่กระชับ ตรงใจ และกระตุ้นอารมณ์ เพื่อสร้างความสนใจและความต้องการในสินค้าหรือบริการได้ โดยในปัจจุบัน Copywriting ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายช่องทาง ทั้ง Offline Marketing และ Online Marketing อย่าง Social Media, เว็บไซต์, คำโฆษณา Google Ads และคำโฆษณา Facebook Ads

Copywriting สำคัญอย่างไร

แบรนด์จะเติบโตได้ ไม่ใช่แค่มีสินค้าหรือบริการที่ดี แต่ต้องมีการทำการตลาดที่มีคุณภาพและถูกจุดด้วย ซึ่ง Copywriting มีบทบาทสำคัญมากในการทำการตลาด เพราะมันเป็นเครื่องมือที่แบรนด์ใช้สื่อข้อความไปยังกลุ่มเป้าหมาย แม้จะเป็นคำไม่กี่คำหรือประโยคสั้น ๆ ก็จะช่วยให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้

  • ดึงดูดความสนใจ คนเราใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการตัดสินใจว่าจะอ่านต่อหรือไม่ การเขียน Copywriting ที่ดึงดูดความสนใจได้ทันทีจะช่วยให้ลูกค้าสนใจแบรนด์คุณมากขึ้น ประโยคสั้น ๆ ที่ปังจะน่าสนใจกว่าข้อความยาว ๆ น่าเบื่อ
  • ทำให้แบรนด์จดจำง่าย ลองนึกถึงสโลแกนดังๆ ที่คุณจำได้ ส่วนใหญ่มักเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ติดหู ทำให้นึกถึงแบรนด์นั้นได้ทันที นี่คือพลังของ Copywriting ที่ดี มันช่วยสร้างความจดจำและทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์คุณก่อนคู่แข่ง
  • ไม่เสียเวลา ลูกค้าไม่มีเวลามานั่งอ่านบทความ SEO ยาว ๆ Copywriting ช่วยบอกจุดขายสำคัญได้ในเวลาอันสั้น ทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าสินค้าคุณมีดีอะไรโดยไม่ต้องใช้เวลานาน
  • เจาะกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำ การเลือกใช้คำที่ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้ลูกค้าที่ใช่รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ เช่น ถ้าขายของวัยรุ่น ก็ใช้คำฮิต คำเท่ ๆ ทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่านี่แหละที่พวกเขากำลังมองหา
  • กระตุ้นให้ซื้อเร็วขึ้น Copywriting จะทำให้ลูกค้าอยากซื้อ อยากลองใช้ มีการกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรีบตัดสินใจ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายได้ดีกว่าการให้ข้อมูลเฉย ๆ ทั่วไป

ตัวอย่าง Copywriting

  • ยาดมตราโป๊ยเซียน “ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกัน”
  • M150 “ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย”
  • Bar-B-Q Plaza “ตัวจริง อร่อยจริง เรื่องปิ้งย่าง”
  • Oriental Princess “ผู้หญิงอย่าหยุดสวย”
  • กระทิงแดง “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน”
  • Apple “Think Different”
  • Nike “Just Do It”
  • KFC “Finger Lickin’ Good”

ประเภทของ Copywriting 

  1. Direct Response Copywriting เน้นกระตุ้นให้ผู้อ่านทำอะไรบางอย่างทันที เช่น คลิกซื้อ กรอกข้อมูล หรือโทรหา มักมีข้อความชัดเจนว่าอยากให้คนอ่านทำอะไร (Call to Action) เช่น “สั่งเลยวันนี้” “ลงทะเบียนตอนนี้” เหมาะกับโฆษณาที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว
  2. Brand Copywriting มุ่งสร้างภาพลักษณ์และความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ มากกว่าเน้นขายของ ช่วยให้แบรนด์มีเอกลักษณ์และสร้างความจดจำ เช่น สโลแกน แคมเปญสร้างการรับรู้ เนื้อหามักสั้น กระชับ และจดจำง่าย
  3. SEO Copywriting เขียนเพื่อให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา มีการวางคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม แต่ยังคงอ่านง่ายและเป็นธรรมชาติ ต้องเข้าใจทั้งพฤติกรรมผู้อ่านและกลไกของ Google ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหายาวที่ให้ข้อมูลมีประโยชน์ 
  4. Social Media Copywriting เขียนสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ต้องสั้น กระชับ ดึงดูดความสนใจได้เร็ว เนื่องจากคนเลื่อนผ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็ว ต้องเข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น Twitter (X) ต้องสั้นมาก Instagram เน้นภาพประกอบ
  5. Storytelling Copywriting เล่าเรื่องราวเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์ เน้นสร้างประสบการณ์และความรู้สึกร่วม แบรนด์ใหญ่มักใช้วิธีนี้เพื่อให้คนจดจำและผูกพัน ไม่เน้นขายของโดยตรง แต่ให้คนซึมซับคุณค่าและเรื่องราวของแบรนด์
  6. Technical Copywriting อธิบายข้อมูลทางเทคนิคให้เข้าใจง่าย มักใช้กับสินค้าซับซ้อนหรือเทคโนโลยีขั้นสูง ต้องรักษาสมดุลระหว่างความถูกต้องทางเทคนิคและความเข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
  7. Email Copywriting เขียนเพื่อส่งถึงผู้รับโดยตรงผ่านอีเมล ทั้งจดหมายข่าว อีเมลโปรโมชัน หรือแคมเปญนำเสนอขาย ต้องมีหัวเรื่องที่ดึงดูดให้เปิดอ่าน และเนื้อหาที่น่าสนใจให้อ่านต่อจนจบ เป็นช่องทางที่ส่วนตัวกว่าสื่ออื่น ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับผู้รับ

Copywriting ต่างจาก Content Writing อย่างไร 

Content Writing คือการเขียนเนื้อหาที่เน้นให้ข้อมูลและความรู้แก่ผู้อ่าน มักเป็นบทความยาว ๆ ที่มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น บทความ SEO คู่มือการใช้งาน หรือบทความวิชาการ ตัวอย่างเช่น “วิธีดูแลผิวในหน้าร้อน”, “การทำ SEO คืออะไร”หรือ “ประวัติกาแฟในประเทศไทย” จุดประสงค์คือสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ในระยะยาว และช่วยให้เว็บติดอันดับการค้นหา ส่วน Copywriting เน้นเขียนเพื่อโน้มน้าวให้คนทำอะไรบางอย่างทันที ใช้ข้อความสั้น กระชับ ตรงประเด็น เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ สมัคร หรือคลิก สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองอย่างนี้คือจุดประสงค์ด้านการตลาดที่สามารถผลักดันให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเติบโตได้

8 เทคนิคการเขียน Copywriting ให้ปัง

ไม่มีใครทำงานหรือเขียน Copywriting ให้ผลลัพธ์ปังได้ตั้งแต่ครั้งแรก ทุกอย่างล้วนอาศัยประสบการณ์ ประกอบกับคลังคำและความรู้ของผู้เขียนแต่ละบุคคล การอ่านข้อความโฆษณาของคู่แข่งเยอะ ๆ การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน และการหมั่นฝึกฝนเขียนกับปรับปรุงอย่างต่อเนื่องช่วยให้ฝีมือการเขียนของคุณดีขึ้นได้จริง แต่คุณสามารถใช้ทางลัดได้แทนการใช้เวลาฝึกฝนนาน ๆ นั่นก็คือการนำเทคนิคต่อไปนี้ไปปรับใช้นั่นเอง มาดูกันว่าเทคนิคในการเขียน Copywriting ให้ปัง มีอะไรกันบ้าง

  1. ทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายว่าพวกเขาเป็นใครและให้ความสำคัญกับอะไร
  2. เน้นการเขียนประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ มากกว่าการเขียนคุณสมบัติของสินค้า
  3. ใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์และเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อ
  4. เขียนข้อความให้สั้น กระชับ แต่ได้ใจความและเข้าใจได้ง่าย ๆ ในทันที
  5. มีการใส่ CTA (Call to Action) เพื่อบอกให้ลูกค้ารู้ว่าพวกเขาควรทำอะไร
  6. เล่าเรื่องให้น่าสนใจ มีความแปลกใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสินค้ากับลูกค้า
  7. ทดสอบ วัดผล และปรับปรุง Copywriting อยู่เสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  8. ระวังเรื่องการใช้คำต้องห้ามและการใช้คำที่เหมือนกับคู่แข่งแบบเป๊ะ ๆ 

บทสรุป

สรุปว่า Copywriting คือข้อความที่ใช้ในการโน้มน้าวใจผู้อ่านให้กระทำให้สิ่งที่แบรนด์ต้องการ อาทิ การสั่งซื้อสินค้า หรือการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือเรียกว่าการเขียนคำโฆษณาสินค้า ซึ่งถูกเขียนโดยตำแหน่ง Copywriter ความยากของการเขียน Copywriting คือการเลือกใช้คำและการวางรูปประโยคที่สามารถมัดใจลูกค้าได้ทันที ในขณะเดียวกันข้อความนั้นก็จะต้องสื่อสารได้อย่างชัดเจนด้วย ดังนั้น คนที่มีคลังคำศัพท์มาก ๆ เข้าใจตัวธุรกิจและรู้จักกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ย่อมได้เปรียบมากกว่า คุณสามารถนำเทคนิคที่เราแนะนำไปในบทความนี้ไปใช้งานได้ทันที หวังว่า Copywriting ที่คุณเขียนจะสามารถมัดใจผู้อ่านได้และสร้างผลลัพธ์ให้แก่ธุรกิจได้ในระยะยาว

บทความที่เกี่ยวข้อง

ANGA เปิดรับสมัคร AMC รุ่น 2 (2025)

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องกับโครงการ AMC (ANGA Management Candidates) รุ่น 2 ที่ใคร ๆ หลายคนต่างรอคอย หลังจากที่โครงการ AMC รุ่น 1 ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมาก  เพราะเป็นโครงการที
88

Demand Gen คือโฆษณารูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญโฆษณา Google Ads พร้อมเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าด้วย Demand Gen คือรูปแบบโฆษณาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Discovery Ads โดยการดึงเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้งาน พร้
101

DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด

อย่างที่เรารู้กันว่า Google เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แล้วรู้ไหมว่าใครคืออันดับสอง? คำตอบคือ DuckDuckGo นั่นเอง ซึ่ง DuckDuckGo คือ​ Search Engine ที่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยท
96
th